แกนนำรุ่น 2 และโฆษกพันธมิตรฯ ชี้ ม็อบทหารชุมนุมหน้าบ้านพระอาทิตย์นัดหมายชัดเจน อยากเอาใจนายมากกว่าทำหน้าที่ตัวเอง เผย มีประโยชน์มากกว่าถ้าไปประท้วงพวกจาบจ้วงสถาบัน-เขมร ที่รุกแผ่นดินไทย ยันสื่อมวลชนต้องมีหน้าที่ถาม ซัดคุกคามสื่อชัดเจน ลั่นไม่สามารถหยุดวิพากษ์วิจารณ์ได้ ย้ำศักดิ์ศรีของสื่อวิจารณ์ได้เสรี ไม่ตกอาณัติ-ความหวาดกลัว
คลิกที่นี่ สัมภาษณ์ โดย “นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์”
วันนี้ (11 ม.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่น 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ในรายการนิวส์อาว ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี กรณีที่มีทหารชั้นประทวนกว่า 50 นายชุมนุมที่บ้านพระอาทิตย์ แสดงความไม่พอใจกรณีที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออกแถลงการณ์ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก หลังกล่าวหาสื่อในเครือผู้จัดการเขียนข่าวห่วย โดยกล่าวว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีการนัดหมายกันอย่างชัดเจน อยู่ในหน่วยราชการเดียวกัน ก็ได้รับการส่งสัญญาณในหมู่ข้าราชการระดับที่เป็นฝ่ายของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้การสนับสนุน หรือส่งสัญญาณเห็นชอบอย่างดีกับการกระทำดังกล่าว สัญญาณนี้เกิดขึ้นหลังจาก ผบ.ทบ.แสดงความไม่พอใจหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ ย่อมแสดงให้เห็นว่า มีข้าราชการบางส่วนอยากเอาอกเอาใจ ผบ.ทบ.ให้มีความพึงพอใจว่าตัวเองนั้นสำแดงพลังยืนอยู่เคียงข้าง ผบ.ทบ.จึงได้มาสำแดงพลังกับสื่ออย่างเอเอสทีวีผู้จัดการ
ประการต่อมาที่น่าสนใจ ก็คือว่า การนัดหมายครั้งนี้เป็นการรวมตัวกัน และรอกันทยอยกันเข้ามา ก่อนที่จะแสดงท่าทีในประการถัดมา และที่สำคัญเป็นทหารระดับแนวหน้า แสดงว่ามาโดยคำสั่ง และเป็นการตระเตรียมกันมา และประการสำคัญที่สุด ในประการที่ 3 ที่ตนสังเกต คือ ผบ.ทบ.ซึ่งแสดงออกเองว่ากรณีการไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ทั้งที่รู้อยู่ว่าพันธมิตรฯ ชุมนุมเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ เป็นสิ่งที่ผิดวินัยต้องลงโทษอย่างรุนแรง เหตุใด ผบ.ทบ.เมื่อทราบหรือไม่ทราบก็สุดแท้แต่ ในกรณีที่มีทหารมารวมตัวกันสำแดงพลังต่อหน้าสื่อมวลชนเช่นนี้ ไม่ผิดวินัยหรืออย่างไร
“ถ้าท่านใช้บรรทัดฐาน ว่า ไม่มีความผิด โดยอ้างว่าเป็นเวลานอกราชการแล้ว ย่อมแสดงว่าทหารทุกคนต้องมีสิทธิ์ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ไม่เช่นนั้นท่านก็ต้องดำเนินการลงโทษทางวินัยตามที่ท่านเคยประกาศเอาไว้” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ตนเห็นว่า กรณีนี้การสำแดงพลังเราเห็นว่าที่ผ่านมาจะสังเกตได้ว่า การสำแดงพลังในรอบหลายปีที่ผ่านมาเป็นการเอาอกเอาใจ ผบ.ทบ.เป็นหลัก ไม่ว่ากรณีก่อนหน้านี้ที่มีหลายองค์กรพยายามที่จะแสดงความไม่พอใจกับ เสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ผู้ล่วงลับ) ต่อกรณีที่ เสธ.แดง นั้น ดำเนินการต่อว่าต่อขาน หรือตำหนิผู้บังคับบัญชาของตนเอง ก็คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นี่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่เป็นการสำแดงพลัง หลังจากที่ ผบ.ทบ.สำแดงความรู้สึกตัวเองว่าไม่พอใจจากเอเอสทีวีผู้จัดการ
