"สนธิ" จวก "ประยุทธ์" อยู่ดีไม่ว่าดี มาหาเรื่องก่อน ย้ำ “ผู้จัดการ” ทำตามหน้าที่ แค่ถามกลับใครห่วยกว่ากัน กลับปรี๊ดแตก ใช้นิสัยอันธพาลส่งทหารมาลุย สร้างภาพว่าลูกน้องยังรัก แทนที่จะจัดการคนโกงกับเสื้อแดงที่ย่ำยีกองทัพ สวน “ลูกบิ๊กจ๊อด” ไม่อ่านข่าว เอาแต่ทำมาหากิน ถามแอบช่วยทักษิณอยู่หรือไม่ ยันไม่เคยเข้าใจผิดคดีลอบยิงและไม่คิดใช้ทหารเป็นเครื่องมือ ขณะที่ ปชป.-กลุ่มกรีน-ครป.ชี้ชัด คุกคามสื่อ จี้ ผบ.ทบ.ออกมาขอโทษสังคม "ธิดาแดง" ดี๊ด๊า เป็น "มิติใหม่" ของทหาร ด้านทนายพันธมิตรฯเตรียมฟ้อง "บิ๊กห่วย"
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งสื่อในเครอเอเอสทีวี ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปพบปะกับพันธมิตรฯ ที่สหรัฐอเมริกา ได้โฟนอินเข้ามายังรายการ “ตีแสกหน้า” ภาคพิเศษ ทางเอเอสทีวี กรณีที่มีทหารจำนวนหนึ่งเดินทางมาแสดงพลังที่หน้าบ้านพระอาทิตย์ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ที่วิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ว่า ตนเสียใจที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เพราะอยู่ในช่วงที่มาพบปะกับพี่น้องที่แคลิฟอร์เนีย ทั้งหมดหมดนี้อยากให้พวกเราและพี่น้องพันธมิตรฯ เข้าใจข้อเท็จจริงบางประการก่อน
ข้อเท็จจริงข้อแรก สังคมไทยต้องรู้ และคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งบางคนก็เรียก ประยุทธ์ ชินโอชา หรือ ประยุทธ์ จันทร์ส่องหล้า ก็แล้วแต่ ต้องรู้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ.ก็จริง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่เจ้าของกองทัพ เพราะที่จริงแล้วมีคนในกองทัพมากมายที่ไม่พอใจ
พล.อ.ประยุทธ์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องการบริหารงบประมาณ การจัดซื้ออาวุธในกองทัพที่ขาดตกบกพร่อง เรื่องศักดิ์ศรีของกองทัพในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. มันตกต่ำที่สุด โดนคนเสื้อแดงเหยียดหยาม โดนดีเอสไอ เหยียดหยาม
อันที่สาม พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บังคับบัญชาที่ไม่ปกป้องลูกน้อง กรณีทหารที่ตายไปเพราะคนเสื้อแดง อย่าง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยเรียกร้องความยุติธรรมให้ครอบครัวเขา และกองทัพ แต่คุณประยุทธ์ กลับสั่งให้ลูกน้องออกมาปกป้องตัวเองจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และ วันนี้ (11-12 ม.ค.) ไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์จิตใจทำด้วยอะไร แค่เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งไม่ใช่ทหาร ก็ใช้ไม่ได้แล้ว แต่นี่เป็นถึง ผบ.ทบ. นี่คือความห่วยแตกอย่างแท้จริง
ข้อเท็จจริงข้อที่ 4 ซึ่งสำคัญมาก พล.อ.ประยุทธ์ ทะลึ่ง อยู่ดีไม่ว่าดี หนังสือพิมพ์ผู้จัดการทำหน้าที่สื่ออยู่ดีๆ มาว่าเขาห่วยแตก เอเอสทีวีผู้จัดการ เลยถามกลับว่าใครห่วยแตกกว่ากัน ระหว่างผู้จัดการ กับ ผบ.ทบ. ก็โกรธทันที นี่คือลักษณะของคนไม่มีการศึกษา เป็นอันธพาล เราอยู่ของเราดีๆ
พล.อ.ประยุทธ์ ต้องจำใส่กะโหลกว่า คุณเสือกมาหาเรื่องเขาก่อน ก็เลยเกิดคำถามว่า ทำไมมาเก่งกับหนังสือพิมพ์อย่างผู้จัดการ ทำไมกับ ฮุน เซน ไม่เห็นเก่ง ลูกน้องตัวเอง นายพลกุนเชียง รุ่นเดียวกันทำความเสียหายให้กองทัพภาคที่ 2 กลับออกมาปกป้อง ไม่ทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เขาก็เลยตั้งคำถาม
อีกอย่างคุณต้องตั้งคำถามถามตัวเองทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้มาและออกมาเพราะอยากเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องถามตัวเองว่า เอเอสทีวีผู้จัดการห่วยตรงไหน เขาถามคำถามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตอบ แต่เสือกตอบไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดเขาทำหน้าที่ของเขา พล.อ.ประยุทธ์และทหารที่มาประท้วง ลืมตัว ทุกเดือนที่เรารับเงินเดือน เราหักภาษีเป็นเงินทองที่เอาไปเลี้ยงพวกคุณ คุณมาประท้วงหาอะไร คุณจะรับใช้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็รับใช้ให้ถูกหน่อย ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ บอกให้ไปตายเพื่อชาติแล้วพวกคุณยินดีตายก็เห็นด้วย แต่การใช้ให้ไปลุยเอเอสทีวีผู้จัดการ ก็เพื่อให้ดูว่ามีทหารรักอยู่เยอะ นี่คือตรรกะหัวแม่ตีน
แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นก็อยู่บนข้อมูลที่มันห่วยแตก คือ นักข่าวไปถามว่า วันที่ 21 ม.ค.ที่จะมีการชุมนุมกัน คุณสนธิ คุณปานเทพไปด้วย จะมีความเห็นยังไง เท่านั้นเอง ปรี๊ดแตก เหมือนคนประจำเดือนหมด โดยไม่รู้ว่าเราไม่ได้เกี่ยว เป็นเรื่องของกลุ่ม 13 สยามไท เราไม่ได้เกี่ยวเลย แต่ก็พรั่งพรูออกมาจากปากเลย มาด่าเรา ด่าโน่นด่านี่ พอเราสวนกลับบ้าง โกรธ คุณเป็นใครมาจากไหนที่เราจะแตะต้องคุณไม่ได้ การแตะต้องคุณเป็นเรื่องถูกต้องอยู่แล้ว เพราะเราทำหน้าที่สื่อ แต่นี่เรามีสิทธิที่จะแตะต้องคุณ เพราะคุณมาด่าเราก่อน คุณไม่ดูตัวคุณเองแล้วมาเที่ยวด่าคนอื่น
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่น่าเสียใจคือ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ มาพูดว่า ตนโกรธที่เข้าใจว่าทหารเป็นคนยิง ( เมื่อปี 2552 ) แสดงว่า พล.ต.อภิรัชต์เข้าใจผิด เพราะตนไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น แต่เชื่อเลย ถ้า พล.ต.อภิรัชต์ อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ศึกษาข้อมูลข่าวสารบ้าง แทนที่จะไปทำธุรกิจกับ นายสนธยา คุณปลื้ม เพื่อนรักที่ทำธุรกิจด้วยกันทางภาคตะวันออก ก็จะรู้ว่า พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ออกหมายจับผู้ต้องหา 3 คน คนหนึ่งคือ ส.ต.ท.วรวุฒิ ซึ่งเป็นคนสนิทของ ทวี สอดส่อง ที่ดีเอสไอ อีก 2 คนเป็น ส.อ. และ จ.ส.อ. มาจากศูนย์สงครามพิเศษ อาวุธและกระสุนยืนยันมาแล้วว่า มาจากคลังแสงของกองทัพบก มันทหารร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณไปถามนายคุณที่คุณพยายามจะเชลียร์ นายคุณเป็นคนเซ็นคำสั่งย้ายคนที่มายิงตนไปช่วยราชการในภาคใต้ และมีอีกหลายข้อมูลจาก พล.ต.อ.ธานี เขากำลังจะออกหมายจับพันเอกคนหนึ่งที่ศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี แต่ข่าวมันหลุดไปเข้าหูรัฐบาลชุดนั้น เขาเลยให้ระงับการสืบสวนสอบสวนต่อ คดีมันเลยหยุดตรงนี้ มันทหารร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนสัตว์นรกนายพลคนไหนอยู่เบื้องหลัง ตนรู้แต่ ไม่อยากพูด
นายสนธิกล่าวต่อว่า พ่อของ พล.ต.อภิรัชต์ ก็ให้สัมปทานดาวเทียมแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นที่เข้าใจว่า พล.ต.อภิรัชต์ สนิทกับทักษิณ คุณอวยกันเข้าไปสิ เรียกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการว่า สถุล ถ่อย แล้วทหารที่มีแต่ใช้ยศตำแหน่งทำมาหาแดก รู้จักกับคนขายชาติที่อยู่ต่างประเทศ แล้วแอบช่วยกัน ใครถ่อยกว่ากัน เมื่อหลายปีก่อนมีคนยิงใส่บ้านตน รู้หรือเปล่าว่าสัตว์นรกตัวไหนสั่งยิง ฟังแล้วอย่าสะอึก ตนรู้ใครสั่งยิง คุณจะเอาใจนายก็ให้มันดีหน่อย ศัตรูชาติบ้านเมืองไม่ได้อยู่ที่ผู้จัดการ แต่คือคนโกงชาติ ขายชาติ คนกำลังจะยกแผ่นดินให้เขมร
