เมื่อเวลา 13. 00 น.วานนี้ (28พ.ย.) ได้มีการประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปคณะรัฐมนตรีโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 โดยสมาชิกวุฒิสภา ได้อภิปรายเน้นไปที่เรื่อง โครงการรับจำนำข้าว และ ปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน ในด้านอื่นๆ อาทิ ปัญหาด้านพลังงาน ราคาผลผลิตตกต่ำ การท่องเที่ยว ความปรองดอง การศึกษา สถานการณ์ในพิ้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีรัฐมนตรีร่วมฟังอภิปราย ได้แก่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี รมว.ศึกษาธิการ นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สาธารณสุข พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รมช.เกษตรและสหกรณ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์
** มัดมือชกขึ้นราคาก๊าซ
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ได้อภิปรายการบริหารงานของรัฐบาลว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่มีใครหยิบยกปัญหาเรื่องพลังงานขึ้นมาพูด เมื่อตอนที่รัฐบาลเข้มารับตำแหน่งใหม่ ๆ ได้ประกาศนโยบายในการแก้ไขปัญหาความเดือร้อนของประชาชน และผู้ประกอบการ เนื่องจากสภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศว่า จะมีการปรับโครงสร้างพลังงานทั้งหมด เพื่อนำไปสู่การควบคุม ดูแลสินค้าอุปโภคบริโภค และราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมแก่ผู้บริโภค และผู้ผลิต ตนจึงจะอภิปรายใน 4 ประเด็นในเรื่องพลังงาน คือ
1. ก๊าซหุงต้มแอลพีจี รับฐาลได้ประกาศขึ้นราคาทั้งระบบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรัฐมนตรีพลังงาน 3 คนมาแล้วที่พูดขัดแย้งต่อสิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้หาเสียงไว้ ว่าจะกระชากค่าครองชีพ จะลดราคาเชื้อเพลิงลง ซึ่งในตอนนี้ก็มีความชัดเจนว่า จะมีการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 56 เป็นต้นไป ในอัตราเดือนละ 50 สตางค์ เป็นระยะเวลา 2 ปี คือ เพิ่มขึ้นมา 12 บาท โดยรัฐบาลอ้างว่า เวลานี้ประชาชนใช้ราคาก๊าซแอลพีจีต่ำกว่าราคาของตลาดโลก แม้ว่าราคาของตลาดโลกเมื่อเทียบเป็นเงินไทยจะอยู่ประมาณ 27 บาท แต่ที่รัฐบาลพูดถึงคือ ราคา 36 บาท ในกระบวนการของคนที่ใช้ก๊าซแอลพีจีทั่วไปนั้น คือบรรดาภาครัวเรือน แต่ยังมีอีกหนึ่งอุตสหากรรมที่ต้องใช้ก็คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งกลุ่มนี้ได้ใช้ก๊าซแอลพีจีต่ำกว่าตลาดโลกถึง 40 เปอร์เซ็นต์
เมื่อปี 54 ภาคครัวเรือนใช้ก๊าซแอลพี่จี อยู่ที่ 2.6 ล้านตัน คิดเป็นประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ใช้ทั้งหมด ปิโตเคมีใช้อยู่ที่ 2.4 ล้านตัน คิดเป็น 36 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ภาคยานยนต์ ใช้ 9 แสนตัน คือ 13 เปอร์เซ็นต์ และอุตสาหกรรมเล็ก ใช้ 7 แสนตัน หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ปรากฎว่า 3 กลุ่มนี้ ยกเว้นภาคปิโตรเคมี คือ กลุ่มที่รัฐบาลต้องการจะขึ้นราคาก๊าซ ในขณะที่ปิโตรเคมีกลับไม่มีการพูดถึงการขึ้นราคา
