ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ยอมรับว่าหนักใจในคดีดังกล่าว แต่คิดว่า รัฐบาลก็ทำดีที่สุดแล้ว องค์ประกอบในการสู้คดีใช้ทีมงานชุดเดิมตลอดมีการเปลี่ยนแปลงแค่ตัว รมว.ต่างประเทศเท่านั้น มองตั้งแต่ตอนมารับตำแหน่งแล้วว่า คดีนี้มีแต่แพ้กับเสมอตัวคือ ถ้าแพ้ก็เสีย แต่ถ้าอยู่แบบเดิมคือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ส่วนพื้นที่รอบปราสาทเป็นแบบเดียวกับปี 2505 ก็คือเสมอตัวเท่านั้น แต่คนที่อยู่ตามแนวชายแดนทั้งไทยและกัมพูชาต้องอยู่กันอย่างนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน ยิ่งในอนาคตที่เราก้าวสู่ประชาคมอาเซียนเหมือนประชาคมยุโรป เรื่องเขตแดนแทบจะไม่มีความหมาย และไม่อยากเห็นการปะทะตามแนวชายแดนเกิดขึ้น เพราะเราเป็นเพื่อนบ้านกันควรอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข ไม่อยากให้มีการแบ่งแยก อยากฝากไว้ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรต้องยอมรับแต่หนักใจที่คนส่วนหนึ่งจะไม่เข้าใจเท่านั้นเอง”
“สิ่งที่เราเกรงกลัวมากที่สุดคือ หากศาลตัดสินไม่ถูกใจคนบางกลุ่มแล้วเกิดการชักจูงคนไปในทางที่ผิดจะส่งผลเสียอย่างยิ่ง เพราะคำตัดสินของศาลโลกทุกประเทศต้องยอมรับ การขัดขืนจะทำให้ไทยอยู่ในสังคมโลกลำบาก ดังนั้นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นมาว่ารัฐบาลที่แล้ว (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ทำอะไรจึงเป็นต้นเหตุให้กัมพูชาไปฟ้องศาลโลก”
นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ “อ้ายปึ้ง” นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหารที่“ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ”(International Court of Justice-ICJ) หรือศาลโลกจะมีคำพิพากษาในปี 2556 นี้ ซึ่งเป็นคำให้สัมภาษณ์ที่ต้องบอกว่า สะท้านเข้าไปในหัวใจของคนไทยทั้งชาติเลยทีเดียว เพราะถ้าพิจารณาจากน้ำเสียงก็ต้องบอกว่า โอกาสที่ราชอาณาจักรไทยจะต้องสูญเสีย ปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารให้ราชอาณาจักรกัมพูชามีสูงยิ่ง
และถ้าประเทศไทยแพ้จริง นี่คือการสูญเสียดินแดนครั้งที่ 15 ซึ่งเจ็บปวดยิ่ง
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ความพ่ายแพ้ดังกล่าวจะมิได้หยุดอยู่เพียงแค่พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร หากมีโอกาสที่จะลุกลามใหญ่โตไปถึงการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนของราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาครั้งประวัติศาสตร์ ทั้งเส้นเขตแดนทางบกกินอาณาบริเวณยาวกว่า 798กิโลเมตร
และเส้นเขตแดนทางทะเลที่เป็นแหล่งพลังงานซึ่งมีมูลค่ามากมายมหาศาลอีกด้วย
แน่นอน คงต้องไล่เรียงกันมาเป็นลำดับว่า ถ้าประเทศไทยต้องสูญเสียเขาพระวิหารจริง ใครคือผู้อยู่ในข่ายที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนกันบ้าง และจดจำชื่อเหล่านั้นเอาไว้ในบัญชีที่ลูกหลานไทยจะต้องสาปแช่งอย่างมิรู้ลืม
ทั้งนี้ ใครที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาชายไทยระหว่างไทย-กัมพูชามาอย่างต่อเนื่องก็จะพบความจริงประการหนึ่งว่า ก่อนที่เหตุการณ์กำลังจะเดินทางมาถึงบทสุดท้ายคือการรอฟังคำพิพากษาของศาลโลกด้วยความระทึกใจ รัฐบาลของนายฮุนเซนวางแผนและดำเนินการที่จะยึดครองพื้นที่ของประเทศไทยมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่ 1 ปีหรือ 2 ปี แต่มีการวางยุทธศาสตร์นับเป็นสิบๆ ปีเลยทีเดียว
ขณะที่รัฐบาลไทยไล่มาตั้งแต่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย รัฐบาล นช.ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้สนใจใยดี มิหนำซ้ำยังมีพฤติกรรมที่เอนเอียงและเอื้อประโยชน์ต่อฝั่งกัมพูชาอีก ต่างหาก