นายสนธิ กล่าวอีกว่า พล.ต.อภิรัชต์ เป็นลูกพล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ให้ไปดูประวัติพ่อตัวเอง ที่สนิทสนมพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณกับทักษิณ ยังไงก็ต้องสัมพันธ์กัน ติดต่อกัน ถามว่าคุณเกี่ยวพันอะไรกับการแอบช่วยทักษิณ อยู่หรือเปล่า คุณมาว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถ่อย ถ้าถ่อยเพื่อชาติ ก็ให้มันถ่อยไป อย่าให้เปิดเลยว่าคุณทำมาหากินอะไรกับนายสนธยา คุณปลื้ม ทางภาคตะวันออก เมื่อก่อนมาเฟียทหารที่ทำมาหากินรู้จักคุณหมดเลย คุณเป็นทหารแบบไหน ถ้าไม่พอใจจะกระซิบใครมาจัดการตนก็เชิญ
กรณีที่ พล.ต.อภิรัชต์ กล่าวหาว่าเอเอสทีวีผู้จัดการ และพันธมิตรฯ ต้องการใช้ทหารเป็นเครื่องมือ แต่พอใช้ไม่ได้เลยโกรธนั้น นายสนธิ กล่าวว่า จะใช้พวกคุณทำห่าอะไร พวกคุณไม่ใช่ทหาร เป็นแค่คนที่ใส่เครื่องแบบ แล้วใช้เครื่องแบบมาทำมาหารับประทาน
ส่วนกรณีที่ทหารเรียกร้องให้ขอโทษนั้น นายสนธิ กล่าวว่า ให้รอชาติหน้า และอีกหลายๆชาติ ก็จะไม่มีวันขอโทษ ถ้าเรื่องนี้ยังไม่จบ จะถามพี่น้องที่เป็นผู้หญิงทั่วประเทศไปชุมนุมพร้อมกันที่หน้ากองทัพบก มากันเป็นหมื่น เป็นแสน แล้วให้ถือผ้าถุงไปคนละผืน เอาไปให้ พวกทหารไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร เอเอสทีวีอยู่ได้เพราะพี่น้องบริจาคเงินให้ แต่พวกคุณอยู่ได้เพราะภาษีพวกเรา พี่น้องบริจาคให้พวกเรา เราทดแทนบุญคุณพี่น้องด้วยการพูดความจริง ยืนอยู่บนความถูกต้อง ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น แล้วพวกคุณเอาเงินภาษีเราไปใช้สอยเลี้ยงดูลูกเมีย ก็ต้องยืนอยู่บนความถูกต้อง ปกป้องชาติบ้านเมือง ให้ประชาชนผู้เสียภาษีให้ แค่นี้ยังคิดไม่ออก น่าจะเดินรอบพวกเราแล้วให้เราเขกกบาลคนละที
ส่วน ที่ห้ามไม่ให้นักข่าวเอเอสทีวีเข้าไปทำข่าวในกองทัพบก นายสนธิ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ไม่อยากทำข่าวพวกมันอยู่แล้ว และจะประกาศเป็นทางการว่า จากนี้ไปจะไม่ส่งนักข่าวเข้าไปทำข่าวในกองทัพบก หรือที่กองทัพบกทำ แต่ถ้าเขียน เขียนเกินไปถูกอย่ามาว่ากัน ไปบอกว่า ชาติหน้า หรือใดๆ ก็ไม่ขอโทษ
กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ อ้างว่าทหารที่มาตนไม่ได้สั่ง แต่มากันเองนั้น นายสนธิ กล่าวว่า เป็นการเอาทหารมาปกป้องตัวเอง มาสร้างภาพว่าทหารยังรัก ใครมาว่านายไม่ได้ ที่บอกว่า ผบ.ทบ. เป็นพ่อคนที่ 2 ก็มีพ่อแบบนี้ ลูกแบบนี้ถึงได้ชั่ว
ส่วนที่ ผบ.ทบ.บอกว่า ทหารที่ไปวันนี้ เป็นการไปนอกเวลาราชการ และถ้าไม่อยากให้เรื่องบานปลาย สื่อต้องเงียบ ไม่ขยายความมากกว่านี้ นายสนธิ กล่าวว่า ทำไมสื่อต้องเงียบ มีสิทธิอะไรมาบอกให้เงียบ แล้วที่อ้างว่าทหารมานอกเวลา นอกราชการ แล้วทหารใช้เวลานอกราชการไปประท้วงเรื่องเขาพระวิหาร หรือไปชุมนุมกับ เสธ.อ้าย ทำไมห้าม เวลาพูดอะไร พล.อ.ประยุทธ์ เคยนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยพูดไว้ไหม วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลายเป็น ประยุทธ์ จันทร์ส่องหล้า ที่เป็นโมฆะบุรุษไปแล้ว
นายสนธิกล่าวอีกว่า เมื่อเห็นลักษณะของ พล.อ.ประยุทธ์ แบบนี้แล้ว และลูกน้องพล.อ.ประยุทธ์ คนที่ไม่มีวุฒิภาวะความเป็นนักรบ ความเป็นผู้ใหญ่ เจ้าอารมณ์ ปรี๊ดแตก ไม่ใช้เหตุผลแล้ว คนที่หลงตัวเองมาก คนแบบนี้จะมาปกป้องชาติบ้านเมืองได้อย่างไร คนแบบนี้ถูกครอบงำได้ง่ายจากอิทธิพล และผลประโยชน์ คงลืมไปว่าตนเองจะเป็น ผบ.ทบ. ชั่วนิจนิรันดร ลืมไปว่าอีก 2 ปีเกษียณแล้วก็ไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง พวกที่มาเชลียร์ พล.อ.ประยุทธ์วันนี้ รวมทั้ง พล.ต.อภิรัชต์ ก็เปลี่ยนไปเกาะนายใหม่ ไปเอาใจนายคนใหม่ต่อ ชีวิตน่าสงสาร น่าสมเพช ไม่รู้ตัวเอง อวดดีอยู่อย่างเดียวว่า ตัวเองเป็นทหาร เอากำลังมาข่มขู่ เอาทหารมาเฟียมารังแกคน มีทีมล่าสังหารในมือ ก็จะเอามายิงสนธิให้ได้ คิดได้แค่นี้ สร้างสรรอะไรไม่เป็น ทำยังไงจะให้ชาติบ้านเมืองไปได้ดี ให้พระเจ้าอยู่หัวมั่นคง ไม่มีใครมาจาบจ้วง ใครมาจาบจ้วงเห็นดีกับกู “เห็นดีกับกู” ในที่นี้ ไม่ใช่เอาปากไปซุกก้นผู้หญิง แล้วเดินตามไปลอกคลอง
ถ้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ และทหารที่มาผู้จัดการวันนี้รวมตัวกันตบเท้าไปหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ แล้วบอกว่า ท่านนายกฯ ระยะนี้ข่าวคราวคอร์รัปชันมันเยอะมากเหลือเกิน พวกผมห่วงใยประเทศชาติ ขอแสดงความเห็นให้นายกฯ จัดการกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง อย่างนี้จึงจะน่าปรบมือให้ แต่ไม่ทำ มันทำไม่ได้ เพราะยิ่งลักษณ์ มีงบจัดซื้ออาวุธให้ เอะอะก็อ้างว่าต้องทำตามกฎหมาย แล้วตอนนี้ทำตามกฎหมายหรือเปล่า เวลาทหารจะออกมาทำเพื่อประชาชน เพื่อชาติบ้านเมือง ก็ขู่ว่าทหารต้องอยู่ในวินัย แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้ อยู่ในวินัยหรือเปล่า
**อัด “ประยุทธ์”หยุดใช้วิธีอันธพาล
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่น 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ระบุว่า เหตุที่มีคนสงสัยข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า มีการวางยา หรือเลื่อยขา ผบ.ทบ. หรือไม่ กรณีการตบเท้ามาเยือนที่ ASTV ก็เพราะตำแหน่ง แม่ทัพภาค 1 คนปัจจุบันชื่อ พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา (ต.ท.15) เป็นทหารลูกหม้อสายวงศ์เทวัญ น้องรักของพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุบรรณ รอง ผบ.ทบ. ได้ขึ้นมาเพราะอาวุโสสูงสุด
ในขณะเวลานั้นน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกคนหนึ่งที่แคนดิเดตเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ชื่อ พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 ในเวลานั้น (ต.ท.15) ผู้ที่เสี่ยงภัยกับ พล.อ.ร่มเล้า ธุวธรรม ที่สมรภูมิสี่แยกคอกวัว-ร.ร.สตรีวิทยา จนขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จึงถูกแรงกดดันทางการเมือง โยกให้ไปเป็นแม่ทัพน้อยภาคที่ 1 อัตราพลโท
แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีเอาใจเจ้านาย, วางยาเลื่อยขาเก้าอี้, หรือเป็นใบสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตาม แต่เมื่อ ผบ.ทบ. ส่งสัญญาณไฟเขียว ว่า “ทำได้ เพราะเป็นการปกป้องกองทัพ” เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ได้แต้มอะไรเลย นอกจากประจานความเสียหายให้กับ ผบ.ทบ. ที่ส่งสัญญาณไฟเขียวแสดงออกตบเท้าเพื่อปกป้องตัวเองได้ โดยลืมไปว่าตัวเองได้สั่งห้ามร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และห้ามไปชุมนุมกับคนที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ทำให้เกิดความสงสัยว่า คำขวัญของกองทัพที่ว่า “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็น “เพื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไปแล้วหรือไม่ ?
