“…..ขอโทษด้วย ถ้ารู้สึกว่าดูถูกเหยียดหยามกันมากเกินไป …..” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) เอ่ยคำขอโทษต่อสังคมและเอเอสทีวีผู้จัดการ ในวันที่สามารถควบคุมสติและอารมณ์อันพลุ่งพล่านหลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อเครือผู้จัดการจนทนไม่ได้มาก่อนหน้า
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ ที่ระดับบิ๊กนายทหารระดับ พล.อ.จะยอมเอ่ยปากขอโทษ แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ลังเลที่จะทำเพื่อคลี่คลายปัญหาให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ย้ำต่อกำลังพลในวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 103 ปี เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2556 ด้วยว่า “….เราต้องมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น หัวใจแห่งการให้อภัย เสียสละ กล้าหาญ และการสู้รบ….”
การขอโทษเพื่อยุติเรื่องราวไม่ให้บานปลายใหญ่โตเรื่องนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2556 พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งลงพื้นที่ตรวจชายแดนเขาพระวิหาร อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้แสดงอาการหงุดหงิดเมื่อถูกสื่อถามถึงกรณีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติรักแผ่นดินประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 21 มกราคมนี้เพื่อคัดค้านคำพิพากษาศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร โดยเข้าใจว่ากลุ่มดังกล่าวคือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการเป็นหนึ่งในแกนนำ
ประเด็นที่เป็นเรื่องคือคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่า “ไม่มีใครอยากให้ประเทศชาติเสียหาย ดังนั้นมองเจตนาคนให้มันดีหน่อย ไอ้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมบอกได้เลยว่า มันเขียนห่วย ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ เอาอะไรมาด่าผม เอาศักดิ์ศรีอะไรมาด่าผม ทำไมรักประเทศชาติอยู่คนเดียวหรืออย่างไร ไปดูพฤติกรรมตัวเองเป็นอย่างไรกันบ้าง ผมทนมานานพอสมควรแล้ว”
หลังจากนั้น เอเอสทีวีผู้จัดการได้แถลงการณ์ตอบโต้ทันควันโดยตั้งคำถามกลับว่า “ไอ้ผู้จัดการห่วย หรือ ไอ้ ผบ.ทบ.ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วยกันแน่” เป็นผลให้กลุ่มนายทหารชั้นประทวนจากกองทัพภาคที่ 1 และมณฑลทหารบกที่ 11 จำนวนกว่า 50 นาย ตบเท้ามาแสดงความไม่พอใจที่หน้าสำนักงานเอเอสทีวีผู้จัดการในเย็นวันที่ 11 มกราคม 2556 ก่อนบุกซ้ำอีกนับร้อยนายในช่วงเช้าของวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.11 รอ.) ได้แสดงความไม่พอใจต่อถ้อยแถลงของเอเอสทีวีผู้จัดการอย่างมาก โดยกล่าวว่า “พวกเราทนไม่ได้ โดยเฉพาะผม ที่เป็นทหารอาชีพ เมื่อผู้บังคับบัญชาถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรี เราก็ต้องออกมาปกป้อง ซึ่งไม่ใช่การปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว แต่เป็นการปกป้องผู้บัญชาการทหารบก เนื่องจากเราเป็นองค์กรที่ดูแลความมั่นคงของชาติ หากถูกดูหมิ่นในเกียรติและศักดิ์ศรีต่อไปก็จะไม่เหลืออะไร ดังนั้นผมถือว่าผู้จัดการเป็นหนังสือพิมพ์ที่ถ่อยสถุล ไม่ควรจะซื้ออ่าน และต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน”
การแสดงพลังความไม่พอใจของทหาร นอกจากจะไม่สามารถหยุดยั้งการนำเสนอข่าวสารข้อมูลของสื่อเครือเอเอสทีวีได้แล้ว ทางเอเอสทีวีผู้จัดการ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังลุกขึ้นมาตอบโต้ ตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเผ็ดร้อน ทั้งเรื่องชายแดนภาคใต้ การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก การรักษาเขตแดน การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และการรักษาศักดิ์ศรีของทหาร ฯลฯ
ส่วน พล.ต.อภิรัชต์ ถูกขุดคุ้ยเรื่องการใช้เครื่องแบบทหารไปทำมาหากิน รวมทั้งการเป็นทายาท “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่เอื้อประโยชน์สัมปทานดาวเทียมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และยังถูกตั้งคำถามถึง “อภิรัชต์ ลูกบิ๊กจ๊อด” ใครกันแน่ที่ ถ่อย-สถุล?!?