ยิ่งกรณีอ้ายปึ้งยิ่งเห็นชัดเจน เพราะไม่ทันต่อสู้ก็ยอมแพ้เสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะเมื่อ “ปูกรรเชียง” เถลิงอำนาจการปกครองสำเร็จ เธอและโคลนนิงผู้พี่ ก็เดินทางเข้ากัมพูชาเป็นว่าเล่น แถมหลานสาวยังเตรียมตัวแต่งงานกับส.ส.กัมพูชาอีกต่างหาก
ในปี 2541 ชุมชนกัมพูชาเริ่มเข้ามาตั้งร้านค้าและแผงลอยบริเวณทางขึ้นปราสาทพระวิหารในเขตไทยเพื่อขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งว่ากันว่า ผู้ที่ยินยอมพร้อมใจให้ชุมชนกัมพูชาเข้ามาได้ก็คือ บิ๊กทหารที่ทำมาหากินอยู่ตามแนวบริเวณชายแดน
จากนั้นในช่วงปีเดียวกันต่อเนื่องมาจนถึงปี 2542 ก็ได้มีการสร้างวัดแก้วสิขาคีรีสวาระขึ้นที่บริเวณฝั่งตะวันตกของประสาทพระวิหารนอกเขตที่กั้นรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2505 หรือล้ำเข้ามาในอาณาเขต ของประเทศไทยนั่นเอง
และถัดมาอีกไม่นานนัก การรุกคืบของกัมพูชาก็ประสบความสำเร็จชนิดที่ไม่มีคาดคิด เมื่อรัฐบาลในขณะนั้นได้จัดทำ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543” หรือ MOU43 ร่วมกับกัมพูชา ซึ่งลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นกับนายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนของกัมพูชาในขณะนั้นโดยสาระที่สำคัญยิ่งของบันทึกฉบับนี้ก็คือ การยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
ทันทีที่ MOU43 เกิดขึ้น รัฐบาลของนายฮุนเซนก็เริ่มปฏิบัติการต่อทันทีด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะนับจากนั้นเป็นต้นมา รัฐบาลไทยเซ็นยกอธิปไตยให้กับกัมพูชาด้วยความยินยอมพร้อมใจอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “บันทึกความเจ้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลของไหล่ทวีป พ.ศ.2544” หรือ MOU44 ซึ่งลงนามโดย ดร.สุรเกียร์ติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในขณะนั้นกับนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา
ขณะนั้น นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม กัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไทยว่า นช.ทักษิณจะลงทุนในธุรกิจพลังงานและก๊าซฯในกัมพูชา ขณะที่ ฮุน เซน ก็ฝันถึงความโชติช่วงชัชวาลย์ที่ยังไม่มีวันมาถึงในอนาคตอันใกล้
และนั่นคือคำตอบว่า ทำไมถึงต้องมี MOU44
ต่อมาในช่วงปี 2547-2548 มีการขยายตัวของชุมชนกัมพูชา มีการก่อสร้างอาคารถาวรเพื่อเป็นที่ทำการเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกัมพูชาและมีการสร้างถนนจากบ้านโกมุยของกัมพูชาขึ้นมายังเขาพระวิหาร โดยบริษัทที่เป็นของลูกสาวซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของไทยอย่างชัดเจน ซึ่งในขณะนั้นกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ทำหนังสือประท้วงต่อกัมพูชาหลายฉบับ แต่กัมพูชานิ่งเฉยโดยอ้างว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา
นอกจากนี้ ชุมชนกัมพูชาดังกล่าวยังได้สร้างปัญหามลภาวะด้วยการปล่อยน้ำเสียทิ้งลงมาและไหลลงสู่สระตราว ซึ่งชาวบ้านของไทยจำนวน 5 หมู่บ้านในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษได้มีการประท้วงต่อจังหวัดศรีสะเกษเกี่ยวกับผลกระทบจากน้ำเสีย แต่ก็เช่นทุกครั้งที่ผ่านมาที่การประท้วงทุกครั้ง มิได้ดำเนินการอย่างจริงจังว ซึ่งชาวบ้านของไทยจำนวน 5 หมู่บ้าน