ไม่ขอกล่าวว่า ทหารปฏิบัติการจิตวิทยาชั้นประทวน ที่มาเยือนที่ ASTV เพราะเป็นเพียงผู้รับคำสั่งมาอีกทีหนึ่ง แต่หมากตานี้ถือว่าเดินพลาดอย่างแรง เพราะนอกจากจะไม่สามารถหยุด นสพ.เอเอสทีวี-ผู้จัดการ ได้แล้ว ยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของกองทัพให้ตกต่ำลงไป ทั้งต่อคนในสังคมและคนในวงการสื่อสารมวลชนว่า เป็นการลุแก่อำนาจ เป็นเผด็จการ และข่มขู่ได้เอากับเฉพาะกับคน หรืองค์กรที่ไม่มีกองกำลัง หรือ อาวุธสงคราม
ในทางตรงกันข้าม คำถามเนื้อแท้ที่ นสพ.เอเอสทีวี-ผู้จัดการ ได้ถามถึงการทำหน้าที่ ผบ.ทบ. ก็หาได้มีคำตอบอย่างชัดเจนไม่ เช่น คำถามการถูกรุกรานแผ่นดินไทยที่เกิดขึ้นจริงในเวลานี้ คำถามที่คดีชายชุดดำฆ่าทหารกลับถูกปล่อยตัว คนเสื้อแดงตายได้รับเงิน 7.1 ล้านบาท ( ได้รับเงินสูงเสียยิ่งกว่าทหารที่เขาพลีชีพเพื่อชาติ) ในขณะที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่กลับถูกไต่สวนว่า ฆ่าประชาชน อีกทั้งเรือเหาะที่บินสูงใช้งานไม่ได้ ฯลฯ ทั้งๆ ที่คำถามเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ของทหาร และเป็นคำถามเพื่อให้ได้คำตอบในเกียรติภูมิของผู้ใต้บังคับบัญชาการทั้งสิ้น
ข้อสำคัญต้องไม่ลืมว่า ทหารทุกคนมีรายได้จากภาษีของประชาชน และใช้งบประมาณของแผ่นดิน สื่อมวลชนก็มีหน้าที่และย่อมมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถาม และวิจารณ์การทำงานของ ผบ.ทบ.ได้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อีกทั้งกองทัพบกก็มีสื่อของตัวเองเป็นจำนวนมาก ก็ควรจะตอบข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริง หรือแม้แต่หากคิดว่าสื่อแห่งนั้นดูถูกเหยียดหยามตัวเอง ก็มีช่องทางกฎหมายที่จะสามารถฟ้องร้องกลับได้ ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ไม่ใช่ใช้กองกำลังทหารใส่เครื่องแบบมากดดันสื่อมวลชนให้ถูกครหาได้ว่า ทำตัวเยี่ยงอันธพาลที่คอยเฝ้าอยู่ตาม ผับ บาร์ บ่อน หรือ ซ่อง
กองทัพเป็นองค์กรเพียงไม่กี่แห่งที่มี 1. กองกำลัง 2. อาวุธสงคราม ดังนั้น การอ้างแต่เพียงว่า เป็นการใช้สิทธิมาแสดงออกจะต้องพึงสังวรในอำนาจแฝงข้อนี้ที่ต่างจากทุกองค์กรในประเทศไทยด้วย การปรากฏตัวแบบไม่สามารถอธิบายได้ว่า เป็นการแสดงออกได้เลย หากแต่สังคมและวิญญูชนต่างเห็นตรงกันว่า เป็นการอาศัยเครื่องแบบในความเป็นทหารมาข่มขู่ และคุกคามสื่อมวลชน และประชาชน
เพราะต้องไม่ลืมว่า ที่ ASTV-ผู้จัดการ ได้โดนกระทำด้วยทั้ง ระเบิด M-79, ปืน M-16 จากใจกลางแม่น้ำเจ้าพระยา, ระเบิดปิงปอง, แม้แต่การรุมยิงเพื่อสังหารคุณสนธิ ใจกลางพระนครโดยฝีมือคนในกองทัพ ก็เคยทำกันมาแล้ว จริงหรือไม่ ?
ขอย้ำว่า หลายปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า การขู่คุกคาม การใช้กองกำลัง และอาวุธสงคราม ไม่สามารถที่จะหยุด ASTV-ผู้จัดการ ได้ และหาก ผบ.ทบ.คิดว่าการนำเสนอไม่ถูกต้อง สิ่งที่ควรทำที่สุด คือ ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่ใช้ทหารกดดัน หรือบีบบังคับให้ขอโทษ หรือเพื่อให้นำเสนออย่างที่ตัวเองต้องการ ซึ่งสื่ออย่าง ASTV-ผู้จัดการ จะไม่มีทางยอมสยบด้วยวิธีการเช่นนี้อย่างเด็ดขาด
หาก ผบ.ทบ. อยากอ้างว่า ตัวเองไม่ขอเกี่ยวข้อง หรือไปหยุดยั้งความเลวร้ายของนักการเมือง โดยอ้างว่าต้องเคารพในระบอบประชาธิปไตยแล้ว ก็ควรจะเคารพสิทธิ เสรีภาพของสื่อตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยเช่นกัน
** จี้"บิ๊กห่วย"ออกมาขอโทษสังคม
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แม้นายทหารชั้นประทวนที่มาบุกหน้าบ้านพระอาทิตย์ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน จะมาชุมนุมโดยสงบ แต่ก็ถือว่าเป็นการคุกคามหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ และสื่อในเครือโดยตรง เป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะหาก ผบ.ทบ. หรือคนในกองทัพเห็นว่า ได้รับความเสียหาย ก็สามารถใช้สิทธิฟ้องร้อง หรือสามารถชี้แจงผ่านสื่อมวลชนได้ตลอดเวลา
เหตุการณ์ครั้งนี้ถ้า ผบ.ทบ.ไม่รู้เห็น ก็ต้องตำหนิ หรือพิจารณาโทษทางวินัยนายทหารเหล่านั้น เพราะ ผบ.ทบ. เองก็เคยออกคำสั่งห้ามกำลังพลเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือร่วมชุมนุมใดๆ แต่การที่ ผบ.ทบ. บอกว่าเป็นสิทธิของทหารนั้น ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ดี และเกิดการเอาอย่าง เลียนแบบ เล่นงานคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กองทัพ โดยเฉพาะการเล่นงานในที่มืด เฉกเช่นกรณีที่
ตำรวจนครบาลหลายร้อยนาย บุกที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีที่ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลถูกตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ ในการปฏิบัติหน้าที่ จากนั้นไม่กี่สัปดาห์ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และยังไม่มีความคืบหน้าในการหาผู้กระทำผิด
"พฤติกรรมของทหารครั้งนี้ ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเป็นการซ้ำเติมภาพลักษณ์ของกองทัพที่มีปัญหาอยู่แล้ว ทหารทุกคนมีสิทธิที่จะปกป้องเกียรติภูมิของนาย หรือผู้บังคับบัญชา แต่ก็ต้องคำนึงถึงเกียรติภูมิของกองทัพ ในฐานะที่เป็นสถาบันหลักอันสำคัญของชาติด้วย เพราะ ผู้มาเป็น ผบ.ทบ. มาแล้วก็ไปตามวาระ แต่กองทัพในฐานะสถาบัน ต้องอยู่คู่ประชาชน จริงๆ แล้วเรื่องนี้ถ้าจะมีคนขอโทษ ควรเป็น ผบ.ทบ. ด้วยซ้ำ ที่ต้องขอโทษสังคมที่เกิดเห็นในลักษณะไม่เหมาะสมเช่นนี้ขึ้น" นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า สังคมไทยตกอยู่ความขัดแย้ง แตกแยกมานาน กลายเป็นสังคมที่มีความตึงเครียดสูง ผู้นำในองค์กรหลัก โดยเฉพาะ ผบ.ทบ. ต้องมีความอดทน อดกลั้นสูง และหนักแน่นกว่านี้ และสื่อมวลชนมีสิทธิเสรีภาพที่จะวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของ ผบ.ทบ. อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งทุกครั้งที่ ผบ.ทบ.ใช้สิทธิพาดพิงชี้แจง ก็ไม่เห็นสื่อไหนปิดกั้นข่าวของ ผบ.ทบ. ที่กลายเป็นข่าวที่เป็นตัวแปรทางการเมืองมากด้วยซ้ำไป ในระยะหลังๆ
** หยุดอ้างเกียรติทหารคุกคามสื่อ
ด้านคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) โดย นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด เลขาธิการ ครป. ก็ออกแถลงการณ์เรื่อง ขอประณามกองกำลังทหารที่คุกคามหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ กดดันให้สื่อในเครือเอเอสทีวี ออกมาขอโทษ ดังนี้
1. เราขอประณามการเคลื่อนไหวของกองกำลังทหารที่หน้าสำนักพิมพ์ผู้จัดการโดยอ้างว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเสนอข่าวเกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ เป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี และเรียกร้องให้สื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ออกมาขอโทษ การกระทำเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชนอย่างรุนแรง ทั้งนี้ เพราะหากทหารเห็นว่าการนำเสนอข่าวดังกล่าวไม่เคารพศักดิ์ศรีของพวกท่าน ก็สามารถไปฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรมเยี่ยงอารยะประเทศ ซึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ก็ต้องรับผิดชอบต่อการนำเสนอข่าวสารของตน ตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของทหารที่ออกมากดดันเหมือนประเทศเป็นเผด็จการ
2. เราขอยืนยันว่า “เสรีภาพของสื่อ คือ เสรีภาพของประชาชน” การที่ทหารใช้กองกำลังมากดดันหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในครั้งนี้ จึงเท่ากับเป็นการคุกคามเสรีภาพของประชาชนเช่นกัน พฤติกรรมดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการไม่เคารพรัฐธรรมนูญ อันเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยเฉพาะมาตรา 45 ที่บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น
“การห้ามหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่นเสนอข่าวสาร หรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมด หรือบางส่วน หรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งได้ตราขึ้นตามวรรคสอง”
3. เราเห็นว่า การนำเสนอข่าวและการแสดงความคิดเห็นทางสาธารณะของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการดังกล่าวนั้นเป็นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในการรายงานข่าวสารให้ประชาชนรับทราบ เป็นเสรีภาพของสื่อมวลชน จึงไม่ใช่เหตุที่ทหารจะนำกำลังมากดดัน เพื่อให้สื่อออกมาขอโทษตามความต้องการของตน หากทหาร หรือ ผบ.ทบ. ไม่พอใจ ก็ควรไปฟ้องร้องดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม เพราะหากเราปล่อยให้การกระทำเช่นนี้ดำรงอยู่ในสังคมไทย ต่อไปการตรวจสอบทางสังคม และการดำเนินการตามกฎหมาย ก็จะไม่มีความหมาย ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อไหร่ที่ทหารไม่พอใจใคร ก็จะใช้กำลังออกมาคุกคามตามอำเภอใจ ไม่ยึดกฎหมาย ทำลายกระบวนการยุติธรรม
ท้ายที่สุด ครป.ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการให้ผู้ใต้บังคับชาหยุดพฤติกรรมคุกคามสื่อมวลชน หยุดอ้างเกียรติยศศักดิ์ศรีของทหาร มาคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน โปรดเคารพกระบวนการยุติธรรม ด้วยการนำทหารกลับกรมกอง กลับไปทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างแท้จริง