กระทั่งถึงที่สุด เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์นับหนึ่งถึงหมื่นและตั้งหลักได้ จึงเอ่ยคำขอโทษต่อสังคมและเอเอสทีวีผู้จัดการ
“อย่าไปเอ่ยชื่อท่านเลย ท่าน (สนธิ ลิ้มทองกุล) เป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมก็เป็นผู้ใหญ่ ต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่ รู้ว่าอะไรควร หรือไม่ควร ทั้งนี้ไม่ได้ห้ามนักข่าวเอเอสทีวีเข้ามาทำข่าว และที่เอ่ยชื่อหนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้ด่าใคร พูดแบบทหาร เป็นธรรมดา ขอโทษด้วย ถ้ารู้สึกว่าดูถูกเหยียดหยามกันมากเกินไป ผมเป็นผู้ใหญ่ก็ขอโทษ ซึ่งขณะนี้ผมควบคุมอารมณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งกว่านี้ ลูกน้องรู้ว่าแม้ผมเสียงดัง แต่ไม่ใช่คนใจร้าย เป็นคนใจดี”
“…. อยากให้เข้าใจทหาร อะไรที่หนักนิด เบาหน่อยก็ให้อภัยกัน เคยเห็นไก่ตรุษจีนไหม ไม่รู้ว่าจะจิกตีกันไปทำไม ผมไม่อยากเป็นไก่ตรุษจีน ดังนั้นผมออกมานอกเข่งดีกว่า”
“…เพราะเป็นปุถุชน มีโกรธ น้อยใจบ้าง แต่ที่สุดต้องนับหนึ่งถึงสิบ ถึงร้อย ถึงพัน ตอนนี้ก็ถึงหมื่นแล้ว บอกลูกน้องให้อดทน แล้วก็ยิ้มเข้าไว้ หลักคิดคือจะทำอย่างไรให้กองทัพอยู่ได้เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ และให้กองทัพจะเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ดูแลปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน”
“วันนี้เรายังไม่เสียดินแดน อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น อะไรที่ยังมาไม่ถึงก็ต้องแก้ปัญหาไปทั้งในและนอกประเทศ ถ้าบอกว่าเสียดินแดนไปแล้ว ทหารที่บาดเจ็บจากชายแดนเขาเสียใจ ผมเข้าใจว่าทุกคนห่วงใยรักประเทศชาติ ถึงผมจะหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ที่หงุดหงิดไม่ใช่เพราะสื่อ หรือประชาชน แต่ผมหงุดหงิดเพราะเกรงว่าลูกน้องจะเสียใจว่าที่เขาพลีชีพไปจะสูญเปล่า”
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ปรับเปลี่ยนท่าที เอเอสทีวีผู้จัดการได้แสดงความขอบคุณผู้บัญชาการทหารบกที่ออกมาขอโทษต่อสังคม และซาบซึ้งในการทำหน้าที่ของกองทัพในการปกป้องชาติบ้านเมือง ทั้งยังตระหนักเสมอมาว่า กองทัพยังเป็นองค์กรหลักในการปกป้องชาติบ้านเมือง แต่เอเอสทีวีผู้จัดการยังคงยืนยันว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกองทัพ และผู้บังคับบัญชาของกองทัพต่อไปด้วยความตรงไปตรงมา และซื่อตรงต่อวิชาชีพ
“เราขอให้ผู้บัญชาการทหารบกทำหน้าที่ของท่านอย่างตรงไปตรงมาในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่ท่านยังมีจุดยืนในหน้าที่ของตัวเอง และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระมหากษัตริย์อย่างเที่ยงตรง และตระหนักต่อภาระหน้าที่กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงชาติบ้านเมืองมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หากเป็นเช่นนั้นแล้วเราขอยืนยันว่า ผู้บัญชาการทหารบกกับเรามีอุดมการณ์เดียวกัน”
“เราอยากส่งสารไปยังกำลังพลในกองทัพว่า เอเอสทีวีผู้จัดการไม่ใช่ศัตรูของกองทัพและชาติบ้านเมือง แต่ข้าศึกที่รุกล้ำอธิปไตยของชาติ นักการเมืองที่โกงกินชาติบ้านเมืองต่างหาก ลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต้องการจะล้มล้างเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทงเป็นประมุขต่างหากที่เป็นศัตรูของกองทัพ ประชาชน และชาติบ้านเมือง เราเชื่อว่าประชาชนก็พร้อมที่จะเป็นกำลังหนุนเนื่องของกองทัพในการต่อสู้กับภัยของชาติบ้านเมืองเหล่านั้น”