เหล่านี้คือการวางแผนที่มีการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ต้องบอกว่า เป็นการทำงานอย่างเป็นระบบและทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยความอดทน โดยที่ MOU 43 มิได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แถมยังถูกใช้เป็นอาวุธอันทรงอานุภาพในการกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตาม MOU43 ขณะที่ฝ่ายไทยเองไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในดินแดนไทยได้เพราะมี MOU43 ปิดปากเอาไว้
กรณีที่ชัดเจนยิ่งก็คือ วัดแก้วสิขาคีรีสวาระที่กัมพูชาสร้างขึ้นในดินแดนไทยที่สามารถดำรงอยู่ต่อไปด้วยการรับรองของ MOU43
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จสูงสุดของกัมพูชาและนายฮุนเซนก็คือ การวางแผนขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวต่อยูเนสโก (UNESCO) เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2550 ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 31 ณ เมืองไครส์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ จากนั้นในปี 2549 กัมพูชาได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดพื้นที่อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารพร้อมแผนที่ประกอบ ซึ่งบางส่วนของพื้นที่อนุรักษ์ดังกล่าวได้ก้าวล้ำเข้ามาในดินแดน ไทย
และเหยื่อล่อที่สำคัญยิ่งต่อนักการเมืองไทยก็คือ ทรัพยากรพลังงานจำนวนมหาศาลที่อยู่ในทะเลมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านบาท อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
ในที่สุดรัฐบาลหุ่นเชิดของนายสมัคร สุนทรเวช โดย “นายนพดล ปัทมะ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นไปเซ็นลงนามในแถลงการณ์ร่วม(Joint communiqué) พ.ศ.2551 และเอกสารฉบับดังกล่าวก็เป็นเอกสารสำคัญที่ทำให้กัมพูชาสามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวได้เป็นผลสำเร็จ โดยมียูเนสโกร่วมสมคบคิดเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์จากเม็ดเงินที่จะเกิดขึ้นจากการบูรณะปราสาทและการท่องเที่ยว
และเมื่อสามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ กัมพูชาก็รุกคืบด้วยการผลักดันแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพื่อหวังยึดดินแดนของไทย จากนั้นก็นำมาซึ่งอีกสารพัดการสร้างสถานการณ์เพื่อเรียกคะแนน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดฉากสงครามที่แนวรบปราสาทพระวิหาร ภูมะเขือ เพื่อวางแผนนำเรื่องเข้าสูการพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UNSC) ก่อนที่ UNSC จะโยนเรื่องให้อาเซียนเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือการเปิดฉากสงครามที่ปราสาทตาควาย ตาเมือนธม
ก่อนที่จะจบลงในวันที่ 28 เมษายน 2544 ซึ่งเป็นวันที่ประเทศไทยได้รู้เช่นเห็นชาติและไส้ในทุกขดของกัมพูชากันอีกครั้งหลังจากรัฐบาลนายฮุนเซนยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อขอให้ตีความคดีปราสาทพระวิหาร และในที่สุดความพ่ายแพ้ก็มาเยือนไทยเป็นคำรบแรก หลังจากที่ “นายฮิซาชิ โอวาดะ” ประธานศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(International Court of Justice-ICJ)” อ่านคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกจบลง
ทั้งนี้ เนื่องเพราะถ้าหากนำมติของศาลโลกมาไล่เรียงทีละข้อก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่า ไม่มีข้อใดเลยที่ประเทศไทยจะได้เปรียบประเทศกัมพูชา
มติข้อที่หนึ่ง ศาลโลกมีมติ 11 ต่อ 5 เสียงให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารทั้งหมดออกจากพื้นที่ ซึ่งกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหาร(Previsional Demilitarized Zone) ตามมาตรการชั่วคราวและให้ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมทางทหารใดๆ ภายในพื้นที่นี้ พร้อมทั้งกำหนดพิกัดที่จะต้องถอนทหารเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ
มติข้อที่สอง ศาลโลกมีมติ 15 ต่อ 1 เสียงว่า ไทยจะต้องไม่ขัดขวางการเข้า-ออกพื้นที่ปราสาทพระวิหารของฝ่ายกัมพูชาที่ไม่ใช่กิจกรรมทางทหาร ไทยกับกัมพูชาต้องร่วมมือกันต่อไปภายใต้กรอบของอาเซียน โดยอนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์ภายใต้อาเซียนสามารถเข้าไปในพื้นที่เขตปลอดทหารภายใต้มาตรการชั่วคราวได้ และให้ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่เป็นการกระตุ้นความขัดแย้งหรือทำให้ความขัดแย้งระหว่างกันขยายบานปลายหรือทำให้ยากลำบากแก่การแก้ไขมากยิ่งขึ้นไปอีก
และมติข้อสาม ศาลโลกมีมติ 15 ต่อ 1 เสียง ให้ทั้งสองฝ่ายต้องรายงานการปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวที่ได้สั่งไว้ข้างต้นจนกว่าศาลจะมีคำตัดสินเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษาเดิม
มติที่เป็นเอกฉันท์ดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทยภายใต้การนำของนายกษิต ภิรมย์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ขณะนั้น ประสบความล้มเหลวในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน เพราะคะแนนที่ออกมาแสดงให้เห็นว่า เสียงส่วนใหญ่เข้าข้างกัมพูชามากกว่าประเทศไทย
ที่สำคัญคือแม้มติของศาลโลกจะทำให้ไทยเสียเปรียบ แต่ดูเหมือนว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศชื่อนายกษิตจะพร้อมที่จะปฏิบัติตามอย่างยินยอมพร้อมใจโดยมิได้มีข้อกังขา แถมยังให้สัมภาษณ์ในเชิงบีบบังคับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายทหารจะต้องปฏิบัติตาม โดยอ้างว่าเป็นมติของศาลโลก
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วประเทศไทยสามารถปฏิเสธคำสั่งของศาลโลกได้ เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติตรงไหนบอกว่าจะต้องทำอย่างไรและคำสั่งไม่มีสภาพบังคับ ไม่เหมือนกับคำพิพากษา
ดังนั้น การที่นายอภิสิทธิ์และนายกษิตประกาศเจตจำนงชัดเจนที่จะยอมรับมติของศาลโลก นั่นก็เท่ากับว่า เป็น “ประเทศแรก” ในโลกที่ทำตามมตินี้ และกลายเป็นตัวตลกในสายตาของชาวโลก
ที่สำคัญคือ หากไทยยอมปฏิบัติตามมติศาลโลก อาจถูกตีความได้ว่า “ไทยรับอำนาจศาลโลก” ยอมรับว่า พื้นที่ที่มีมติให้ถอนทหารออกไปนั้นไม่ใช่อธิปไตยของไทย และจะยินยอมให้มีการตัดสินตามที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นการตีความคำพิพากษาศาลโลก พ.ศ. 2505
นั่นหมายความว่าประเทศไทย “เปลี่ยนจุดยืน” สำคัญจากเดิมที่ฝ่ายไทยได้ตั้งข้อสงวนสิทธิต่อเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2505 ว่าไม่เห็นด้วย คัดค้าน ประท้วงต่อคำพิพากษาของศาลโลกที่ยกปราสาทพระวิหารให้อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา และขอสงวนสิทธิ์ในการทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคต และประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลโลกโดยบังคับมา 50 ปีแล้ว กลายมาเป็นว่าฝ่ายไทย “ยอมรับ”คำตัดสินเมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงพร้อมที่จะน้อมรับและยอมรับในการตีความให้ขยายขอบเขตไปมากกว่าเดิมด้วย โดยมีจุดเริ่มต้นด้วยการแสดงออกว่า “ยอมรับและปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก”