***ปชป.ชี้ชัดละเมิดรัฐธรรมนูญ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงประเด็นที่มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางไปสำนักงานเอเอสทีวี ผู้จัดการ และ ผบ.ทบ. แจ้งว่าการกระทำดังกล่าวไม่ผิดกฎหมายนั้น ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิด หรือไม่ผิดกฎหมาย แต่ถามว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ถ้าเป็นกลุ่มบุคคลธรรมดาทั่วไปจะแสดงออกเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พอเข้าใจได้ แต่เมื่อเป็นทหาร และสวมเครื่องแบบทหารไปแสดงออกเช่นนั้น ทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นการข่มขู่ คุกคาม ซึ่งไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ไม่ควรถูกข่มขู่คุกคามจากคนกลุ่มใด รธน.ปี 50 บัญญัติไว้ในส่วนที่ 7 ว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชน และสื่อมวลชน เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออกความเห็นของสื่อมวลชนถึง 4 มาตรา คือ มาตรา 45-48 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และการแสดงออกของสื่อ ที่ไม่ควรถูกข่มขุ่คุกคาม หรือถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพจากใครทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม การแสดงความเห็นของสื่ออาจมีการล่วงละเมิด หรือหมิ่นประมาท สื่อมวลชนก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย ใครคิดว่าถูกละเมิด หรือถูกหมิ่นประมาท สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมาย และใช้กระบวนการยุติธรรมในการปกป้องรักษาสิทธิของตัวเอง และกลุ่มบุคคลของท่านไม่ให้ถูกลิดรอน ละเมิด หรือหมิ่นประมาทได้
"เพราะฉะนั้น ถ้าทหารที่คิดว่าสื่อมวลชนทำให้เกิดความเสียหาย ขอให้ใช้ช่องทางทางกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรมในการปกป้องบรรเทาความเสียหายของตัวเอง ดีกว่าการใช้วิธีการข่มขู่ คุกคาม หรือวิธีการอื่นๆ เชื่อมั่นว่าการที่โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาแสดงจุดยืนไม่อยากให้มีการแสดงออกลักษณะนี้อีก น่าจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง และหวังว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก" นายองอาจ กล่าว
** ทนายพันธมิตรฯลั่นฟ้องแน่
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การดำเนินการของกลุ่มทหารที่ตบเท้ามาแสดงพลังที่บ้านพระอาทิตย์ครั้งนี้ ถือเป็นการข่มขู่ และคุกคาม การทำหน้าที่สื่อมวลชน ซึ่งตนได้ปรึกษากับทางผู้บริหารของ ASTV และได้เตรียมให้ดำเนินการรวบรวมข้อมูล หลักฐานทั้งหมด และจะดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องต่อไป
** "ธิดาแดง"ดี๊ด๊า เป็น"มิติใหม่"ของทหาร
นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า การประทำของทหารกลุ่มนี้ ถือเป็นการแสดงออกตามสิทธิ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเหมือนประชาชนทั่วไป แต่หากทหารกลุ่มนี้ไม่ใส่เครื่องแบบไปประท้วง ก็จะเป็นประชาชนธรรมดากลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อสวมเครื่องแบบทหารไปประท้วงเรื่องที่ไม่ใช่กิจการเกี่ยวกับรัฐ จึงกลายเป็นเรื่องแปลก
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าทหารมีสิทธิทำได้ แต่ที่ดูเหมือนไม่ค่อยเหมาะ เพราะคนเคยชินกับทหารในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ หากจะประท้วงในลักษณะนอกเครื่องแบบจะดูดีกว่า เพราะเป็นการใช้สิทธิเหมือนประชาชน แต่ตนเข้าใจที่ทหารให้เหตุผลของการออกมาเคลื่อนไหวว่า ไม่ชอบให้ไปด่า "เจ้านาย" เหมือนกับที่ประชาชนส่วนอื่นๆในประเทศนี้เป็น และถ้าเขาบอกว่ามาประท้วงแทนทหารส่วนอื่น ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะสวยกว่า จึงคิดว่านี้เป็นเรื่องใหม่ ที่ทหารออกมาใช้สิทธิเสรีภาพเหมือนประชาชน
** ดักคอ"ประยุทธ์"วีรบุรุษจอมปลอม
ด้านนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "ไทยอินไซเดอร์" โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุ เตือนว่า "ประชาชนต้องระวังการเสพข่าว กรณีกลุ่มคนในเครื่องแบบบุก astv. มองได้อีกประการคือ..มีความพยายามทำลายกองทัพและศาลที่เป็นปราการด่านสุดท้ายในการยึดประเทศแบบเบ็ดเสร็จ และล้มสถาบัน.. เมื่อใดที่กองทัพแตกแยกและอ่อนแอ วิ่งเข้าหาการเมือง..ความฉิบหายเกิดขึ้นแน่..อยากเตือน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ระงับอารมณ์ส่วนตัว และควรนิ่งดังหินผา..มิฉะนั้นก็คงไม่ต่างจากบรรดา พล.อ. ที่เคยมีอำนาจและฟาดงบประมาณเสวยสุขยามเกษียณ.. อย่ากลายเป็นวีรบุรุษจอมปลอมไปอีกคนเลยครับ..ด้วยความปราถณาดีครับ.."
คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา35 ร้องนายกฯให้ พล.อ.ประยุทธ์ รับผิดชอบทหารบุกเอเอสทีวี แจงข้อเท็จจริงต่อสังคม หวั่นเหตุการณ์ซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ
วานนี้ (13 ม.ค.) ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา35 แถลงข่าวเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความรับผิดชอบและชี้แจงต่อสังคมกรณีนายทหารสังกัดกองทัพบกจำนวนมากบุกมาประท้วงสำนักพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการที่หน้าสำนักงานถึง 2 ครั้ง โดยเฉพาะการเดินไปครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นวันเด็กแห่งชาติถือเป็นวันสำคัญของเยาวชนไทยทั้งประเทศซึ่งผู้ใหญ่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีงาม แต่กลับมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและเรียกร้องผู้นำทหาร ผู้นำเหล่าทัพ ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด ว่าใช้สิทธิอะไรที่ไปแสดงออกลักษณะข่มขู่คุกคามสื่อ ทั้งที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีลำดับการบังคับบัญชามีการสั่งการหรือไม่ โดยเฉพาะกองทัพอยู่ภายใต้ผู้นำรัฐบาลหรือว่าขณะนี้กองทัพเป็นเอกเทศจากฝ่ายการเมืองถือเป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่งต่อบ้านเมืองอาจนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองเช่นเดียวกับพฤษภาทมิฬ ที่มีนายทหารบุกสำนักงานหนังสือพิมพ์สยามรัฐซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เจ้าของสื่อดังกล่าวจนเหตุการณ์บานปลาย โดยตนและญาติวีรชน ที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงจนลูกหลานเสียชีวิต ซึ่งขณะนี้เห็นเหตุการณ์เดิมกำลังจะเกิดย้อนรอยขึ้นใหม่ในประเทศไทย
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ต้องเอาผิดทางวินัยกับนายทหารเหล่านนี้ และสั่งตั้งกรรมการสอบว่าเดินทางมาโดยใบสั่งหรือมีคำอนุญาตของใครเพราะทหารเป็นผู้ถือกฎระเบียบวินัยเคร่งครัดมาก การออกมาจากหน่วยได้ต้องมีใบลาหรือมีคำสั่งอนุญาตของหัวหน้าหน่วยเท่านั้น ซึ่งเป็นการเอาใจนายจนออกนอกหน้าถือว่าเป็นแนวคิดที่อันตราย หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่พอใจการทำหน้าที่ของสื่อก็ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมหรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้และสามารถร้องสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติให้ตรวจสอบจรรยาบรรณทางวิชาชีพได้ตามกระบวนการประชาธิปไตยขอให้เคารพหลักสิทธิมนุษยชน อย่าใช้อำนาจนิยมแบบนี้”นายอดุลย์ กล่าว
นายอดุลย์ กล่าวว่าถึงเวลาที่สังคมไทยมาช่วยกันอะไรที่ไม่ชัดเจนตรงไหนที่เป็นทางตัน หรือขบกันอยู่ ช่วยกันแก้ไขเพราะปัญหายุ่งยากในวันนี้คงไม่สามารถแก้ไขได้ภายในพริบตา ผ่านช่วงไม่กี่วันหลังปีใหม่ มองเห็นปัญหาความรุนแรงเกิดขึ้นอีกมาก ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาคอร์รัปชั่น และปัญหาความเดือดร้อนจากนโยบายรัฐบาล กรณีช่อง 3 และเหตุการณ์ที่ทหารกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการอนุญาตสนับสนุนจากผู้นำเหล่าทัพ ออกมาข่มขู่สื่อ สงสัยว่าทำไมทหารไม่จำบทเรียนประวัติศาสตร์ปล่อยให้ซ้ำรอยอย่างไร ในฐานะที่ทหารเป็นหน่วยหนึ่งรัฐบาล นายกฯ หัวหน้ารัฐบาลกำกับดูแล ชี้แจงประชาชน เมื่อเกิดเหตุ วันที่ 11 ม.ค.แล้วเหตุใด นายกฯไม่ออกมาห้ามปราม หวังว่ารัฐบาลคงมีคำตอบโดยเร็ว
ด้านนายเมธา มาสขาว เลขาธิการศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยหรือ ศนนท. กล่าวว่าปัจจุบันความขัดแย้งต่อเนื่องยังไปอีกยาวนาน สังคมไทยควรมาอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง เพื่อฝ่าวิฤกตต่อไปได้ เบื้องต้นขอแสดงความยินดี กับการปล่อยตัว น.ส.ราตรี และลดโทษนายวีระ ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้รัฐบาลนิรโทษกรรมาเหยื่อทางการเมือง แต่ยกเว้น แกนนำ เช่นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีในกรณีสั่งปราบปรามการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เข้าสู่กระบวนการศาล และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กลับมาติดคุกตามโทษที่ได้รับเพื่อยุติความขัดแย้งมีมากกว่า 6 ปี ซึ่งรัฐบาลต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาความยากจนระดับโครงสร้างประเทศและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมของผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรของประเทศ ยกเว้นการปฏิบัติไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐ แก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น เพิ่มบทบาทการทำงานของสำนักป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติหรือ ปปช.ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ให้มากขึ้นเพื่อไปตรวจสอบได้ทุกระดับ ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้เดินตามแนวทางปรองดองของ คอป. ทั้งนี้การพบปะระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับ ผู้นำเหล่าทัพ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในวันที่ 21 ม.ค. นี้ เรียกร้องให้พูดคุยกันถึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อสังคมด้วย.