“สุดท้ายนี้เราขอขอบคุณอีกครั้งต่อผู้บัญชาการทหารบกที่ได้ออกมาขอโทษสังคมต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป เราขอให้ท่านได้กระทำหน้าที่ของท่านอย่างซื่อตรง เต็มกำลัง และเราก็จะกระทำหน้าที่ของเราในฐานะสื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน”
ทางด้าน พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 (ผบ.พล.ร.11) ที่ด่าว่าหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการเป็นหนังสือพิมพ์ที่ถ่อยสถุล ก็หยุดตอบโต้เพื่อยุติปัญหา
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นเรื่องการ “คุกคามสื่อ” ที่กองทัพบกยังไม่เข้าใจในการทำงานของสื่อมวลชน เพราะมองว่า การตบเท้าไป “แสดงความไม่สบายใจ” ต่อการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนด้วยเครื่องแบบเต็มยศของกำลังพลนับร้อยหน้าสำนักงานสื่อนั้นเป็นเรื่องปกติ
“กองทัพบกรู้สึกแปลกใจที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ และได้ตัดสินว่า “กองทัพคุกคามสื่อ” โดยทันทีที่เกิดเหตุการณ์ ทั้งนี้ กองทัพบกขอยืนยันว่าทหารที่ไปรวมตัวกันมิได้มีเจตนาคุกคามสื่อ แต่เพียงไป “แสดงความรู้สึกไม่สบายใจ” ต้องการให้เห็นถึงความรักและการปกป้องกองทัพ อีกทั้งยังรู้สึกกดดันที่ทหารได้ทุ่มเททำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนในทุกเรื่องอย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด แต่กลับถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ การแสดงความรู้สึกก็ยุติลงแล้วตามที่ผู้บังคับบัญชาขอร้อง และสื่อก็ยังคงสามารถเสนอข่าวได้ตามปกติ” พลตรี พลภัทร วรรณภักตร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก ระบุในจดหมายที่ส่งถึงสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ขณะที่องค์กรสื่อชี้แจงว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายคุกคามสื่อ “แถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยระบุว่า การที่ข้าราชการทหารในเครื่องแบบของกองทัพบกที่ไปรวมตัวกันที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการเป็นการกระทำที่ “เข้าข่ายคุกคามสื่อ” เพราะการไป “แสดงความรู้สึกไม่สบายใจ” ด้วยกำลังพลในเครื่องแบบ นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติสำหรับสังคมประชาธิปไตย” นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ชี้แจงในหนังสือตอบกลับศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก
ส่วนเรื่องการสืบสาวเอาความกับกำลังพลที่ตบเท้ามาแสดงความรู้สึกไม่สบายใจหน้าสำนักงานสื่อเครือเอเอสทีวีผู้จัดการนั้น พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงว่า “ทหารที่ออกไปที่หน้าสำนักพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการนั้นก็เรียกมาสอบสวนหลายหน่วย โดยเขาบอกว่า เขาขออนุญาตไป โดยไม่น่าผิด เพราะไปนอกเวลา ไม่ได้ถูกเกณฑ์ไป เป็นการพูดคุยระหว่างเพื่อนๆ เพราะเพื่อนเขาเสี่ยงชีวิต เสียชีวิต บาดเจ็บอยู่ที่เขาพระวิหาร เขาถามผมว่ารู้สึกอย่างไร ผมบอกว่า ทราบแล้ว และเข้าใจแล้ว เดี๋ยว ผบ.ทบ.จะทำความเข้าใจเอง ขอให้อดทน”
