ผบ.ทบ.ขอโทษสังคม หลังปรี๊ดแตกใส่ “เอเอสทีวีผู้จัดการ” แถมปล่อยลูกน้องบุกข่มขู่ถึงบ้านพระอาทิตย์ อ้างเป็นทหารก็แบบนี้ สอบสวนแล้ว ไปกันเองไม่มีใครสั่ง ยืนยันไม่ได้คุกคามสื่อ เรื่องนี้จบแล้วไม่ขอตอบโต้อีก พร้อมบอกให้ทหารอดทน
เมื่อเวลา 08.00 น.ที่กองทัพภาคที่ 1 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)เป็นประธานวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 103 ปี โดยมีพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ชลวิชญ์ เพิ่มทรัพย์ ประธานที่ปรึกษากองทัพบก พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.จิระเดช โมกขะสมิต ผช.ผบ.ทบ. และพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เสนาธิการทหารบก รวมถึงอดีตนายทหารระดับสูงที่เคยสังกัดกองทัพภาคที่ 1 มาร่วมงานจำนวนมาก เช่น พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยนายทหารหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 1 ได้ยืนเข้าแถวแสดงความเคารพ พล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างทางเดินไปเป็นประธานพิธีเปิดหอประชุมกองทัพภาคที่1 แห่งใหม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ได้เข้าไปตบไหล่กำลังพล แล้วกล่าวคำขอบคุณ
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 1 ได้แจ้งไปยังหน่วยขึ้นตรงของกองทัพภาคที่ 1 ให้ผู้บังคับหน่วยตั้งแต่ระดับผู้บังคับกองร้อย ผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม จนถึงระดับผู้บัญชาการกองพลมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ปกติงานสถาปนากองทัพภาคที่ 1 จะไม่มีผู้บังคับกองร้อยมาร่วมงานแต่อย่างใด
ทั้งนี้ พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นตัวแทนกำลังพลมอบแจกันดอกไม้เป็นกำลังใจแก่ พล.อ.ประยุทธ์ โดย พล.ท.ไพบูลย์ กล่าวว่า ความสำเร็จที่ผ่านมา ผบ.ทบ.เป็นผู้บังคับบัญชาในหัวใจที่กำลังพลมีความเคารพรักเชื่อมั่นศรัทธา และมีความภูมิใจที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน และขอเป็นกำลังใจพร้อมยืนเคียงข้างผบ.ทบ. และขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะมั่นคงต่อท่านเป็นหนึ่งเดียว จะรักศักดิ์ศรี เกียรติยศและเกียรติศักดิ์ของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ทุ่มเทเสียสละ ปฏิบัติหน้าที่และฝ่าฟันอุปสรรคภายใต้การนำของผบ.ทบ. อย่างพร้อมเพรียงและมั่นคงตลอดไป
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวให้โอวาทกับกำลังพลว่า สิ่งที่เราผูกไว้ด้วยกันขณะนี้ไม่ใช่เรื่องของการตอบแทนเรื่องยศหรือตำแหน่งและเงินทอง แต่ตอบแทนด้วยหัวใจ ขอให้รู้อยู่เสมอว่าผู้บังคับบัญชาทุกคนห่วงใยพวกเราเสมอ เพราะทุกคนในกองทัพยังเป็นผู้ปฏิบัติในสนามรบ แม่ทัพภาคยังคงเป็นผู้นำในสนามรบอยู่ จนกระทั่งถึงพลทหาร ทั้งนี้ขอฝากว่า ทุกคนต้องมี ระเบียบวินัย มีเหตุผล รู้จักแยกแยะผิดถูก และสามารถจะอธิบายกับประชาชนได้ วันนี้เราอาจทำงานมากเกินไป โดยไม่ได้อธิบายกับประชาชน ซึ่งคงจะต้องอธิบายมากขึ้น