“สะท้อนให้เห็นว่า ทหารยุคนี้เน้นการเอาอกเอาใจมากกว่ามองสารสำคัญในหน้าที่ของตัวเอง ที่จริงแล้วถ้าทหารเหล่านี้คิดจะแสดงพลังและตบเท้า จะมีประโยชน์มากกว่านี้อย่างยิ่ง ถ้าการแสดงอำนาจหรือการแสดงอิทธิพลในลักษณะนี้ ทำกับบุคคลที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือสื่อที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือไปสำแดงพลังกับสถานทูตกัมพูชาที่รุกรานแผ่นดินไทยอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่มีเหตุการณ์เหล่านั้น ไม่เคยมีทหารตบเท้ากันเพื่อสำแดงพลังในการปกป้องชาติ ปกป้องอธิปไตยของชาติ หรือปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ มีแต่ทหารมาคุกคามคนที่มาวิพากษ์วิจารณ์ผู้บัญชาการทหารบก” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า การเดินทางมาเรียกร้องครั้งนี้มิได้เป็นการเดินมาเพื่อเรียกร้อง มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อคุยกับผู้บริหารของเอเอสทีวีผู้จัดการ แสดงว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาแสวงหาข้อเท็จจริงหรือทำความเข้าใจ แต่ต้องการสำแดงพลังต่อสาธารณชนอยู่ด้านนอก และใช้โทรโข่ง ไม่มีข้อเรียกร้อง รู้แต่ว่าขอให้ทางเอเอสทีวีผู้จัดการนั้นได้ดำเนินการเขียนข่าวอย่างสร้างสรรค์ ตนขอเรียนให้ทราบว่าการกำหนดกะเกณฑ์ว่าเป็นความสร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์เป็นความคิดเห็นที่เป็นเผด็จการ เป็นลัทธิเผด็จการที่มีความคิดว่าสื่อมวลชนจะต้องเขียนที่เป็นประโยชน์หรือคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้บังคับบัญชาของตัวเองนั้น เป็นความคิดที่ถือว่ายังใช้ไม่ได้ในระบอบประชาธิปไตย และถือว่ายังไม่มีความเข้าใจในหน้าที่ของสื่อมวลชน
ทั้งนี้ ทหารไม่ได้มีหน้าที่ประท้วงสื่อมวลชน ทหารมีหน้าที่ของตัวเองในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยของชาติ มีหน้าที่ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ คำถามก็คือว่าสิ่งที่เอเอสทีวีผู้จัดการได้เขียนวันนี้ ได้ตั้งคำถามถึงอธิปไตยของชาติบริเวณกัมพูชา ได้ตั้งคำถามถึงเรื่องบอลลูนที่บินไม่ได้ เรือเหาะที่บินไม่ได้ หรืออาวุธสงครามที่ใช้ไม่ได้ ไปจนถึงปัญหาชายแดนภาคใต้ แม้กระทั่งกรณีที่ทหารถูกทำร้ายร่างกายและเสียชีวิตในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ไม่ได้รับการสะสางหรือแสวงหาข้อเท็จจริง
“ถามว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งพึงจะต้องถามหรือไม่ ผมเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ หน้าที่ของสื่อมวลชนต้องมีหน้าที่ในการถาม และมีสิทธิ์ที่จะถามได้ และมีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะกองทัพกินเงินเดือนและภาษีของประชาชน สื่อก็มีหน้าที่เหมือนกับองค์กรตรวจสอบว่าท่านทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ ท่านไม่สามารถจะบังคับสื่อมวลชนเขียนสร้างสรรค์อย่างสิ่งที่ท่านต้องการในการชื่นชม ผบ.ทบ.ได้ มันเป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนและกองทัพก็ไม่มีหน้าที่ในการแทรกแซงคุกคามสื่อมวลชน ผมขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่เช่นนั้นแล้วผมเชื่อว่าสถานการณ์อาจจะบีบบังคับให้ภาคประชาชนต้องดำเนินการต่อไปในอนาคต ในการที่จะต่อต้านการกระทำเช่นนี้” นายปานเทพ กล่าว