“ไม่ได้สั่งให้ทหารออกไป และได้ห้ามปรามแล้ว โดยให้เขากลับมาอยู่ในระเบียบวินัย ประวัติศาสตร์จะสอน ต้องนำบทเรียนต่างๆ มาแก้ให้ได้ และอย่าบอกว่าทำไมไปห้ามเรื่องการออกมาชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ไม่ห้ามทหารกลุ่มนี้ เราต้องกำหนดบทบาทของทหารให้ชัดเจน คือ ทหารเป็นเจ้าหน้าที่และประชาชน ตราบใดที่แต่งเครื่องแบบอยู่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้าไม่มีหลักตรงนี้ก็ทำงานไม่ได้ ผมต้องรักษากองทัพไว้ตรงกลาง ให้ดูแลบ้านเมืองได้ แต่ผมห้ามจิตใจแต่ละคนไม่ได้ ถ้ามาบอกว่าผมทำให้กองทัพอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ขอยืนยันว่าทหารทุกคนพร้อมทำหน้าที่ กองทัพคือกองทัพ และกองทัพไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนไทย”
“เราเป็นศัตรูกับคนที่รุกราน ไม่ได้เข้าข้างโน้น ข้างนี้ วันนี้ผมเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่มีใครรู้จิตใจผมได้ ดังนั้นอย่ามาเขียนอะไรที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านมา ลูกน้องได้แสดงความรู้สึกไปแล้ว ผมโกรธเคืองใครไม่ได้เพราะเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว อาจพูดไม่เพราะอยู่บ้าง แต่เป็นนิสัย เพราะเป็นทหารมาทั้งชีวิต 36 ปี เอะอะโวยวายตลอด แต่ไม่เคยด่าหรือเอ่ยชื่อใครเสียหาย การที่ทหารออกไปเพื่อปกป้องเกียรติ ศักดิ์ศรี ไม่ได้คุกคามสื่อ ถ้าผมคุกคามสื่อคงไม่มายืนพูดมากขนาดนี้ เพราะผมรักท่าน เชื่อมั่นว่าท่านเป็นสื่อที่ดี เข้าใจ ถ้าเราไม่ดูแลซึ่งกันและกัน แล้วถามว่าสื่อจะเอาข่าวที่ไหนไปเขียน ถ้าผมไม่ร่วมมือ ไม่รักท่าน เราเป็นทหารของประชาชน แต่บางเรื่องอยากให้สื่อช่วยรักษาสิทธิให้ผมหน่อย ผมบอกผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้วว่า อย่าทำอีก” ผบ.ทบ.กล่าวย้ำ
เมื่อ ผบ.ทบ.ย้ำเช่นนี้ จึงชัดเจนว่า พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 (ผบ.พล.ร.11) หัวขบวนป่วนเอเอสทีวีผู้จัดการ รอดตัว!
ส่วนการปกป้องศักดิ์ศรีของกองทัพไม่ให้ถูกรุกไล่จากคนเสื้อแดงและไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาล ถึงแม้ว่ากองทัพจะต้องรับฟังนโยบายจากรัฐบาลก็ตามนั้น มีคำยืนยันหนักแน่นจาก ผบ.ทบ.ว่า ทหารต้องเอาภารกิจหน้าที่ คือ การป้องกันประเทศชาติเป็นหลัก สำหรับคดีความของกลุ่มผู้สูญเสียคดียังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ต้องเคารพศาล ทำนอกกฎหมายไม่ได้ ถ้ามัวแต่ใช้ขบวนการนอกศาลบ้านเมืองจะสับสนวุ่นวาย
เรื่องนี้จึงจบลงด้วยสันติ ต่างฝ่ายต่างยืนหยัดทำหน้าที่ของตนเอง
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ ที่ระดับบิ๊กนายทหารระดับ พล.อ.จะยอมเอ่ยปากขอโทษ แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ลังเลที่จะทำเพื่อคลี่คลายปัญหาให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ย้ำต่อกำลังพลในวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 103 ปี เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2556 ด้วยว่า “….เราต้องมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น หัวใจแห่งการให้อภัย เสียสละ กล้าหาญ และการสู้รบ….”