และต้องอดทนให้มากกว่าที่ตนอดทน บางครั้งตนอาจจะอดทนน้อย เพราะว่าต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่มากพอสมควร ทำให้เกิดความกดดัน อย่างไรก็ตามกำลังใจที่ให้กับตนนั้นตนจะทำตัวให้ดีที่สุด จะเป็นผู้บังคับบัญชาที่นำพากองทัพไปในสิ่งที่ดีงาม ดูแลเรื่องสวัสดิการและชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น เราดูแลอย่างอื่นมามากแล้ว ทำไมจะดูแลกันเองไม่ได้ และตนขอให้ทุกระดับชั้นนำไปปฏิบัติ
“เราต้องมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น หัวใจแห่งการให้อภัย เสียสละ กล้าหาญ และการสู้รบ พวกท่านต้องพร้อมเสมอ เราจะดูแลครอบครัวของท่าน หากเกิดเหตุการณ์ไม่ปลอดภัย ขอให้ท่านมั่นใจ และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ผมขอให้พวกเราส่งใจไปให้ลูกน้องเราที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณชายแดนภาคใต้ให้ปลอดภัยดีกว่า และทำอย่างไรให้เกิดความสงบสุขโดยเร็ว เพราะเรารบกับคนไทยด้วยกัน อีกทั้งทำอย่างไรให้ประชาชนรักกัน บ้านเมืองไปข้างหน้าได้ และไม่ทำระบบต่างๆของเราเสียหาย ตนเป็นห่วงเท่านั้นเอง”
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาทหารได้รับการสูญเสียจากเหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชายแดนเขาพระวิหาร และการปฏิบัติหน้าที่ตามพ.ร.บ.ความมั่นคงที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถือเป็นบุคลากรของกองทัพบกที่ทุ่มเทเสียสละกำลังกาย ใจ ชีวิต ในการปกป้องตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายทุกประการ ขอเรียนว่า งานชายแดนเราไม่ได้เพลี่ยงพล้ำให้กับใครตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ยังคงรักษาเขตแดนทั้งหมดที่เรามีอยู่ ตรงไหนที่มีปัญหาก็ยังเป็นขั้นตอนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนพิจารณา ซึ่งสองประเทศต้องคุยกัน โดยส่วนหนึ่งยังไม่เรียบร้อย ซึ่งการแก้ไขปัญหาจะทำอย่างสันติ แต่หากประเทศใดไม่ปฏิบัติตามก็จะมีการประท้วงกัน ซึ่งต้องแก้ไขด้วยกลไกที่มี
“วันนี้เรายังไม่เสียดินแดน อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น อะไรที่ยังมาไม่ถึงก็ต้องแก้ปัญหาไปทั้งในและนอกประเทศ ถ้าบอกว่า เสียดินแดนไปแล้ว ทหารที่บาดเจ็บจากชายแดนเขาเสียใจ ผมเข้าใจว่า ทุกคนห่วงใยรักประเทศชาติ ถึงผมจะหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ที่หงุดหงิดไม่ใช่เพราะสื่อหรือประชาชน แต่ตนหงุดหงิดเพราะเกรงว่า ลูกน้องจะเสียใจว่า ที่เขาพลีชีพไปจะสูญเปล่า ส่วนคดีความของกลุ่มที่สูญเสีย ผมก็ต้องดูแลเขา เพราะเขาทำหน้าที่ตามกฎหมาย ที่เราทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะเราเป็นข้าราชการ และคดียังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ตนจึงทำไม่ได้ที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชากดดัน ร้องเรียนนอกถนน ไม่ได้ ต้องแยกแยะให้ออก ที่ตนไม่พูดมากในเรื่องนี้ เพราะมีคนทำงานตามกฎหมายอยู่ ขณะนี้เรามีทนาย พยานที่จะให้ข้อเท็จจริงช่วยเรา