เมื่อถามว่า ดูจากอาการ ผบ.ทบ.เมื่อถูกเรียกร้องให้รักษาอธิปไตย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ยิ่งสะท้อนว่า คดีปราสาทพระวิหารอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ตนเป็นห่วงมาก เพราะว่า ผบ.ทบ.แทนที่จะเห็นการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเป็นพลังรวมภาคหนึ่งเดียว และกองทัพสามารถใช้ประโยชน์จากการที่ประชาชนรักชาติรักแผ่นดินเป็นประโยชน์ในเวทีสากล ท่านทำได้ ท่านสามารถใช้พลังมวลชนในการสำแดงพลังให้ทั่วโลกรู้ว่า หากศาลโลกตัดสินเป็นคุณกับกัมพูชาแล้ว สถานการณ์จะเกิดความวุ่นวายขึ้นในภูมิภาค เพราะประชาชนคนไทยไม่ยอมรับคำตัดสิน และพร้อมจะเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
“ท่านควรใช้พลังของประชาชนที่รักชาติ เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของชาติในฐานะกองทัพ แต่ท่านไม่ควรจะดูถูกดูแคลนมวลชนที่เขาเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของชาติ ท่านไม่ควรจะดูถูกสื่อมวลชนว่าไม่มีศักดิ์ศรีเพราะว่าท่านเป็นทหาร แต่คำถามก็คือ สิ่งที่สื่อมวลชนตั้งคำถามต่อท่านนั้น ท่านทำครบแล้วหรือยัง ศักดิ์ศรีไม่ได้เกิดขึ้นเพียงที่ดาวบนบ่า ศักดิ์ศรีอยู่ที่ว่าทหารทำหน้าที่ของตัวเองในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ดีพอหรือยัง ศักดิ์ศรีไม่ได้อยู่ที่การคุกคามและมีกองกำลังที่จะมาข่มขู่สื่อมวลชนว่าให้เขียนอย่างนั้น ให้เขียนอย่างนี้ ทำไม่ได้หรอก และผมขอย้ำเลยว่า การกระทำของกองทัพครั้งนี้ไม่สามารถยับยั้งการเขียน และงานเขียนของเอเอสทีวีผู้จัดการได้ เพราะว่าแต่ละคนก็มีศักดิ์ศรี เมื่อวาน ผบ.ทบ.ท่านถามศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีของสื่อมวลชนคือการแสดงความคิดเห็นอย่างสมบูรณ์โดยที่ไม่อยู่ภายใต้อาณัติและความหวาดกลัวของอิทธิพลใด นี่คือสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีมากกว่าบ่าบนดาวของทหารที่อาจจะไม่ทำหน้าที่ของตัวเองด้วยซ้ำไป” นายปานเทพ กล่าว
คำต่อคำ “ปานเทพ” ให้สัมภาษณ์รายการ News Hour
เติมศักดิ์- อ.ปานเทพ มองอย่างไรกับการเคลื่อนไหวของทหารส่วนหนึ่งที่ตบเท้ามาที่บ้านพระอาทิตย์ เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา
ปานเทพ- ประการที่ 1 กลุ่มที่มามีการนัดหมายกันอย่างชัดเจน เพราะว่าอยู่ในหน่วยราชการเดียวกัน และได้รับการส่งสัญญาณในหมู่ข้าราชการระดับที่เป็นสายของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้การสนับสนุน หรือส่งสัญญาณเห็นชอบ เห็นดีเห็นงามกับการกระทำดังกล่าว สัญญาณนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ ผบ.ทบ.แสดงความไม่พอใจกับหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี ผู้จัดการ ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีข้าราชการบางส่วนอยากเอาอกเอาใจ ผบ.ทบ.ให้มีความพึงพอใจว่าตัวเองนั้นสำแดงพลัง ยืนอยู่เคียงข้าง ผบ.ทบ.จึงได้มาสำแดงพลังกับสื่อมวลชนอย่างเอเอสทีวี ผู้จัดการ
