แกนนำพันธมิตรฯ ซัดทหารส่งสัญญาณบุกผู้จัดการ อ้างปกป้องกองทัพ ถือประจานตัวเอง ชี้ ทำลายกองทัพตกต่ำ ลั่น “นสพ.ผู้จัดการ-เอเอสทีวี” เคยถูกกระทำด้วยระเบิด-อาวุธสงคราม-ลอบสังหาร แต่ไม่มีทางยอมสยบเด็ดขาด แนะ ผบ.ทบ.ถ้าถูกเหยียดหยามมีสิทธิ์ฟ้องร้อง แต่ไม่ใช่เอาเครื่องแบบข่มขู่เยี่ยงอันธพาล ตามผับ-บาร์-ซ่อง วอนเคารพสิทธิเสรีภาพของสื่อตามรัฐธรรมนูญ
วันนี้ (13 ม.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่น 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ระบุว่า เหตุที่มีคนสงสัยข่าวลือก่อนหน้านี้ ว่า มีการวางยาหรือเลื่อยขา ผบ.ทบ.หรือไม่ กรณีการตบเท้ามาเยือนที่ ASTV ก็เพราะตำแหน่ง แม่ทัพภาค 1 คนปัจจุบันชื่อ พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา, รูปซ้ายมือ (ต.ท.15) เป็นทหารลูกหม้อสายวงศ์เทวัญ น้องรักของ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุบรรณ รอง ผบ.ทบ.ได้ขึ้นมาเพราะอาวุโสสูงสุด
ในขณะเวลานั้นน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกคนหนึ่งที่แคนดิเดตเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ชื่อ พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 ในเวลานั้น, รูปขวามือ (ต.ท.15) ผู้ที่เสี่ยงภัยกับ พ.อ.ร่มเล้า ธุวธรรม ที่สมรภูมิสี่แยกคอกวัว-ร.ร.สตรีวิทยา จนขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จึงถูกแรงกดดันทางการเมืองโยกให้ไปเป็นแม่ทัพน้อยภาคที่ 1 อัตราพลโท
แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีเอาใจเจ้านาย, วางยาเลื่อยขาเก้าอี้, หรือเป็นใบสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตาม แต่เมื่อ ผบ.ทบ.ส่งสัญญาณไฟเขียว ว่า “ทำได้เพราะเป็นการปกป้องกองทัพ” เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ได้แต้มอะไรเลย นอกจากประจานความเสียหายให้กับ ผบ.ทบ.ที่ส่งสัญญาณไฟเขียวแสดงออกตบเท้าเพื่อปกป้องตัวเองได้ โดยลืมไปว่าตัวเองได้สั่งห้ามร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และห้ามไปชุมนุมกับคนที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ทำให้เกิดความสงสัยว่าคำขวัญของกองทัพที่ว่า “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็น “เพื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไปแล้วหรือไม่?