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งสื่อในเครอเอเอสทีวี ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปพบปะกับพันธมิตรฯ ที่สหรัฐอเมริกา ได้โฟนอินเข้ามายังรายการ “ตีแสกหน้า” ภาคพิเศษ ทางเอเอสทีวี กรณีที่มีทหารจำนวนหนึ่งเดินทางมาแสดงพลังที่หน้าบ้านพระอาทิตย์ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ที่วิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ว่า ตนเสียใจที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เพราะอยู่ในช่วงที่มาพบปะกับพี่น้องที่แคลิฟอร์เนีย ทั้งหมดหมดนี้อยากให้พวกเราและพี่น้องพันธมิตรฯ เข้าใจข้อเท็จจริงบางประการก่อน
ข้อเท็จจริงข้อแรก สังคมไทยต้องรู้ และคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งบางคนก็เรียก ประยุทธ์ ชินโอชา หรือ ประยุทธ์ จันทร์ส่องหล้า ก็แล้วแต่ ต้องรู้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ.ก็จริง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่เจ้าของกองทัพ เพราะที่จริงแล้วมีคนในกองทัพมากมายที่ไม่พอใจ
พล.อ.ประยุทธ์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องการบริหารงบประมาณ การจัดซื้ออาวุธในกองทัพที่ขาดตกบกพร่อง เรื่องศักดิ์ศรีของกองทัพในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. มันตกต่ำที่สุด โดนคนเสื้อแดงเหยียดหยาม โดนดีเอสไอ เหยียดหยาม
อันที่สาม พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บังคับบัญชาที่ไม่ปกป้องลูกน้อง กรณีทหารที่ตายไปเพราะคนเสื้อแดง อย่าง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยเรียกร้องความยุติธรรมให้ครอบครัวเขา และกองทัพ แต่คุณประยุทธ์ กลับสั่งให้ลูกน้องออกมาปกป้องตัวเองจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และ วันนี้ (11-12 ม.ค.) ไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์จิตใจทำด้วยอะไร แค่เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งไม่ใช่ทหาร ก็ใช้ไม่ได้แล้ว แต่นี่เป็นถึง ผบ.ทบ. นี่คือความห่วยแตกอย่างแท้จริง
ข้อเท็จจริงข้อที่ 4 ซึ่งสำคัญมาก พล.อ.ประยุทธ์ ทะลึ่ง อยู่ดีไม่ว่าดี หนังสือพิมพ์ผู้จัดการทำหน้าที่สื่ออยู่ดีๆ มาว่าเขาห่วยแตก เอเอสทีวีผู้จัดการ เลยถามกลับว่าใครห่วยแตกกว่ากัน ระหว่างผู้จัดการ กับ ผบ.ทบ. ก็โกรธทันที นี่คือลักษณะของคนไม่มีการศึกษา เป็นอันธพาล เราอยู่ของเราดีๆ
พล.อ.ประยุทธ์ ต้องจำใส่กะโหลกว่า คุณเสือกมาหาเรื่องเขาก่อน ก็เลยเกิดคำถามว่า ทำไมมาเก่งกับหนังสือพิมพ์อย่างผู้จัดการ ทำไมกับ ฮุน เซน ไม่เห็นเก่ง ลูกน้องตัวเอง นายพลกุนเชียง รุ่นเดียวกันทำความเสียหายให้กองทัพภาคที่ 2 กลับออกมาปกป้อง ไม่ทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เขาก็เลยตั้งคำถาม
อีกอย่างคุณต้องตั้งคำถามถามตัวเองทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้มาและออกมาเพราะอยากเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องถามตัวเองว่า เอเอสทีวีผู้จัดการห่วยตรงไหน เขาถามคำถามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตอบ แต่เสือกตอบไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดเขาทำหน้าที่ของเขา พล.อ.ประยุทธ์และทหารที่มาประท้วง ลืมตัว ทุกเดือนที่เรารับเงินเดือน เราหักภาษีเป็นเงินทองที่เอาไปเลี้ยงพวกคุณ คุณมาประท้วงหาอะไร คุณจะรับใช้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็รับใช้ให้ถูกหน่อย ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ บอกให้ไปตายเพื่อชาติแล้วพวกคุณยินดีตายก็เห็นด้วย แต่การใช้ให้ไปลุยเอเอสทีวีผู้จัดการ ก็เพื่อให้ดูว่ามีทหารรักอยู่เยอะ นี่คือตรรกะหัวแม่ตีน
แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นก็อยู่บนข้อมูลที่มันห่วยแตก คือ นักข่าวไปถามว่า วันที่ 21 ม.ค.ที่จะมีการชุมนุมกัน คุณสนธิ คุณปานเทพไปด้วย จะมีความเห็นยังไง เท่านั้นเอง ปรี๊ดแตก เหมือนคนประจำเดือนหมด โดยไม่รู้ว่าเราไม่ได้เกี่ยว เป็นเรื่องของกลุ่ม 13 สยามไท เราไม่ได้เกี่ยวเลย แต่ก็พรั่งพรูออกมาจากปากเลย มาด่าเรา ด่าโน่นด่านี่ พอเราสวนกลับบ้าง โกรธ คุณเป็นใครมาจากไหนที่เราจะแตะต้องคุณไม่ได้ การแตะต้องคุณเป็นเรื่องถูกต้องอยู่แล้ว เพราะเราทำหน้าที่สื่อ แต่นี่เรามีสิทธิที่จะแตะต้องคุณ เพราะคุณมาด่าเราก่อน คุณไม่ดูตัวคุณเองแล้วมาเที่ยวด่าคนอื่น
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่น่าเสียใจคือ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ มาพูดว่า ตนโกรธที่เข้าใจว่าทหารเป็นคนยิง ( เมื่อปี 2552 ) แสดงว่า พล.ต.อภิรัชต์เข้าใจผิด เพราะตนไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น แต่เชื่อเลย ถ้า พล.ต.อภิรัชต์ อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ศึกษาข้อมูลข่าวสารบ้าง แทนที่จะไปทำธุรกิจกับ นายสนธยา คุณปลื้ม เพื่อนรักที่ทำธุรกิจด้วยกันทางภาคตะวันออก ก็จะรู้ว่า พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ออกหมายจับผู้ต้องหา 3 คน คนหนึ่งคือ ส.ต.ท.วรวุฒิ ซึ่งเป็นคนสนิทของ ทวี สอดส่อง ที่ดีเอสไอ อีก 2 คนเป็น ส.อ. และ จ.ส.อ. มาจากศูนย์สงครามพิเศษ อาวุธและกระสุนยืนยันมาแล้วว่า มาจากคลังแสงของกองทัพบก มันทหารร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณไปถามนายคุณที่คุณพยายามจะเชลียร์ นายคุณเป็นคนเซ็นคำสั่งย้ายคนที่มายิงตนไปช่วยราชการในภาคใต้ และมีอีกหลายข้อมูลจาก พล.ต.อ.ธานี เขากำลังจะออกหมายจับพันเอกคนหนึ่งที่ศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี แต่ข่าวมันหลุดไปเข้าหูรัฐบาลชุดนั้น เขาเลยให้ระงับการสืบสวนสอบสวนต่อ คดีมันเลยหยุดตรงนี้ มันทหารร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนสัตว์นรกนายพลคนไหนอยู่เบื้องหลัง ตนรู้แต่ ไม่อยากพูด
นายสนธิกล่าวต่อว่า พ่อของ พล.ต.อภิรัชต์ ก็ให้สัมปทานดาวเทียมแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นที่เข้าใจว่า พล.ต.อภิรัชต์ สนิทกับทักษิณ คุณอวยกันเข้าไปสิ เรียกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการว่า สถุล ถ่อย แล้วทหารที่มีแต่ใช้ยศตำแหน่งทำมาหาแดก รู้จักกับคนขายชาติที่อยู่ต่างประเทศ แล้วแอบช่วยกัน ใครถ่อยกว่ากัน เมื่อหลายปีก่อนมีคนยิงใส่บ้านตน รู้หรือเปล่าว่าสัตว์นรกตัวไหนสั่งยิง ฟังแล้วอย่าสะอึก ตนรู้ใครสั่งยิง คุณจะเอาใจนายก็ให้มันดีหน่อย ศัตรูชาติบ้านเมืองไม่ได้อยู่ที่ผู้จัดการ แต่คือคนโกงชาติ ขายชาติ คนกำลังจะยกแผ่นดินให้เขมร