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ถ้าจะว่าไปแล้วความสำเร็จของกัมพูชาเป็นผลมาจากการทำงานที่เป็นเอกภาพ วางยุทธศาสตร์และยุทธวิถีที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขณะที่ในทางตรงกันข้ามความล้มเหลวของประเทศไทยเป็นผลมาจากความอ่อนแอของผู้นำรัฐบาลที่มิเคยกำหนดยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ที่เป็นเรื่องเป็นราวแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หลายครั้งที่มีคำท้วงติง หลายครั้งที่มีการเตือน รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ซึ่งมีโอกาสแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตกลับมิเคยสนใจและยังคง “ดื้อตาใส” โดยมิเคยยอมรับและแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการยกเลิก MOU 43 ชนวนเหตุสำคัญที่จะนำไปสู่การเสียดินแดน เนื่องจากเป็น MOU ที่ให้การยอมรับ “แผนที่ตอนเขาดงรัก” ที่รู้จักกันในชื่อว่า “ระวางดงรัก” หรือ ANNEX1 ซึ่งเป็นแผนที่ที่ถูกจัดทำและพิมพ์ขึ้นเผยแพร่ในนามของคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมที่ตั้งขึ้นโดยสนธิสัญญาลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1905 โดยเป็นแผนที่ที่ใช้มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
ย้ำกันอีกครั้ง MOU43 จัดทำขึ้นในสมัยที่นายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี และร่วมเซ็นลงนามโดยม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการะทรวงต่างประเทศ และนายวาร์ คิมฮง ที่ปรึกษารัฐบาลที่รับผิดชอบกิจการชายแดนของกัมพูชา
เป็น MOU 43 ฉบับเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทยพร่ำพรรณนาถึงคุณอันวิเศษในทุกลมหายใจเข้าออก
ทีนี้ ก็มาถึงคำถามสำคัญว่า สุดท้ายแล้วใครจะมีโอกาสแพ้หรือชนะมากกว่านั้น
ในประเด็นนี้ถ้าหากไล่เรียงลำดับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีก่อนที่กัมพูชาจะนำเรื่องขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลก ก็พอจะเห็นเค้าลางได้ว่า โอกาสที่กัมพูชาจะชนะย่อมมีไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากได้มีการเตรียมการในเรื่องนี้มานานพอสมควรและเป็นการเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
และถ้าจะว่ากันตามเนื้อผ้าและตรรกะแล้ว โอกาสที่กัมพูชาชนะก็น่าจะมีมากกว่า เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว กัมพูชาคงไม่ยื่นตีความคำพิพากษาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
เพราะแม้ศาลจะยังไม่มีคำตัดสินออกมา แต่จากประจักษ์พยานทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการคงอยู่ของ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 หรือ “MOU43” ที่ประเทศไทยยอมรับแผนที่ระวางดงรัก(Annex I map)ซึ่งใช้มาตราส่วน 1 :200,000 การที่ชุมชนกัมพูชาและทหารติดอาวุธของกัมพูชาสามารถเข้ามายึดพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเอาไว้ได้ ก็ต้องบอกว่า ยังไม่เห็นหนทางที่ราชอาณาจักรไทยจะมีชัยชนะเหนือราชอาณาจักรกัมพูชาแต่อย่างใด
มิหนำซ้ำรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ยังไปจ้างทนายความฝรั่งเศส ประเทศเจ้า อาณานิคมของกัมพูชาและเป็นต้นตอของการทำให้ประเทศไทยเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาอีกต่างหาก
ขณะที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยนายสุรพงษ์ก็ยอมแพ้เสียตั้งแต่ในมุ้ง ทั้งๆ ที่ยังมิได้ทันต่อสู้
อย่างไรก็ตาม เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คำถามถัดมาที่คนไทยทุกคนต้องการคำตอบก็คือ ใครคือต้นเหตุแห่งโอกาสของความพ่ายแพ้ในครั้งนี้
แน่นอน คำตอบในเรื่องนี้มีความชัดเจนว่า จำเลยแรกแห่งคดีย่อมหนีไม่พ้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแห่งพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนจำเลยที่สองและจำเลยที่สามย่อมหนีไม่พ้นกระทรวงการต่างประเทศ และบิ๊กข้าราชการทหารบางคนที่มีผลประโยชน์อยู่ตลอดแนวชายแดนบูรพา