การขอโทษเพื่อยุติเรื่องราวไม่ให้บานปลายใหญ่โตเรื่องนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2556 พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งลงพื้นที่ตรวจชายแดนเขาพระวิหาร อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้แสดงอาการหงุดหงิดเมื่อถูกสื่อถามถึงกรณีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติรักแผ่นดินประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 21 มกราคมนี้เพื่อคัดค้านคำพิพากษาศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร โดยเข้าใจว่ากลุ่มดังกล่าวคือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการเป็นหนึ่งในแกนนำ
ประเด็นที่เป็นเรื่องคือคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่า “ไม่มีใครอยากให้ประเทศชาติเสียหาย ดังนั้นมองเจตนาคนให้มันดีหน่อย ไอ้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมบอกได้เลยว่า มันเขียนห่วย ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ เอาอะไรมาด่าผม เอาศักดิ์ศรีอะไรมาด่าผม ทำไมรักประเทศชาติอยู่คนเดียวหรืออย่างไร ไปดูพฤติกรรมตัวเองเป็นอย่างไรกันบ้าง ผมทนมานานพอสมควรแล้ว”
หลังจากนั้น เอเอสทีวีผู้จัดการได้แถลงการณ์ตอบโต้ทันควันโดยตั้งคำถามกลับว่า “ไอ้ผู้จัดการห่วย หรือ ไอ้ ผบ.ทบ.ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วยกันแน่” เป็นผลให้กลุ่มนายทหารชั้นประทวนจากกองทัพภาคที่ 1 และมณฑลทหารบกที่ 11 จำนวนกว่า 50 นาย ตบเท้ามาแสดงความไม่พอใจที่หน้าสำนักงานเอเอสทีวีผู้จัดการในเย็นวันที่ 11 มกราคม 2556 ก่อนบุกซ้ำอีกนับร้อยนายในช่วงเช้าของวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.11 รอ.) ได้แสดงความไม่พอใจต่อถ้อยแถลงของเอเอสทีวีผู้จัดการอย่างมาก โดยกล่าวว่า “พวกเราทนไม่ได้ โดยเฉพาะผม ที่เป็นทหารอาชีพ เมื่อผู้บังคับบัญชาถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรี เราก็ต้องออกมาปกป้อง ซึ่งไม่ใช่การปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว แต่เป็นการปกป้องผู้บัญชาการทหารบก เนื่องจากเราเป็นองค์กรที่ดูแลความมั่นคงของชาติ หากถูกดูหมิ่นในเกียรติและศักดิ์ศรีต่อไปก็จะไม่เหลืออะไร ดังนั้นผมถือว่าผู้จัดการเป็นหนังสือพิมพ์ที่ถ่อยสถุล ไม่ควรจะซื้ออ่าน และต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน”
การแสดงพลังความไม่พอใจของทหาร นอกจากจะไม่สามารถหยุดยั้งการนำเสนอข่าวสารข้อมูลของสื่อเครือเอเอสทีวีได้แล้ว ทางเอเอสทีวีผู้จัดการ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังลุกขึ้นมาตอบโต้ ตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเผ็ดร้อน ทั้งเรื่องชายแดนภาคใต้ การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก การรักษาเขตแดน การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และการรักษาศักดิ์ศรีของทหาร ฯลฯ
ส่วน พล.ต.อภิรัชต์ ถูกขุดคุ้ยเรื่องการใช้เครื่องแบบทหารไปทำมาหากิน รวมทั้งการเป็นทายาท “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่เอื้อประโยชน์สัมปทานดาวเทียมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และยังถูกตั้งคำถามถึง “อภิรัชต์ ลูกบิ๊กจ๊อด” ใครกันแน่ที่ ถ่อย-สถุล?!?