ประการที่ 2 ที่น่าสนใจ ก็คือว่า การนัดหมายครั้งนี้มาเป็นการรวมตัวกัน และรอกัน ทยอยกันเข้ามา ก่อนที่แสดงท่าที และที่สำคัญก็คือว่า เป็นทหารระดับชั้นล่าง แสดงว่ามาโดยคำสั่ง และเป็นการจัดเตรียมกันมา และประการสำคัญที่สุด ในประการที่ 3 ที่ผมสังเกตมาก็คือว่า ท่านผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งแสดงออกเองว่ากรณีการไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “ถ้ามี” แล้วทั้งที่รู้อยู่ว่า พันธมิตรฯ ชุมนุมเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ เป็นสิ่งที่ผิดวินัย ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง เหตุใด ผบ.ทบ.เมื่อทราบ หรือไม่ทราบ ก็สุดแท้แต่ ในกรณีที่มีทหารมารวมตัวกันสำแดงพลังต่อหน้าสื่อมวลชนเช่นนี้ ไม่ผิดวินัยหรืออย่างไร
ถ้าท่านใช้บรรทัดฐานว่า ไม่มีความผิด โดยอ้างว่าเป็นเวลานอกราชการแล้ว ย่อมแสดงว่าทหารทุกคนย่อมมีสิทธิ์ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ไม่เช่นนั้นท่านก็ต้องดำเนินการลงโทษทางวินัยดังที่ท่านเคยประกาศเอาไว้
ประการที่ 2 ผมเห็นว่า กรณีนี้ การสำแดงพลัง เราเห็นว่าที่ผ่านมาจะสังเกตได้ว่า การสำแดงพลังในรอบหลายปีที่ผ่านมา เป็นการเอาอกเอาใจ ผบ.ทบ.เป็นหลัก ไม่ว่ากรณีก่อนหน้านี้ที่มีหลายองค์กรพยายามที่จะเอาอกเอาใจ แสดงความไม่พอใจกับ เสธ.แดง ต่อกรณีที่ เสธ.แดง นั้นดำเนินการต่อว่าต่อขาน หรือตำหนิผู้บังคับบัญชาของตนเอง ก็คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
นี่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่เป็นการสำแดงพลัง หลังจากที่ ผบ.ทบ.สำแดงความรู้สึกตัวเองว่าไม่พอใจกับเอเอสทีวี ผู้จัดการ สะท้อนให้เห็นว่าทหารยุคนี้เน้นการเอาอกเอาใจมากกว่ามองสารสำคัญในหน้าที่ของตัวเอง
ที่จริงแล้ว ถ้าทหารเหล่านี้จะแสดงพลัง และตบเท้า จะมีประโยชน์มากกว่านี้ ถ้าการแสดงอำนาจ หรือการแสดงอิทธิพลในลักษณะนี้ ทำกับบุคคลที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือสื่อที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือไปสำแดงพลังกับสถานทูตกัมพูชา ที่รุกรานแผ่นดินไทยอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้เลยครับ ไม่เคยมีทหารตบเท้ากันเพื่อสำแดงพลังในการปกป้องชาติ ปกป้องอธิปไตยของชาติ หรือปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ มีแต่ทหารมาคุกคามคนที่ดำเนินการวิพากษ์วิจารณ์ผู้บัญชาการทหารบก
ประการที่ 4 ที่ผมอยากตั้งข้อสังเกต คือ ข้อเรียกร้องครั้งนี้มิได้เป็นการเดินมาเพื่อเรียกร้อง มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อคุยกับผู้บริหารของเอเอสทีวี ผู้จัดการ แสดงว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะมาเข้าแสวงหาข้อเท็จจริง หรือทำความเข้าใจ แต่ต้องการสำแดงพลังต่อสาธารณชนอยู่ด้านนอก แล้วก็ใช้ไมโครโฟน ไม่มีข้อเรียกร้อง รู้แต่ว่าขอให้ทางเอเอสทีวี ผู้จัดการ นั้นได้ดำเนินการเขียนข่าวอย่างสร้างสรรค์
ผมขอเรียนให้ทราบว่า การกำหนดกะเกณฑ์ว่าเป็นความสร้างสรรค์ หรือไม่สร้างสรรค์นั้น เป็นความคิดเห็นที่เป็นเผด็จการ เป็นลัทธิเผด็จการที่มีความคิดว่า สื่อมวลชนจะต้องเขียนที่เป็นประโยชน์ หรือคิดว่าเป็นประโยชน์กับผู้บังคับบัญชาของตัวเองนั้น เป็นความคิดที่ถือว่ายังใช้ไม่ได้ในระบอบประชาธิปไตย และถือว่ายังไม่มีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน ทหารไม่ได้มีหน้าที่ประท้วงสื่อมวลชนหรอกครับ ทหารมีหน้าที่ของตัวเองในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยของชาติ มีหน้าที่ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