แต่จะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับกระบวนการ ผมไม่สามารถไปพูดจา หรือให้ลูกน้องจะไปเดินตามท้องถนนเรียกร้องความสูญเสียได้ ซึ่งเขาสูญเสียเหมือนกัน ทั้งนี้ต้องไปดูสาเหตุปัญหาแล้วไปแก้กัน ถ้ามัวแต่ใช้กระบวนการนอกศาลอยู่ บ้านเมืองจะสับสนวุ่นวาย” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการปกป้องสถาบันเรามีคณะทำงานอยู่ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คือ เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรง มีการกระทำชัดเจน ตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินการ คิดว่าไม่มีใครสบายใจ ซึ่งตนพยายามใช้กฎหมาย แต่ถ้าใช้กฎหมายมากๆ สื่อก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตนคิดว่า พระองค์ท่านคงไม่สบายพระทัยในเรื่องนี้ จึงต้องมีการเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับคนพวกนี้จำนวนมาก เพราะไม่อยากดำเนินคดี ขณะนี้พระองค์ท่านยังไม่แค้นเคืองอะไรกับใคร ท่านไม่สามารถต่อสู้ด้วยพระองค์เองได้ สิ่งต่างๆบางทีต้องระมัดระวัง วิธีการสู้ที่ถูกต้องคือ กรณีที่ร้ายแรงต้องร้องทุกข์กล่าวโทษ แล้วดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ถ้าไม่ร้ายแรงต้องพูดคุยอธิบาย พระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ไม่เคยยุ่งกับอะไรทั้งสิ้น เมื่อมีฝ่ายหนึ่งออกมาปกป้องกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็ออกมาปกป้องท่าน แต่อาจปกป้องด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง พระองค์ท่านจะยิ่งโดนดึงลงมามากขึ้น ซึ่งต้องระมัดระวัง อย่าคิดว่าพวกเราสบายใจหรือนิ่งนอนใจ แต่ทำเรื่องนี้มาตลอด ทุกเดือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานสำนักราชเลขาธิการตลอด และรัฐบาลก็รายงานขึ้นไป ทุกอย่างต้องค่อยๆแก้ ซึ่งการดำเนินการทันทีกับคนพวกนี้ค่อนข้างยาก ต้องใช้เวลา เพราะการใช้ความรุนแรงไม่เกิดประโยชน์
“วันนี้ทุกคนบอกว่า เรารักประเทศไทย แต่บางคนบอกว่า ไม่ชอบนั่น ไม่ชอบนี่ แต่ไม่ทำอะไร ไม่ช่วยเจ้าหน้าที่ ไม่ไปป้องปราบปรามคนเหล่านี้ ถ้าท่านช่วยเราจะดีขึ้น คิดว่าทุกคนน่าคลี่คลายปัญหาต่างๆให้ได้โดยเร็ว ส่วนเรื่องเกียรติยศศักดิ์ศรีของกองทัพ ผมก็ไม่เห็นใครมาดูถูกกองทัพ เว้นแต่มีคนบางกลุ่ม บางพวก ไม่รู้เจตนาทำไปเพื่ออะไร ผมต้องขอโทษสังคมว่า อาจแสดงกริยาหงุดหงิดไปหน่อย แต่ผมพูดแบบทหาร พูดแรงไปนิดหน่อย ต้องรู้จักนิสัยผม ส่วนทหารที่ออกไปที่หน้าสำนักพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการนั้นก็เรียกมาสอบสวนหลายหน่วย โดยเขาบอกว่า เขาขออนุญาตไป โดยไม่น่าผิด เพราะไปนอกเวลา ไม่ได้ถูกเกณฑ์ไป เป็นการพูดคุยระหว่างเพื่อนๆ เพราะเพื่อนเขาเสี่ยงชีวิต เสียชีวิต บาดเจ็บอยู่ที่เขาพระวิหาร เขาถามผมว่ารู้สึกอย่างไร ผมบอกว่า ทราบแล้ว และเข้าใจแล้ว เดี๋ยวผบ.ทบ.