กระทั่งถึงที่สุด เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์นับหนึ่งถึงหมื่นและตั้งหลักได้ จึงเอ่ยคำขอโทษต่อสังคมและเอเอสทีวีผู้จัดการ
“อย่าไปเอ่ยชื่อท่านเลย ท่าน (สนธิ ลิ้มทองกุล) เป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมก็เป็นผู้ใหญ่ ต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่ รู้ว่าอะไรควร หรือไม่ควร ทั้งนี้ไม่ได้ห้ามนักข่าวเอเอสทีวีเข้ามาทำข่าว และที่เอ่ยชื่อหนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้ด่าใคร พูดแบบทหาร เป็นธรรมดา ขอโทษด้วย ถ้ารู้สึกว่าดูถูกเหยียดหยามกันมากเกินไป ผมเป็นผู้ใหญ่ก็ขอโทษ ซึ่งขณะนี้ผมควบคุมอารมณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งกว่านี้ ลูกน้องรู้ว่าแม้ผมเสียงดัง แต่ไม่ใช่คนใจร้าย เป็นคนใจดี”
“…. อยากให้เข้าใจทหาร อะไรที่หนักนิด เบาหน่อยก็ให้อภัยกัน เคยเห็นไก่ตรุษจีนไหม ไม่รู้ว่าจะจิกตีกันไปทำไม ผมไม่อยากเป็นไก่ตรุษจีน ดังนั้นผมออกมานอกเข่งดีกว่า”
“…เพราะเป็นปุถุชน มีโกรธ น้อยใจบ้าง แต่ที่สุดต้องนับหนึ่งถึงสิบ ถึงร้อย ถึงพัน ตอนนี้ก็ถึงหมื่นแล้ว บอกลูกน้องให้อดทน แล้วก็ยิ้มเข้าไว้ หลักคิดคือจะทำอย่างไรให้กองทัพอยู่ได้เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ และให้กองทัพจะเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ดูแลปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน”
“วันนี้เรายังไม่เสียดินแดน อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น อะไรที่ยังมาไม่ถึงก็ต้องแก้ปัญหาไปทั้งในและนอกประเทศ ถ้าบอกว่าเสียดินแดนไปแล้ว ทหารที่บาดเจ็บจากชายแดนเขาเสียใจ ผมเข้าใจว่าทุกคนห่วงใยรักประเทศชาติ ถึงผมจะหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ที่หงุดหงิดไม่ใช่เพราะสื่อ หรือประชาชน แต่ผมหงุดหงิดเพราะเกรงว่าลูกน้องจะเสียใจว่าที่เขาพลีชีพไปจะสูญเปล่า”
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ปรับเปลี่ยนท่าที เอเอสทีวีผู้จัดการได้แสดงความขอบคุณผู้บัญชาการทหารบกที่ออกมาขอโทษต่อสังคม และซาบซึ้งในการทำหน้าที่ของกองทัพในการปกป้องชาติบ้านเมือง ทั้งยังตระหนักเสมอมาว่า กองทัพยังเป็นองค์กรหลักในการปกป้องชาติบ้านเมือง แต่เอเอสทีวีผู้จัดการยังคงยืนยันว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกองทัพ และผู้บังคับบัญชาของกองทัพต่อไปด้วยความตรงไปตรงมา และซื่อตรงต่อวิชาชีพ
“เราขอให้ผู้บัญชาการทหารบกทำหน้าที่ของท่านอย่างตรงไปตรงมาในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่ท่านยังมีจุดยืนในหน้าที่ของตัวเอง และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระมหากษัตริย์อย่างเที่ยงตรง และตระหนักต่อภาระหน้าที่กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงชาติบ้านเมืองมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หากเป็นเช่นนั้นแล้วเราขอยืนยันว่า ผู้บัญชาการทหารบกกับเรามีอุดมการณ์เดียวกัน”