และในส่วนของนักการเมือง ถ้าจะว่าไปแล้ว ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่เพียงนายอภิสิทธิ์เท่านั้น หากแต่ต้องไล่ย้อนหลังกลับไปถึงต้นกำเนิดของเรื่องคือการทำเอ็มโอยู 43 ในสมัยนายชวน หลีกภัย การทำเอ็มโอยู 44 ในสมัย นช.ทักษิณ ชินวัตร การทำ Joint Communique ในยุคนายสมัคร สุนทรเวช
“ในทางการเมืองปัญหาปราสาทพระวิหาร เริ่มต้นมีปัญหาสมัยพรรคเพื่อไทย ในสมัยนั้น คุณสุรเกียรติ (เสถียรไทย) เป็นรมต.ต่างประเทศ โดยยอมให้กระทรวงศึกษายุติการซ่อมแซมปราสาทตาเมือนธม เพราะเขมรบอกว่า อันนี้น่าจะอยู่ในดินแดนเขมร อันนี้เป็นไปตามเอ็มโอยู 43 แล้วก็ต่อมาที่พักพิงของนักท่องเที่ยว ซึ่ง ฝ่ายไทยสร้างขึ้นมา และเราก็ว่าอยู่ในเขตไทย เขมรก็บอกให้ยกเลิกไป อันนี้ปัญหามันมาจากอันนั้นก่อน เพราะ ฉะนั้นอาจจะเป็นไปได้เป็นเอ็มโอยู 43 มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ในสมัยพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผลปฏิบัติพรรคเพื่อไทย เป็นคนทำขึ้นมา” นายอัษฎา ชัยนาม อดีตอธิบดีกรมการระหว่างประเทศแจกแจงข้อมูล
แน่นอน ประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหารไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่เช่นนั้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2556 ที่ผ่านมานายกฯยิ่งลักษณ์คงไม่ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงในการปรึกษาหารือกับบรรดาผู้นำเหล่าทัพทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณฑัต รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือและ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งหากฟังคำให้สัมภาษณ์ของ ผบ.ทอ.แล้ว แม้จะไม่เหมือนกับ"อ้ายปึ้ง"เสียทีเดียว แต่ก็สามารถจับใจความได้ว่า ไม่ธรรมดาเช่นกัน
“การทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพ และกระทรวงการต่างประเทศกรณีปราสาทเขาพระวิหารที่ยังรอคำพิพากษาของศาลโลกนั้น นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทาง โดยการจัดคณะทำงานพูดคุยกันแบบเป็นทีมเวิร์ค โดยจะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยเชิญผู้สื่อข่าวไปรับทราบด้วย ซึ่งท่านนายกฯ ไม่ต้องการให้แต่ละคนยึดถือบทบาทหน้าที่ ของตัวเองเพียงอย่างเดียว ต้องนำมาแชร์กันนายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานทำ Strategy Map เรื่องการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อให้เห็นพัฒนาการที่เราทำความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้าน กับการคลี่คลายในแต่ละจุดที่มีปัญหาความมั่นคง โดยฝ่ายบริหารจะเป็นคนกำหนด ส่วนเรื่องรายละเอียดจะมีหน่วยงานที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการออกมาให้ข้อมูล โดยทางฝ่ายบริหารจะมีการตั้งโฆษกฯ ขึ้นมา เพื่อชี้แจงในมิติความมั่นคงนี้คนเดียว ซึ่งรัฐบาลเป็นห่วงความรู้สึกประชาชน โดยต่อจากนี้กรณีข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร จะเป็นลักษณะของการแถลงข่าว หรือออกเป็นเอกสารข่าว เพราะไม่อยากให้คิดไปเอง อยากให้คิดทางบวก และอยากให้ทราบถึงข้อเท็จจริง”
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ยังไม่ทันแถลงด้วยวาจาอันเป็นขั้นตอนสุดท้ายในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ไอซีเจ ในเดือน เม.ย. 2556 กระทรวงการต่างประเทศทั้งข้าราชการประจำและรัฐมนตรีต่างออกมาแถลงในทำนองให้คนไทยเตรียมใจรับสถานการณ์ไว้แต่เนิ่นๆ กองทัพเองก็ท่าทีไม่ได้ต่างกันเท่าไรนัก ก็เพราะไม่ว่าผลของคดีปราสาทพระวิหารภาค 2 ปลายปี 2556 จะเป็นอย่างไร ไทยก็มีแต่เสมอตัว หรือติดลบ ต่างกับกัมพูชาที่หากไม่เสมอตัว ก็ได้ผลบวก