นายสนธิ กล่าวอีกว่า พล.ต.อภิรัชต์ เป็นลูกพล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ให้ไปดูประวัติพ่อตัวเอง ที่สนิทสนมพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณกับทักษิณ ยังไงก็ต้องสัมพันธ์กัน ติดต่อกัน ถามว่าคุณเกี่ยวพันอะไรกับการแอบช่วยทักษิณ อยู่หรือเปล่า คุณมาว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถ่อย ถ้าถ่อยเพื่อชาติ ก็ให้มันถ่อยไป อย่าให้เปิดเลยว่าคุณทำมาหากินอะไรกับนายสนธยา คุณปลื้ม ทางภาคตะวันออก เมื่อก่อนมาเฟียทหารที่ทำมาหากินรู้จักคุณหมดเลย คุณเป็นทหารแบบไหน ถ้าไม่พอใจจะกระซิบใครมาจัดการตนก็เชิญ
กรณีที่ พล.ต.อภิรัชต์ กล่าวหาว่าเอเอสทีวีผู้จัดการ และพันธมิตรฯ ต้องการใช้ทหารเป็นเครื่องมือ แต่พอใช้ไม่ได้เลยโกรธนั้น นายสนธิ กล่าวว่า จะใช้พวกคุณทำห่าอะไร พวกคุณไม่ใช่ทหาร เป็นแค่คนที่ใส่เครื่องแบบ แล้วใช้เครื่องแบบมาทำมาหารับประทาน
ส่วนกรณีที่ทหารเรียกร้องให้ขอโทษนั้น นายสนธิ กล่าวว่า ให้รอชาติหน้า และอีกหลายๆชาติ ก็จะไม่มีวันขอโทษ ถ้าเรื่องนี้ยังไม่จบ จะถามพี่น้องที่เป็นผู้หญิงทั่วประเทศไปชุมนุมพร้อมกันที่หน้ากองทัพบก มากันเป็นหมื่น เป็นแสน แล้วให้ถือผ้าถุงไปคนละผืน เอาไปให้ พวกทหารไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร เอเอสทีวีอยู่ได้เพราะพี่น้องบริจาคเงินให้ แต่พวกคุณอยู่ได้เพราะภาษีพวกเรา พี่น้องบริจาคให้พวกเรา เราทดแทนบุญคุณพี่น้องด้วยการพูดความจริง ยืนอยู่บนความถูกต้อง ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น แล้วพวกคุณเอาเงินภาษีเราไปใช้สอยเลี้ยงดูลูกเมีย ก็ต้องยืนอยู่บนความถูกต้อง ปกป้องชาติบ้านเมือง ให้ประชาชนผู้เสียภาษีให้ แค่นี้ยังคิดไม่ออก น่าจะเดินรอบพวกเราแล้วให้เราเขกกบาลคนละที
ส่วน ที่ห้ามไม่ให้นักข่าวเอเอสทีวีเข้าไปทำข่าวในกองทัพบก นายสนธิ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ไม่อยากทำข่าวพวกมันอยู่แล้ว และจะประกาศเป็นทางการว่า จากนี้ไปจะไม่ส่งนักข่าวเข้าไปทำข่าวในกองทัพบก หรือที่กองทัพบกทำ แต่ถ้าเขียน เขียนเกินไปถูกอย่ามาว่ากัน ไปบอกว่า ชาติหน้า หรือใดๆ ก็ไม่ขอโทษ
กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ อ้างว่าทหารที่มาตนไม่ได้สั่ง แต่มากันเองนั้น นายสนธิ กล่าวว่า เป็นการเอาทหารมาปกป้องตัวเอง มาสร้างภาพว่าทหารยังรัก ใครมาว่านายไม่ได้ ที่บอกว่า ผบ.ทบ. เป็นพ่อคนที่ 2 ก็มีพ่อแบบนี้ ลูกแบบนี้ถึงได้ชั่ว
ส่วนที่ ผบ.ทบ.บอกว่า ทหารที่ไปวันนี้ เป็นการไปนอกเวลาราชการ และถ้าไม่อยากให้เรื่องบานปลาย สื่อต้องเงียบ ไม่ขยายความมากกว่านี้ นายสนธิ กล่าวว่า ทำไมสื่อต้องเงียบ มีสิทธิอะไรมาบอกให้เงียบ แล้วที่อ้างว่าทหารมานอกเวลา นอกราชการ แล้วทหารใช้เวลานอกราชการไปประท้วงเรื่องเขาพระวิหาร หรือไปชุมนุมกับ เสธ.อ้าย ทำไมห้าม เวลาพูดอะไร พล.อ.ประยุทธ์ เคยนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยพูดไว้ไหม วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลายเป็น ประยุทธ์ จันทร์ส่องหล้า ที่เป็นโมฆะบุรุษไปแล้ว
นายสนธิกล่าวอีกว่า เมื่อเห็นลักษณะของ พล.อ.ประยุทธ์ แบบนี้แล้ว และลูกน้องพล.อ.ประยุทธ์ คนที่ไม่มีวุฒิภาวะความเป็นนักรบ ความเป็นผู้ใหญ่ เจ้าอารมณ์ ปรี๊ดแตก ไม่ใช้เหตุผลแล้ว คนที่หลงตัวเองมาก คนแบบนี้จะมาปกป้องชาติบ้านเมืองได้อย่างไร คนแบบนี้ถูกครอบงำได้ง่ายจากอิทธิพล และผลประโยชน์ คงลืมไปว่าตนเองจะเป็น ผบ.ทบ. ชั่วนิจนิรันดร ลืมไปว่าอีก 2 ปีเกษียณแล้วก็ไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง พวกที่มาเชลียร์ พล.อ.ประยุทธ์วันนี้ รวมทั้ง พล.ต.อภิรัชต์ ก็เปลี่ยนไปเกาะนายใหม่ ไปเอาใจนายคนใหม่ต่อ ชีวิตน่าสงสาร น่าสมเพช ไม่รู้ตัวเอง อวดดีอยู่อย่างเดียวว่า ตัวเองเป็นทหาร เอากำลังมาข่มขู่ เอาทหารมาเฟียมารังแกคน มีทีมล่าสังหารในมือ ก็จะเอามายิงสนธิให้ได้ คิดได้แค่นี้ สร้างสรรอะไรไม่เป็น ทำยังไงจะให้ชาติบ้านเมืองไปได้ดี ให้พระเจ้าอยู่หัวมั่นคง ไม่มีใครมาจาบจ้วง ใครมาจาบจ้วงเห็นดีกับกู “เห็นดีกับกู” ในที่นี้ ไม่ใช่เอาปากไปซุกก้นผู้หญิง แล้วเดินตามไปลอกคลอง
ถ้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ และทหารที่มาผู้จัดการวันนี้รวมตัวกันตบเท้าไปหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ แล้วบอกว่า ท่านนายกฯ ระยะนี้ข่าวคราวคอร์รัปชันมันเยอะมากเหลือเกิน พวกผมห่วงใยประเทศชาติ ขอแสดงความเห็นให้นายกฯ จัดการกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง อย่างนี้จึงจะน่าปรบมือให้ แต่ไม่ทำ มันทำไม่ได้ เพราะยิ่งลักษณ์ มีงบจัดซื้ออาวุธให้ เอะอะก็อ้างว่าต้องทำตามกฎหมาย แล้วตอนนี้ทำตามกฎหมายหรือเปล่า เวลาทหารจะออกมาทำเพื่อประชาชน เพื่อชาติบ้านเมือง ก็ขู่ว่าทหารต้องอยู่ในวินัย แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้ อยู่ในวินัยหรือเปล่า
**อัด “ประยุทธ์”หยุดใช้วิธีอันธพาล
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่น 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ระบุว่า เหตุที่มีคนสงสัยข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า มีการวางยา หรือเลื่อยขา ผบ.ทบ. หรือไม่ กรณีการตบเท้ามาเยือนที่ ASTV ก็เพราะตำแหน่ง แม่ทัพภาค 1 คนปัจจุบันชื่อ พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา (ต.ท.15) เป็นทหารลูกหม้อสายวงศ์เทวัญ น้องรักของพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุบรรณ รอง ผบ.ทบ. ได้ขึ้นมาเพราะอาวุโสสูงสุด
ในขณะเวลานั้นน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกคนหนึ่งที่แคนดิเดตเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ชื่อ พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 ในเวลานั้น (ต.ท.15) ผู้ที่เสี่ยงภัยกับ พล.อ.ร่มเล้า ธุวธรรม ที่สมรภูมิสี่แยกคอกวัว-ร.ร.สตรีวิทยา จนขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จึงถูกแรงกดดันทางการเมือง โยกให้ไปเป็นแม่ทัพน้อยภาคที่ 1 อัตราพลโท
แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีเอาใจเจ้านาย, วางยาเลื่อยขาเก้าอี้, หรือเป็นใบสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตาม แต่เมื่อ ผบ.ทบ. ส่งสัญญาณไฟเขียว ว่า “ทำได้ เพราะเป็นการปกป้องกองทัพ” เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ได้แต้มอะไรเลย นอกจากประจานความเสียหายให้กับ ผบ.ทบ. ที่ส่งสัญญาณไฟเขียวแสดงออกตบเท้าเพื่อปกป้องตัวเองได้ โดยลืมไปว่าตัวเองได้สั่งห้ามร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และห้ามไปชุมนุมกับคนที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ทำให้เกิดความสงสัยว่า คำขวัญของกองทัพที่ว่า “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็น “เพื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไปแล้วหรือไม่ ?