คำถามก็คือว่า สิ่งที่เอเอสทีวี ผู้จัดการ ได้เขียนวันนี้ ได้ตั้งคำถามถึงเรื่องอธิปไตยของชาติบริเวณกัมพูชา ได้ตั้งคำถามถึงเรื่องบอลลูนที่บินไม่ได้ เรือเหาะที่บินไม่ได้ หรืออาวุธสงครามที่ใช้ไม่ได้ ไปจนถึงปัญหาชายแดนภาคใต้ ไปจนถึงแม้กระทั่งกรณีที่ทหารถูกทำร้ายร่างกายและเสียชีวิตในการกดดันการชุมนุมคนเสื้อแดง ก็ไม่ได้รับการสะสางหรือแสวงหาข้อเท็จจริง ถามว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พึงจะต้องถามหรือไม่ ผมว่าสิ่งเหล่านี้ล่ะครับ หน้าที่ของสื่อมวลชน ต้องมีหน้าที่ในการถาม และมีสิทธิที่จะถามได้ และมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะกองทัพกินเงินเดือนและภาษีของประชาชน ย้ำนะครับว่า “กองทัพกินเงินเดือนและภาษีของประชาชน” สื่อก็มีหน้าที่เหมือนกับองค์กรตรวจสอบว่าท่านทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ ท่านไม่สามารถจะบังคับให้สื่อมวลชนเขียนสร้างสรรค์อย่างที่ท่านต้องการในการชื่นชม ผบ.ทบ.ได้ มันเป็นหน้าที่ของสื่อมวลชน และกองทัพก็ไม่มีหน้าที่ในการแทรกแซงคุกคามสื่อมวลชน
ผมขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะครับ ไม่เช่นนั้นแล้วผมเชื่อว่าสถานการณ์อาจจะบีบบังคับให้ภาคประชาชนต้องดำเนินการต่อไปในอนาคตในการที่จะต่อต้านการกระทำเช่นนี้
เติมศักดิ์- ดูจากอาการของผู้บัญชาการทหารบก เมื่อถูกเรียกร้องให้รักษาอธิปไตย และสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นปรากฏการณ์ในวันนี้ มันยิ่งสะท้อนหรือเปล่าครับว่าคดีปราสาทพระวิหารอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมาก
ปานเทพ- ผมเป็นห่วงมากครับ เพราะว่าจริงๆ ท่าน ผบ.ทบ.ก็ดี แทนที่ท่านจะเห็นการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน เป็นพลังรวมชาติหนึ่งเดียว และกองทัพสามารถใช้ประโยชน์จากการที่ประชาชนรักชาติหวงแผ่นดิน เป็นประโยชน์ในเวทีสากล ท่านทำได้ครับ ท่านสามารถใช้พลังมวลชนในการสำแดงพลังให้ทั่วโลกรู้ว่า หากศาลโลกตัดสินเป็นคุณกับกัมพูชาแล้ว สถานการณ์จะเกิดความวุ่นวายขึ้นในภูมิภาค เพราะประชาชนคนไทยไม่ยอมรับคำตัดสิน และพร้อมจะเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ท่านควรใช้พลังของประชาชนที่รักชาติ เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของชาติในฐานะกองทัพ แต่ท่านไม่ควรจะดูถูกดูแคลนมวลชนที่เขาเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของชาติ ท่านไม่ควรจะดูถูกสื่อมวลชนว่าไม่มีศักดิ์ศรี เพียงเพราะว่าท่านเป็นทหาร แต่คำถามก็คือ สิ่งที่สื่อมวลชนตั้งคำถามต่อท่านนั้น ท่านทำครบแล้วหรือยัง
ศักดิ์ศรีไม่ได้เกิดขึ้นอยู่ที่ดาวบนบ่านะครับ ศักดิ์ศรีอยู่ที่ว่าทหารทำหน้าที่ของตนเองในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ดีพอหรือยัง ศักดิ์ศรีไม่ได้อยู่ที่การคุกคามและมีกองกำลังที่จะมาข่มขู่สื่อมวลชนว่าให้เขียนอย่างนั้นให้เขียนอย่างนี้ ทำไมได้หรอกครับ และผมขอย้ำเลยนะครับว่า การกระทำของกองทัพครั้งนี้ไม่สามารถยับยั้งการเขียน และงานเขียนของเอเอสทีวี ผู้จัดการได้ เพราะว่าแต่ละคนก็มีศักดิ์ศรี เมื่อวานท่าน ผบ.ทบ.ท่านถามศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีของสื่อมวลชนที่แสดงความคิดเห็นอย่างสมบูรณ์ โดยที่ไม่อยู่ภายใต้อาณัติและความหวาดกลัวของอิทธิพลใด นี่สิครับคือสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีมากกว่าดาวของทหารที่อาจจะไม่ทำหน้าที่ของตัวเองเสียด้วยซ้ำไป