จะทำความเข้าใจเอง ขอให้อดทน”ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้สั่งให้ทหารออกไป และได้ห้ามปรามแล้ว โดยให้เขากลับมาอยู่ในระเบียบวินัย ประวัติศาสตร์จะสอน ต้องนำบทเรียนต่างๆมาแก้ให้ได้ และอย่าบอกว่าทำไมไปห้ามเรื่องการออกมาชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ไม่ห้ามทหารกลุ่มนี้ เราต้องกำหนดบทบาทของทหารให้ชัดเจน คือ ทหารเป็นเจ้าหน้าที่และประชาชน ตราบใดที่แต่งเครื่องแบบอยู่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้าไม่มีหลักตรงนี้ก็ทำงานไม่ได้ ตนต้องรักษากองทัพไว้ตรงกลาง ให้ดูแลบ้านเมืองได้ แต่ตนห้ามจิตใจแต่ละคนไม่ได้ ถ้ามาบอกว่าตนทำให้กองทัพอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ขอยืนยันว่า ทหารทุกคนพร้อมทำหน้าที่ กองทัพ คือ กองทัพและตน กองทัพไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนไทย
“เราเป็นศัตรูกับคนที่รุกราน ไม่ได้เข้าข้างโน้น ข้างนี้ วันนี้ผมเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่มีใครรู้จิตใจผมได้ ดังนั้นอย่ามาเขียนอะไรที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านมา ลูกน้องได้แสดงความรู้สึกไปแล้ว ผมโกรธเคืองใครไม่ได้ เพราะเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว อาจพูดไม่เพราะอยู่บ้าง แต่เป็นนิสัย เพราะเป็นทหารมาทั้งชีวิต 36 ปี เอะอะโวยวายตลอด แต่ไม่เคยด่าหรือเอ่ยชื่อใครเสียหาย การที่ทหารออกไปเพื่อปกป้องเกียรติ ศักดิ์ศรี ไม่ได้คุกคามสื่อ ถ้าผมคุกคามสื่อคงไม่มายืนพูดมากขนาดนี้ เพราะผมรักท่าน เชื่อมั่นว่าท่านเป็นสื่อที่ดี เข้าใจ ถ้าเราไม่ดูแลซึ่งกันและกัน แล้วถามว่า สื่อจะเอาข่าวที่ไหนไปเขียน ถ้าผมไม่ร่วมมือ ไม่รักท่าน เราเป็นทหารของประชาชน แต่บางเรื่องอยากให้สื่อช่วยรักษาสิทธิให้ผมหน่อย ผมบอกผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้วว่า อย่าทำอีก”ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรตอบโต้ท่านด้วยถ้อยคำรุนแรง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่าไปเอ่ยชื่อเขาเลย ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตนก็เป็นผู้ใหญ่ ต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่ รู้ว่าอะไรควร หรือไม่ควร ทั้งนี้ไม่ได้ห้ามนักข่าวเอเอสทีวีเข้ามาทำข่าว และที่เอ่ยชื่อหนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้ด่าใคร พูดแบบทหาร เป็นธรรมดา ขอโทษด้วยถ้ารู้สึกว่า ดูถูกเหยียดหยามกันมากเกินไป ตนเป็นผู้ใหญ่ก็ขอโทษ ซึ่งขณะนี้ตนควบคุมอารมณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งกว่านี้ ลูกน้องรู้ว่า แม้ตนเสียงดัง แต่ไม่ใช่คนใจร้าย เป็นคนใจดี เมื่อถามว่า การที่ท่านขอโทษแสดงว่า ท่านยอมถอยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าไม่ได้เดินไปข้างหน้าและถอยหลัง ตนขอโทษแทนลูกน้องตน ไม่ได้ขอโทษคนอื่น เพราะไม่ได้ทำความผิดกับใคร ไม่ได้เอ่ยชื่อใคร อยากให้เข้าใจทหาร อะไรที่หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน เคยเห็นไก่ตรุษจีนไหม ไม่รู้ว่า จะจิกตีกันไปทำไม ตนไม่อยากเป็นไก่ตรุษจีน ดังนั้นตนออกมานอกเข่งดีกว่า