ไม่ขอกล่าวว่า ทหารปฏิบัติการจิตวิทยาชั้นประทวน ที่มาเยือนที่ ASTV เพราะเป็นเพียงผู้รับคำสั่งมาอีกทีหนึ่ง แต่หมากตานี้ถือว่าเดินพลาดอย่างแรง เพราะนอกจากจะไม่สามารถหยุด นสพ.เอเอสทีวี-ผู้จัดการ ได้แล้ว ยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของกองทัพให้ตกต่ำลงไป ทั้งต่อคนในสังคมและคนในวงการสื่อสารมวลชนว่า เป็นการลุแก่อำนาจ เป็นเผด็จการ และข่มขู่ได้เอากับเฉพาะกับคน หรืองค์กรที่ไม่มีกองกำลัง หรือ อาวุธสงคราม
ในทางตรงกันข้าม คำถามเนื้อแท้ที่ นสพ.เอเอสทีวี-ผู้จัดการ ได้ถามถึงการทำหน้าที่ ผบ.ทบ. ก็หาได้มีคำตอบอย่างชัดเจนไม่ เช่น คำถามการถูกรุกรานแผ่นดินไทยที่เกิดขึ้นจริงในเวลานี้ คำถามที่คดีชายชุดดำฆ่าทหารกลับถูกปล่อยตัว คนเสื้อแดงตายได้รับเงิน 7.1 ล้านบาท ( ได้รับเงินสูงเสียยิ่งกว่าทหารที่เขาพลีชีพเพื่อชาติ) ในขณะที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่กลับถูกไต่สวนว่า ฆ่าประชาชน อีกทั้งเรือเหาะที่บินสูงใช้งานไม่ได้ ฯลฯ ทั้งๆ ที่คำถามเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ของทหาร และเป็นคำถามเพื่อให้ได้คำตอบในเกียรติภูมิของผู้ใต้บังคับบัญชาการทั้งสิ้น
ข้อสำคัญต้องไม่ลืมว่า ทหารทุกคนมีรายได้จากภาษีของประชาชน และใช้งบประมาณของแผ่นดิน สื่อมวลชนก็มีหน้าที่และย่อมมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถาม และวิจารณ์การทำงานของ ผบ.ทบ.ได้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อีกทั้งกองทัพบกก็มีสื่อของตัวเองเป็นจำนวนมาก ก็ควรจะตอบข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริง หรือแม้แต่หากคิดว่าสื่อแห่งนั้นดูถูกเหยียดหยามตัวเอง ก็มีช่องทางกฎหมายที่จะสามารถฟ้องร้องกลับได้ ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ไม่ใช่ใช้กองกำลังทหารใส่เครื่องแบบมากดดันสื่อมวลชนให้ถูกครหาได้ว่า ทำตัวเยี่ยงอันธพาลที่คอยเฝ้าอยู่ตาม ผับ บาร์ บ่อน หรือ ซ่อง
กองทัพเป็นองค์กรเพียงไม่กี่แห่งที่มี 1. กองกำลัง 2. อาวุธสงคราม ดังนั้น การอ้างแต่เพียงว่า เป็นการใช้สิทธิมาแสดงออกจะต้องพึงสังวรในอำนาจแฝงข้อนี้ที่ต่างจากทุกองค์กรในประเทศไทยด้วย การปรากฏตัวแบบไม่สามารถอธิบายได้ว่า เป็นการแสดงออกได้เลย หากแต่สังคมและวิญญูชนต่างเห็นตรงกันว่า เป็นการอาศัยเครื่องแบบในความเป็นทหารมาข่มขู่ และคุกคามสื่อมวลชน และประชาชน
เพราะต้องไม่ลืมว่า ที่ ASTV-ผู้จัดการ ได้โดนกระทำด้วยทั้ง ระเบิด M-79, ปืน M-16 จากใจกลางแม่น้ำเจ้าพระยา, ระเบิดปิงปอง, แม้แต่การรุมยิงเพื่อสังหารคุณสนธิ ใจกลางพระนครโดยฝีมือคนในกองทัพ ก็เคยทำกันมาแล้ว จริงหรือไม่ ?
ขอย้ำว่า หลายปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า การขู่คุกคาม การใช้กองกำลัง และอาวุธสงคราม ไม่สามารถที่จะหยุด ASTV-ผู้จัดการ ได้ และหาก ผบ.ทบ.คิดว่าการนำเสนอไม่ถูกต้อง สิ่งที่ควรทำที่สุด คือ ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่ใช้ทหารกดดัน หรือบีบบังคับให้ขอโทษ หรือเพื่อให้นำเสนออย่างที่ตัวเองต้องการ ซึ่งสื่ออย่าง ASTV-ผู้จัดการ จะไม่มีทางยอมสยบด้วยวิธีการเช่นนี้อย่างเด็ดขาด
หาก ผบ.ทบ. อยากอ้างว่า ตัวเองไม่ขอเกี่ยวข้อง หรือไปหยุดยั้งความเลวร้ายของนักการเมือง โดยอ้างว่าต้องเคารพในระบอบประชาธิปไตยแล้ว ก็ควรจะเคารพสิทธิ เสรีภาพของสื่อตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยเช่นกัน
** จี้"บิ๊กห่วย"ออกมาขอโทษสังคม
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แม้นายทหารชั้นประทวนที่มาบุกหน้าบ้านพระอาทิตย์ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน จะมาชุมนุมโดยสงบ แต่ก็ถือว่าเป็นการคุกคามหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ และสื่อในเครือโดยตรง เป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะหาก ผบ.ทบ. หรือคนในกองทัพเห็นว่า ได้รับความเสียหาย ก็สามารถใช้สิทธิฟ้องร้อง หรือสามารถชี้แจงผ่านสื่อมวลชนได้ตลอดเวลา
เหตุการณ์ครั้งนี้ถ้า ผบ.ทบ.ไม่รู้เห็น ก็ต้องตำหนิ หรือพิจารณาโทษทางวินัยนายทหารเหล่านั้น เพราะ ผบ.ทบ. เองก็เคยออกคำสั่งห้ามกำลังพลเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือร่วมชุมนุมใดๆ แต่การที่ ผบ.ทบ. บอกว่าเป็นสิทธิของทหารนั้น ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ดี และเกิดการเอาอย่าง เลียนแบบ เล่นงานคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กองทัพ โดยเฉพาะการเล่นงานในที่มืด เฉกเช่นกรณีที่
ตำรวจนครบาลหลายร้อยนาย บุกที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีที่ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลถูกตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ ในการปฏิบัติหน้าที่ จากนั้นไม่กี่สัปดาห์ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และยังไม่มีความคืบหน้าในการหาผู้กระทำผิด
"พฤติกรรมของทหารครั้งนี้ ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเป็นการซ้ำเติมภาพลักษณ์ของกองทัพที่มีปัญหาอยู่แล้ว ทหารทุกคนมีสิทธิที่จะปกป้องเกียรติภูมิของนาย หรือผู้บังคับบัญชา แต่ก็ต้องคำนึงถึงเกียรติภูมิของกองทัพ ในฐานะที่เป็นสถาบันหลักอันสำคัญของชาติด้วย เพราะ ผู้มาเป็น ผบ.ทบ. มาแล้วก็ไปตามวาระ แต่กองทัพในฐานะสถาบัน ต้องอยู่คู่ประชาชน จริงๆ แล้วเรื่องนี้ถ้าจะมีคนขอโทษ ควรเป็น ผบ.ทบ. ด้วยซ้ำ ที่ต้องขอโทษสังคมที่เกิดเห็นในลักษณะไม่เหมาะสมเช่นนี้ขึ้น" นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า สังคมไทยตกอยู่ความขัดแย้ง แตกแยกมานาน กลายเป็นสังคมที่มีความตึงเครียดสูง ผู้นำในองค์กรหลัก โดยเฉพาะ ผบ.ทบ. ต้องมีความอดทน อดกลั้นสูง และหนักแน่นกว่านี้ และสื่อมวลชนมีสิทธิเสรีภาพที่จะวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของ ผบ.ทบ. อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งทุกครั้งที่ ผบ.ทบ.ใช้สิทธิพาดพิงชี้แจง ก็ไม่เห็นสื่อไหนปิดกั้นข่าวของ ผบ.ทบ. ที่กลายเป็นข่าวที่เป็นตัวแปรทางการเมืองมากด้วยซ้ำไป ในระยะหลังๆ
** หยุดอ้างเกียรติทหารคุกคามสื่อ
ด้านคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) โดย นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด เลขาธิการ ครป. ก็ออกแถลงการณ์เรื่อง ขอประณามกองกำลังทหารที่คุกคามหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ กดดันให้สื่อในเครือเอเอสทีวี ออกมาขอโทษ ดังนี้
1. เราขอประณามการเคลื่อนไหวของกองกำลังทหารที่หน้าสำนักพิมพ์ผู้จัดการโดยอ้างว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเสนอข่าวเกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ เป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี และเรียกร้องให้สื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ออกมาขอโทษ การกระทำเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชนอย่างรุนแรง ทั้งนี้ เพราะหากทหารเห็นว่าการนำเสนอข่าวดังกล่าวไม่เคารพศักดิ์ศรีของพวกท่าน ก็สามารถไปฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรมเยี่ยงอารยะประเทศ ซึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ก็ต้องรับผิดชอบต่อการนำเสนอข่าวสารของตน ตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของทหารที่ออกมากดดันเหมือนประเทศเป็นเผด็จการ
2. เราขอยืนยันว่า “เสรีภาพของสื่อ คือ เสรีภาพของประชาชน” การที่ทหารใช้กองกำลังมากดดันหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในครั้งนี้ จึงเท่ากับเป็นการคุกคามเสรีภาพของประชาชนเช่นกัน พฤติกรรมดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการไม่เคารพรัฐธรรมนูญ อันเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยเฉพาะมาตรา 45 ที่บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น
“การห้ามหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่นเสนอข่าวสาร หรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมด หรือบางส่วน หรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งได้ตราขึ้นตามวรรคสอง”
3. เราเห็นว่า การนำเสนอข่าวและการแสดงความคิดเห็นทางสาธารณะของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการดังกล่าวนั้นเป็นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในการรายงานข่าวสารให้ประชาชนรับทราบ เป็นเสรีภาพของสื่อมวลชน จึงไม่ใช่เหตุที่ทหารจะนำกำลังมากดดัน เพื่อให้สื่อออกมาขอโทษตามความต้องการของตน หากทหาร หรือ ผบ.ทบ. ไม่พอใจ ก็ควรไปฟ้องร้องดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม เพราะหากเราปล่อยให้การกระทำเช่นนี้ดำรงอยู่ในสังคมไทย ต่อไปการตรวจสอบทางสังคม และการดำเนินการตามกฎหมาย ก็จะไม่มีความหมาย ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อไหร่ที่ทหารไม่พอใจใคร ก็จะใช้กำลังออกมาคุกคามตามอำเภอใจ ไม่ยึดกฎหมาย ทำลายกระบวนการยุติธรรม
ท้ายที่สุด ครป.ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการให้ผู้ใต้บังคับชาหยุดพฤติกรรมคุกคามสื่อมวลชน หยุดอ้างเกียรติยศศักดิ์ศรีของทหาร มาคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน โปรดเคารพกระบวนการยุติธรรม ด้วยการนำทหารกลับกรมกอง กลับไปทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างแท้จริง