ไม่ขอกล่าวว่า ทหารปฏิบัติการจิตวิทยาชั้นประทวนที่มาเยือนที่ ASTV เพราะเป็นเพียงผู้รับคำสั่งมาอีกทีหนึ่ง แต่หมากตานี้ถือว่าเดินพลาดอย่างแรง เพราะนอกจากจะไม่สามารถหยุด นสพ.เอเอสทีวี-ผู้จัดการ ได้แล้ว ยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของกองทัพให้ตกต่ำลงไปทั้งต่อคนในสังคมและคนในวงการสื่อสารมวลชนว่าเป็นการลุแก่อำนาจ เป็นเผด็จการ และข่มขู่ได้เอากับเฉพาะกับคน หรืองค์กรที่ไม่มีกองกำลัง หรืออาวุธสงคราม
ในทางตรงกันข้าม คำถามเนื้อแท้ที่ นสพ.เอเอสทีวี-ผู้จัดการ ได้ถามถึงการทำหน้าที่ ผบ.ทบ. ก็หาได้มีคำตอบอย่างชัดเจนไม่ เช่น คำถามการถูกรุกรานแผ่นดินไทยที่เกิดขึ้นจริงในเวลานี้ คำถามที่คดีชายชุดดำฆ่าทหารกลับถูกปล่อยตัว คนเสื้อแดงตายได้รับเงิน 7.1 ล้านบาท (ได้รับเงินสูงเสียยิ่งกว่าทหารที่เขาพลีชีพเพื่อชาติ) ในขณะที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่กลับถูกไต่สวนว่าฆ่าประชาชน อีกทั้งเรือเหาะที่บินสูงใช้งานไม่ได้ ฯลฯ ทั้งๆ ที่คำถามเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ของทหารและเป็นคำถามเพื่อให้ได้คำตอบในเกียรติภูมิของผู้ใต้บังคับบัญชาการทั้งสิ้น
ข้อสำคัญต้องไม่ลืมว่าทหารทุกคนมีรายได้จากภาษีของประชาชนและใช้งบประมาณของแผ่นดิน สื่อมวลชนก็มีหน้าที่และย่อมมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามและวิจารณ์การทำงานของ ผบ.ทบ.ได้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อีกทั้งกองทัพบกก็มีสื่อของตัวเองเป็นจำนวนมาก ก็ควรจะตอบข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริง หรือแม้แต่หากคิดว่าสื่อแห่งนั้นดูถูกเหยียดหยามตัวเอง ก็มีช่องทางกฎหมายที่จะสามารถฟ้องร้องกลับได้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ไม่ใช่ใช้กองกำลังทหารใส่เครื่องแบบมากดดันสื่อมวลชนให้ถูกครหาได้ว่าทำตัวเยี่ยงอันธพาลที่คอยเฝ้าอยู่ตาม ผับ บาร์ บ่อน หรือ ซ่อง
กองทัพเป็นองค์กรเพียงไม่กี่แห่งที่มี 1.กองกำลัง 2.อาวุธสงคราม ดังนั้น การอ้างแต่เพียงว่าเป็นการใช้สิทธิมาแสดงออกจะต้องพึงสังวรในอำนาจแฝงข้อนี้ที่ต่างจากทุกองค์กรในประเทศไทยด้วย การปรากฏตัวแบบไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นการแสดงออกได้เลย หากแต่สังคมและวิญญูชนต่างเห็นตรงกันว่าเป็นการอาศัยเครื่องแบบในความเป็นทหารมาข่มขู่ และคุกคามสื่อมวลชนและประชาชน
เพราะต้องไม่ลืมว่า ที่ ASTV-ผู้จัดการ ได้โดนกระทำด้วยทั้ง ระเบิด M-79, ปืน M-16 จากใจกลางแม่น้ำเจ้าพระยา, ระเบิดปิงปอง, แม้แต่การรุมยิงเพื่อสังหารคุณสนธิ ใจกลางพระนครโดยฝีมือคนในกองทัพ ก็เคยทำกันมาแล้ว จริงหรือไม่?
ขอย้ำว่า หลายปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า การขู่คุกคาม การใช้กองกำลัง และอาวุธสงคราม ไม่สามารถที่จะหยุด ASTV-ผู้จัดการ ได้ และหาก ผบ.ทบ.คิดว่าการนำเสนอไม่ถูกต้อง สิ่งที่ควรทำที่สุด คือ ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่ใช้ทหารกดดัน หรือบีบบังคับให้ขอโทษ หรือเพื่อให้นำเสนออย่างที่ตัวเองต้องการ ซึ่งสื่ออย่าง ASTV-ผู้จัดการ จะไม่มีทางยอมสยบด้วยวิธีการเช่นนี้อย่างเด็ดขาด
หาก ผบ.ทบ. อยากอ้างว่า ตัวเองไม่ขอยุ่งเกี่ยวข้องหรือไปหยุดยั้งความเลวร้ายของนักการเมือง โดยอ้างว่าต้องเคารพในระบอบประชาธิปไตยแล้ว ก็ควรจะเคารพสิทธิเสรีภาพของสื่อตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยเช่นกัน