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศไทยมีแนวคิดไม่ต้องการถูกลากไปศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกครั้งมานานแล้ว ต่างกับกัมพูชาที่ยกประเด็นนี้ขู่มาตลอด กระทรวงต่างประเทศไทยยินยอมทำ MOU 2543 ในข้อสำคัญที่ยอมรับแผนที่ระวางดงรักมาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา เกิดขึ้นก็เพราะไม่ต้องการให้เรื่องกลับไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกครั้ง หลังการเจรจาคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี ไม่คืบอยู่สองสามปีช่วงปลายปี 2551 - 2553 เพราะประชาชนไทยกลุ่มหนึ่งคัดค้าน กัมพูชาก็สร้างสถานการณ์สงครามย่อยชายแดนขึ้นมาตอนต้นปี 2554 เพื่อนำเรื่องไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตามต้องการจนได้
“ปัญหาใหญ่คือโดยภาพรวมมันไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างกัมพูชากับไทยเท่านั้น แต่มันมีผลประโยชน์มหาศาลของอภิมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะในยุคใหม่ที่เอเชียอาคเนย์กำลังกลายเป็นแหล่งช่วงชิงมีอิทธิพลเหนือระหว่างอเมริกากับจีน”
นายคำนูณกล่าวอีกว่า ในเมื่อไทยเราสู้คดีมาตลอดใน 3 ประเด็น คือ 1.ศาลโลกไม่มีอำนาจพิจารณาคดี เพราะไทยไม่มีต่ออายุปฏิญญารับรองเขตอำนาจศาลฯมาตั้งแต่ปี 2505 แล้ว 2.ไม่ใช่การตีความคำพิพากษาคดีเดิมเมื่อปี 2505 แต่เนื้อหาเสมือนเป็นคดีใหม่ หรืออุทธรณ์คดีเดิมที่สิ้นสุดไปแล้ว และ 3. ไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาคดีเดิมเมื่อปี 2505 ครบถ้วนแล้ว และกัมพูชาก็รับทราบแล้วและไม่เคยโต้แย้งมายาวนานกว่า 40 ปี
ดังนั้น ถ้าไม่มีวาระซ่อนเร้นอะไรในการแถลงด้วยวาจาในขั้นตอนสุดท้าย 15-19 เม.ย. 2556 ก็ไปแถลงไล่เรียงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายไปตามนี้ คือแสดงให้เห็นชัดเจนโดยปราศจากข้อสงสัยว่าเป็นคำแถลงไม่ยอมรับอำนาจศาลฯ ไม่ใช่แถลงต่อสู้คดี โดยประกาศต่อศาลฯ ให้หนักแน่นชัดเจนไปเลยว่าภายใต้เงื่อนไขทั้ง 3 ประการที่ต่อสู้มาแต่ต้น ราชอาณาจักรไทยจะไม่ยอมรับคำตัดสินใดๆ ที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนราชอาณาจักรไทยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และจะไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินนั้นๆ อย่างเด็ดขาด
นอกเหนือจากการต่อสู้ในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศดังกล่าวแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศจะต้องแถลงต่อนานาอารยประเทศตามประเด็นดังกล่าวคือ ไม่ยอมรับอำนาจศาลฯ และจะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาใดๆ ที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนราชอาณาจักรไทยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมอย่างเด็ดขาด
สำหรับขั้นตอนการพิจารณาของศาลโลกนั้นจากการเปิดเผยของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ทำให้ได้ข้อมูลว่า ศาลกำหนดว่าจะนั่งบัลลังก์ฟังการชี้แจงด้วยวาจาครั้งสุดท้ายระหว่างวันที่ 15-19 เม.ย.นี้ โดยคาดว่าหลังจากนั้นจะใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน จึงจะมีคำพิพากษา
…ถึงตรงนี้ ประชาชนคนไทยคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า สุดท้ายแล้วราชอาณาจักรไทยจะเสียดินแดนครั้งที่ 15 หรือไม่ และถ้าแพ้แล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยอมรับคำตัดสินอย่างหน้าชื่นตาบาน “ทหาร” ในฐานะผู้ปกป้องอธิปไตยของชาติจะทำเช่นไร