***ปชป.ชี้ชัดละเมิดรัฐธรรมนูญ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงประเด็นที่มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางไปสำนักงานเอเอสทีวี ผู้จัดการ และ ผบ.ทบ. แจ้งว่าการกระทำดังกล่าวไม่ผิดกฎหมายนั้น ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิด หรือไม่ผิดกฎหมาย แต่ถามว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ถ้าเป็นกลุ่มบุคคลธรรมดาทั่วไปจะแสดงออกเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พอเข้าใจได้ แต่เมื่อเป็นทหาร และสวมเครื่องแบบทหารไปแสดงออกเช่นนั้น ทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นการข่มขู่ คุกคาม ซึ่งไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ไม่ควรถูกข่มขู่คุกคามจากคนกลุ่มใด รธน.ปี 50 บัญญัติไว้ในส่วนที่ 7 ว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชน และสื่อมวลชน เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออกความเห็นของสื่อมวลชนถึง 4 มาตรา คือ มาตรา 45-48 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และการแสดงออกของสื่อ ที่ไม่ควรถูกข่มขุ่คุกคาม หรือถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพจากใครทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม การแสดงความเห็นของสื่ออาจมีการล่วงละเมิด หรือหมิ่นประมาท สื่อมวลชนก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย ใครคิดว่าถูกละเมิด หรือถูกหมิ่นประมาท สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมาย และใช้กระบวนการยุติธรรมในการปกป้องรักษาสิทธิของตัวเอง และกลุ่มบุคคลของท่านไม่ให้ถูกลิดรอน ละเมิด หรือหมิ่นประมาทได้
"เพราะฉะนั้น ถ้าทหารที่คิดว่าสื่อมวลชนทำให้เกิดความเสียหาย ขอให้ใช้ช่องทางทางกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรมในการปกป้องบรรเทาความเสียหายของตัวเอง ดีกว่าการใช้วิธีการข่มขู่ คุกคาม หรือวิธีการอื่นๆ เชื่อมั่นว่าการที่โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาแสดงจุดยืนไม่อยากให้มีการแสดงออกลักษณะนี้อีก น่าจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง และหวังว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก" นายองอาจ กล่าว
** ทนายพันธมิตรฯลั่นฟ้องแน่
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การดำเนินการของกลุ่มทหารที่ตบเท้ามาแสดงพลังที่บ้านพระอาทิตย์ครั้งนี้ ถือเป็นการข่มขู่ และคุกคาม การทำหน้าที่สื่อมวลชน ซึ่งตนได้ปรึกษากับทางผู้บริหารของ ASTV และได้เตรียมให้ดำเนินการรวบรวมข้อมูล หลักฐานทั้งหมด และจะดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องต่อไป
** "ธิดาแดง"ดี๊ด๊า เป็น"มิติใหม่"ของทหาร
นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า การประทำของทหารกลุ่มนี้ ถือเป็นการแสดงออกตามสิทธิ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเหมือนประชาชนทั่วไป แต่หากทหารกลุ่มนี้ไม่ใส่เครื่องแบบไปประท้วง ก็จะเป็นประชาชนธรรมดากลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อสวมเครื่องแบบทหารไปประท้วงเรื่องที่ไม่ใช่กิจการเกี่ยวกับรัฐ จึงกลายเป็นเรื่องแปลก
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าทหารมีสิทธิทำได้ แต่ที่ดูเหมือนไม่ค่อยเหมาะ เพราะคนเคยชินกับทหารในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ หากจะประท้วงในลักษณะนอกเครื่องแบบจะดูดีกว่า เพราะเป็นการใช้สิทธิเหมือนประชาชน แต่ตนเข้าใจที่ทหารให้เหตุผลของการออกมาเคลื่อนไหวว่า ไม่ชอบให้ไปด่า "เจ้านาย" เหมือนกับที่ประชาชนส่วนอื่นๆในประเทศนี้เป็น และถ้าเขาบอกว่ามาประท้วงแทนทหารส่วนอื่น ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะสวยกว่า จึงคิดว่านี้เป็นเรื่องใหม่ ที่ทหารออกมาใช้สิทธิเสรีภาพเหมือนประชาชน
** ดักคอ"ประยุทธ์"วีรบุรุษจอมปลอม
ด้านนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "ไทยอินไซเดอร์" โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุ เตือนว่า "ประชาชนต้องระวังการเสพข่าว กรณีกลุ่มคนในเครื่องแบบบุก astv. มองได้อีกประการคือ..มีความพยายามทำลายกองทัพและศาลที่เป็นปราการด่านสุดท้ายในการยึดประเทศแบบเบ็ดเสร็จ และล้มสถาบัน.. เมื่อใดที่กองทัพแตกแยกและอ่อนแอ วิ่งเข้าหาการเมือง..ความฉิบหายเกิดขึ้นแน่..อยากเตือน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ระงับอารมณ์ส่วนตัว และควรนิ่งดังหินผา..มิฉะนั้นก็คงไม่ต่างจากบรรดา พล.อ. ที่เคยมีอำนาจและฟาดงบประมาณเสวยสุขยามเกษียณ.. อย่ากลายเป็นวีรบุรุษจอมปลอมไปอีกคนเลยครับ..ด้วยความปราถณาดีครับ.."
คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา35 ร้องนายกฯให้ พล.อ.ประยุทธ์ รับผิดชอบทหารบุกเอเอสทีวี แจงข้อเท็จจริงต่อสังคม หวั่นเหตุการณ์ซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ
วานนี้ (13 ม.ค.) ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา35 แถลงข่าวเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความรับผิดชอบและชี้แจงต่อสังคมกรณีนายทหารสังกัดกองทัพบกจำนวนมากบุกมาประท้วงสำนักพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการที่หน้าสำนักงานถึง 2 ครั้ง โดยเฉพาะการเดินไปครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นวันเด็กแห่งชาติถือเป็นวันสำคัญของเยาวชนไทยทั้งประเทศซึ่งผู้ใหญ่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีงาม แต่กลับมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและเรียกร้องผู้นำทหาร ผู้นำเหล่าทัพ ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด ว่าใช้สิทธิอะไรที่ไปแสดงออกลักษณะข่มขู่คุกคามสื่อ ทั้งที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีลำดับการบังคับบัญชามีการสั่งการหรือไม่ โดยเฉพาะกองทัพอยู่ภายใต้ผู้นำรัฐบาลหรือว่าขณะนี้กองทัพเป็นเอกเทศจากฝ่ายการเมืองถือเป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่งต่อบ้านเมืองอาจนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองเช่นเดียวกับพฤษภาทมิฬ ที่มีนายทหารบุกสำนักงานหนังสือพิมพ์สยามรัฐซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เจ้าของสื่อดังกล่าวจนเหตุการณ์บานปลาย โดยตนและญาติวีรชน ที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงจนลูกหลานเสียชีวิต ซึ่งขณะนี้เห็นเหตุการณ์เดิมกำลังจะเกิดย้อนรอยขึ้นใหม่ในประเทศไทย
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ต้องเอาผิดทางวินัยกับนายทหารเหล่านนี้ และสั่งตั้งกรรมการสอบว่าเดินทางมาโดยใบสั่งหรือมีคำอนุญาตของใครเพราะทหารเป็นผู้ถือกฎระเบียบวินัยเคร่งครัดมาก การออกมาจากหน่วยได้ต้องมีใบลาหรือมีคำสั่งอนุญาตของหัวหน้าหน่วยเท่านั้น ซึ่งเป็นการเอาใจนายจนออกนอกหน้าถือว่าเป็นแนวคิดที่อันตราย หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่พอใจการทำหน้าที่ของสื่อก็ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมหรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้และสามารถร้องสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติให้ตรวจสอบจรรยาบรรณทางวิชาชีพได้ตามกระบวนการประชาธิปไตยขอให้เคารพหลักสิทธิมนุษยชน อย่าใช้อำนาจนิยมแบบนี้”นายอดุลย์ กล่าว
นายอดุลย์ กล่าวว่าถึงเวลาที่สังคมไทยมาช่วยกันอะไรที่ไม่ชัดเจนตรงไหนที่เป็นทางตัน หรือขบกันอยู่ ช่วยกันแก้ไขเพราะปัญหายุ่งยากในวันนี้คงไม่สามารถแก้ไขได้ภายในพริบตา ผ่านช่วงไม่กี่วันหลังปีใหม่ มองเห็นปัญหาความรุนแรงเกิดขึ้นอีกมาก ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาคอร์รัปชั่น และปัญหาความเดือดร้อนจากนโยบายรัฐบาล กรณีช่อง 3 และเหตุการณ์ที่ทหารกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการอนุญาตสนับสนุนจากผู้นำเหล่าทัพ ออกมาข่มขู่สื่อ สงสัยว่าทำไมทหารไม่จำบทเรียนประวัติศาสตร์ปล่อยให้ซ้ำรอยอย่างไร ในฐานะที่ทหารเป็นหน่วยหนึ่งรัฐบาล นายกฯ หัวหน้ารัฐบาลกำกับดูแล ชี้แจงประชาชน เมื่อเกิดเหตุ วันที่ 11 ม.ค.แล้วเหตุใด นายกฯไม่ออกมาห้ามปราม หวังว่ารัฐบาลคงมีคำตอบโดยเร็ว
ด้านนายเมธา มาสขาว เลขาธิการศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยหรือ ศนนท. กล่าวว่าปัจจุบันความขัดแย้งต่อเนื่องยังไปอีกยาวนาน สังคมไทยควรมาอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง เพื่อฝ่าวิฤกตต่อไปได้ เบื้องต้นขอแสดงความยินดี กับการปล่อยตัว น.ส.ราตรี และลดโทษนายวีระ ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้รัฐบาลนิรโทษกรรมาเหยื่อทางการเมือง แต่ยกเว้น แกนนำ เช่นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีในกรณีสั่งปราบปรามการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เข้าสู่กระบวนการศาล และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กลับมาติดคุกตามโทษที่ได้รับเพื่อยุติความขัดแย้งมีมากกว่า 6 ปี ซึ่งรัฐบาลต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาความยากจนระดับโครงสร้างประเทศและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมของผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรของประเทศ ยกเว้นการปฏิบัติไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐ แก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น เพิ่มบทบาทการทำงานของสำนักป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติหรือ ปปช.ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ให้มากขึ้นเพื่อไปตรวจสอบได้ทุกระดับ ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้เดินตามแนวทางปรองดองของ คอป. ทั้งนี้การพบปะระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับ ผู้นำเหล่าทัพ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในวันที่ 21 ม.ค. นี้ เรียกร้องให้พูดคุยกันถึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อสังคมด้วย.