“เราอยากส่งสารไปยังกำลังพลในกองทัพว่า เอเอสทีวีผู้จัดการไม่ใช่ศัตรูของกองทัพและชาติบ้านเมือง แต่ข้าศึกที่รุกล้ำอธิปไตยของชาติ นักการเมืองที่โกงกินชาติบ้านเมืองต่างหาก ลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต้องการจะล้มล้างเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทงเป็นประมุขต่างหากที่เป็นศัตรูของกองทัพ ประชาชน และชาติบ้านเมือง เราเชื่อว่าประชาชนก็พร้อมที่จะเป็นกำลังหนุนเนื่องของกองทัพในการต่อสู้กับภัยของชาติบ้านเมืองเหล่านั้น”
“สุดท้ายนี้เราขอขอบคุณอีกครั้งต่อผู้บัญชาการทหารบกที่ได้ออกมาขอโทษสังคมต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป เราขอให้ท่านได้กระทำหน้าที่ของท่านอย่างซื่อตรง เต็มกำลัง และเราก็จะกระทำหน้าที่ของเราในฐานะสื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน”
ทางด้าน พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 (ผบ.พล.ร.11) ที่ด่าว่าหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการเป็นหนังสือพิมพ์ที่ถ่อยสถุล ก็หยุดตอบโต้เพื่อยุติปัญหา
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นเรื่องการ “คุกคามสื่อ” ที่กองทัพบกยังไม่เข้าใจในการทำงานของสื่อมวลชน เพราะมองว่า การตบเท้าไป “แสดงความไม่สบายใจ” ต่อการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนด้วยเครื่องแบบเต็มยศของกำลังพลนับร้อยหน้าสำนักงานสื่อนั้นเป็นเรื่องปกติ
“กองทัพบกรู้สึกแปลกใจที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ และได้ตัดสินว่า “กองทัพคุกคามสื่อ” โดยทันทีที่เกิดเหตุการณ์ ทั้งนี้ กองทัพบกขอยืนยันว่าทหารที่ไปรวมตัวกันมิได้มีเจตนาคุกคามสื่อ แต่เพียงไป “แสดงความรู้สึกไม่สบายใจ” ต้องการให้เห็นถึงความรักและการปกป้องกองทัพ อีกทั้งยังรู้สึกกดดันที่ทหารได้ทุ่มเททำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนในทุกเรื่องอย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด แต่กลับถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ การแสดงความรู้สึกก็ยุติลงแล้วตามที่ผู้บังคับบัญชาขอร้อง และสื่อก็ยังคงสามารถเสนอข่าวได้ตามปกติ” พลตรี พลภัทร วรรณภักตร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก ระบุในจดหมายที่ส่งถึงสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ขณะที่องค์กรสื่อชี้แจงว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายคุกคามสื่อ “แถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยระบุว่า การที่ข้าราชการทหารในเครื่องแบบของกองทัพบกที่ไปรวมตัวกันที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการเป็นการกระทำที่ “เข้าข่ายคุกคามสื่อ” เพราะการไป “แสดงความรู้สึกไม่สบายใจ” ด้วยกำลังพลในเครื่องแบบ นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติสำหรับสังคมประชาธิปไตย” นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ชี้แจงในหนังสือตอบกลับศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก
ส่วนเรื่องการสืบสาวเอาความกับกำลังพลที่ตบเท้ามาแสดงความรู้สึกไม่สบายใจหน้าสำนักงานสื่อเครือเอเอสทีวีผู้จัดการนั้น พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงว่า “ทหารที่ออกไปที่หน้าสำนักพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการนั้นก็เรียกมาสอบสวนหลายหน่วย โดยเขาบอกว่า เขาขออนุญาตไป โดยไม่น่าผิด เพราะไปนอกเวลา ไม่ได้ถูกเกณฑ์ไป เป็นการพูดคุยระหว่างเพื่อนๆ เพราะเพื่อนเขาเสี่ยงชีวิต เสียชีวิต บาดเจ็บอยู่ที่เขาพระวิหาร เขาถามผมว่ารู้สึกอย่างไร ผมบอกว่า ทราบแล้ว และเข้าใจแล้ว เดี๋ยว ผบ.ทบ.จะทำความเข้าใจเอง ขอให้อดทน”
“ไม่ได้สั่งให้ทหารออกไป และได้ห้ามปรามแล้ว โดยให้เขากลับมาอยู่ในระเบียบวินัย ประวัติศาสตร์จะสอน ต้องนำบทเรียนต่างๆ มาแก้ให้ได้ และอย่าบอกว่าทำไมไปห้ามเรื่องการออกมาชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ไม่ห้ามทหารกลุ่มนี้ เราต้องกำหนดบทบาทของทหารให้ชัดเจน คือ ทหารเป็นเจ้าหน้าที่และประชาชน ตราบใดที่แต่งเครื่องแบบอยู่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้าไม่มีหลักตรงนี้ก็ทำงานไม่ได้ ผมต้องรักษากองทัพไว้ตรงกลาง ให้ดูแลบ้านเมืองได้ แต่ผมห้ามจิตใจแต่ละคนไม่ได้ ถ้ามาบอกว่าผมทำให้กองทัพอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ขอยืนยันว่าทหารทุกคนพร้อมทำหน้าที่ กองทัพคือกองทัพ และกองทัพไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนไทย”
“เราเป็นศัตรูกับคนที่รุกราน ไม่ได้เข้าข้างโน้น ข้างนี้ วันนี้ผมเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่มีใครรู้จิตใจผมได้ ดังนั้นอย่ามาเขียนอะไรที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านมา ลูกน้องได้แสดงความรู้สึกไปแล้ว ผมโกรธเคืองใครไม่ได้เพราะเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว อาจพูดไม่เพราะอยู่บ้าง แต่เป็นนิสัย เพราะเป็นทหารมาทั้งชีวิต 36 ปี เอะอะโวยวายตลอด แต่ไม่เคยด่าหรือเอ่ยชื่อใครเสียหาย การที่ทหารออกไปเพื่อปกป้องเกียรติ ศักดิ์ศรี ไม่ได้คุกคามสื่อ ถ้าผมคุกคามสื่อคงไม่มายืนพูดมากขนาดนี้ เพราะผมรักท่าน เชื่อมั่นว่าท่านเป็นสื่อที่ดี เข้าใจ ถ้าเราไม่ดูแลซึ่งกันและกัน แล้วถามว่าสื่อจะเอาข่าวที่ไหนไปเขียน ถ้าผมไม่ร่วมมือ ไม่รักท่าน เราเป็นทหารของประชาชน แต่บางเรื่องอยากให้สื่อช่วยรักษาสิทธิให้ผมหน่อย ผมบอกผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้วว่า อย่าทำอีก” ผบ.ทบ.กล่าวย้ำ
เมื่อ ผบ.ทบ.ย้ำเช่นนี้ จึงชัดเจนว่า พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 (ผบ.พล.ร.11) หัวขบวนป่วนเอเอสทีวีผู้จัดการ รอดตัว!
ส่วนการปกป้องศักดิ์ศรีของกองทัพไม่ให้ถูกรุกไล่จากคนเสื้อแดงและไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาล ถึงแม้ว่ากองทัพจะต้องรับฟังนโยบายจากรัฐบาลก็ตามนั้น มีคำยืนยันหนักแน่นจาก ผบ.ทบ.ว่า ทหารต้องเอาภารกิจหน้าที่ คือ การป้องกันประเทศชาติเป็นหลัก สำหรับคดีความของกลุ่มผู้สูญเสียคดียังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ต้องเคารพศาล ทำนอกกฎหมายไม่ได้ ถ้ามัวแต่ใช้ขบวนการนอกศาลบ้านเมืองจะสับสนวุ่นวาย
เรื่องนี้จึงจบลงด้วยสันติ ต่างฝ่ายต่างยืนหยัดทำหน้าที่ของตนเอง