เมื่อถามว่า ถูกกล่าวหาเช่นนี้รู้สึกน้อยใจหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องมี เพราะเป็นปุถุชนมีโกรธน้อยใจบ้าง แต่ที่สุดต้องนับหนึ่งถึงสิบ ถึงร้อย ถึงพัน ตอนนี้ก็ถึงหมื่นแล้ว บอกลูกน้องให้อดทนแล้วก็ยิ้มเข้าไว้ หลักคิดคือจะทำอย่างไรให้กองทัพอยู่ได้เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ และให้กองทัพจะเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ดูแลปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน เราเอนไปข้างไหนไม่ได้ เพราะรู้ว่าเป็นเป้าในการติดตาม เอาใจช่วย และ มีคนไม่เข้าใจบ้าง แต่เชื่อว่าเวลาจะทำให้ทุกคนเข้าใจ อะไรที่ไม่ดีก็บอกมา และพยายามจะไม่หงุดหงิด เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองทัพ และอีกฝ่ายหนึ่งจะทำอย่างไรต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีฝ่าย สังคมก็ว่ากัน ตนไม่เคยไปขู่สื่อ อาจจะเสียงดังใส่บ้าง แต่ไม่ได้ไปทะเลาะ ขอร้องสื่อว่า ถ้าจะไปกล่าวหาใครโดยเฉพาะเรื่องที่ความเป็นความตายของลูกน้อง และความเสียใจของครอบครัวลูกน้องทั้งหมด เป็นการทำร้ายจิตใจคนเหล่านี้ ซึ่งเขาเจ็บปวด
“ผมตอบท่านทุกคำถาม ลูกน้องบอกว่าพูดมากไปเดี๋ยวจะถูกโจมตีกลับ แต่ผมเชื่อมั่นในความเป็นนักข่าวของพวกท่าน คนดีๆ ก็เยอะ ผมอ่านหนังสือพิมพ์วันนี้ก็เข้าใจ ทุกคนก็รักทหาร แต่มันต้องมีอะไรซักอย่างที่ทำให้ไม่เข้าใจกัน ก็อยากขอร้องกัน ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า มีคนสงสัยเกี่ยวกับการวางตัวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนต้องเอาภารกิจหน้าที่เป็นหลัก ซึ่งภารกิจของคือการป้องกันประเทศ กฎหมายว่าเช่นไรก็เดินไปตามนั้น บางเรื่องที่ลูกน้องอยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดี ตนก็ต้องเคารพในศาล ทำนอกกฎหมายไม่ได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้น 1-2 วันนี้ เป็นเรื่องศักดิ์ศรีทหารของเขาเอง จะมาบอกว่าตนไปตอบโต้ทางคดี ซึ่งยังไม่ใช่คดี เพราะยังไม่มีใครฟ้องใคร เพียงแต่พูดแรงไปนิดนึง แล้วก็มีคนด่ากลับมาเป็นร้อยเท่าพันทวี ซึ่งมันไม่ใช่ และไม่ใช่ด่าตนคนเดียว แต่จะมาด่ากองทัพบกด้วย
“คนไทยมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ไม่ใช่มียศพลเอกแล้วจะมีศักดิ์ศรีเหนือคนอื่น ผมบอกลูกน้องว่า พลเอก พลโท พลตรี สิบตรี พลทหาร ศักดิ์ศรีเท่ากัน ชีวิตเดียวกัน ตายเหมือนกัน เพียงแต่ตนรับผิดชอบชีวิตเขา แต่เขาไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตตน อย่ามาบอกว่าผมไม่รักศักดิ์ศรีกองทัพ แต่รักษาศักดิ์ศรีตัวเอง ให้ลูกน้องไปแก้ตัว ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะได้ห้ามเขาแล้ว ทั้งนี้ ผมไม่คิดเป็นศัตรูกับใคร เพราะทุกคนเป็นคนไทยเหมือนกัน วันนี้ที่วุ่นวายกันอยู่เพราะคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ที่ชายแดนภาคใต้ก็คนไทยด้วยกันทั้งหมด หนีกันไปไม่ได้ รอบบ้านก็ย้ายประเทศหนีไปไม่ได้ อย่าเร่งเทศกาลให้มาเร็ว ไก่อยู่ในเข่งเดียวกัน ก็จิกกันจ็อกแจ๊กๆ กันทั้งวัน แต่ในที่สุดก็ต้องถูกเขาเชือดไปขาย ไหว้เจ้าอยู่ดี” ผบ.ทบ.ระบุ