ทั้งนี้ แอลพีจีที่ได้จากแหล่งก๊าซในประเทศมีถึง 55 เปอร์เซ็นต์ นำเข้าจากต่างประเทศ 22 เปอร์เซ็นต์ มาจากโรงกลั่นน้ำมัน 23 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นตนจึงสงสัยว่า รัฐบาลนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศแค่นี้ อาจจะมีการบวกกับส่วนของโรงกลั่นน้ำมัน รวมแล้วประมาณ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่มีก๊าซในประเทศถึง 55 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลกลับให้ประชาชนใช้ก๊าซแอลพีจีในราคาตลาดโลกทั้งหมด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งการที่รัฐบาลบอกว่า จะกระชากค่าครองชีพลงมานั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ค่าครองชีพของประชาชนก็จะต้องปรับเพิ่มตาม เช่น ราคาของข้าวแกง และเมื่อปรับขึ้นมาแล้วก็จะไม่มีการปรับลดลง
มติครม.ในยุครัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็เคยมีมติว่าจะนำเข้าก๊าซก็ต่อเมื่อในประเทศไม่เพียงพอ โดยให้ภาคครัวเรือน และอุตสาหกรรมได้ใช้ก่อน เพราะก๊าซจากแหล่งก๊าซในประเทศเป็นของประชาชน ส่วนปิโตรเคมีนั้น เป็นภาคที่ได้รับกำไร ถ้าหากว่าใช้จากโรงกลั่นน้ำมันของตัวเองไม่เพียงพอ ขอให้นำเข้าโดยคิดราคาเท่าตลาดโลก โดยการที่รัฐบาลประกาศว่า จะลอยตัวราคาก๊าซนั้นเป็นการบริหารงานที่แย่กว่า รัฐบาลนายสมชาย เพราะรัฐบาลกำลังจะอุ้มปิโตรเคมีอยู่เจ้าเดียว โดยให้ภาคประชาชนไปดิ้นรนกันเอาเอง
สัมปทานปิโตรเลียมไม่ได้มีการราคาส่วนแบ่ง ซึ่งรัฐบาลกำลังจะเปิดสัมปทานรอบใหม่โดยที่ไม่ได้มีการจัดส่วนแบ่งใหม่ ซึ่งหากมีการแบ่งใหม่ประเทศจะได้รับเงินส่วนแบ่งต้องมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก และทำให้นำเงินไปใช้ในส่วนอื่นได้ โดยที่ไม่ต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เพราะรายได้ที่ถูกแบ่งมานั้นมีความไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าคนไทยจะต้องใช้ก๊าซในราคาของตลาดโลกทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ สัมปทานก็ไม่ควรที่จะมีต่อไปเช่นกัน
ถ้าจะเปรียบว่าการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เป็นการฉ้อราษฎร์ บังหลวง นั้น รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน หากมีการปล่อยให้ลอยตัวราคาพลังงานทั้งระบบ ก็คือว่าเป็นการฉ้อราษฎร์ โดยการใช้กลไกของรัฐเปิดโอกาสให้มีการล้วงกระเป๋าของประชาชนเช่นกัน เพราะฉะนั้นตนอยากจะขอให้รัฐมนตรีทำประชาพิจารณ์ทั่วประเทศเสียก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นราคา
นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี อภิปรายว่า ขอสนับสนุนนโยบายโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่เหมาะสมที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นนโยบายดีที่สุด เพราะชาวนาได้ประโยชน์ สร้างความมั่นคงในครอบครัว สร้างรายได้และความมั่นคงแก่ชาวนา นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงในเรื่องปรองดอง 3-4 ปีที่ผ่านมา สังคมมีความแตกแยกอย่างมาก ไม่มีความเป็นเอกภาพ อยากให้ดูตัวอย่างจากการเลือกประธานวุฒิสภาครั้งล่าสุดเป็นตัวอย่างของการนำไปสู่ความปรองดอง ที่มีการแบ่งแยก แต่ไม่ใช่แตกแยก เนื่องจากให้ส.ว.สายเลือกตั้ง ได้เป็นประธานวุฒิสภา หลังจาก ส.ว.สรรหา ได้รับเลือกนั่งตำแหน่งประธานวุฒิสภามาลอดร่วม 4 ปี
**ปกป้องแก๊งเผาเมือง
ด้านนายสมชาย แสวงการ ได้เปิดคลิปการชุมชุมของกุล่มนปช. เมื่อปี 53 ที่แยกคอกวัว ซึ่งเป็นคลิปประกอบการรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เป็นภาพที่มีชายชุดดำใช้อาวุธ โดยนายสมชาย ระบุว่า มีชายชุดได้ใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิต ซึ่งได้ตำหนิการดำเนินคดีของรัฐบาลต่อกรณีดังกล่าวว่า มีการเลือกปฏิบัติ โดยเห็นว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินคดีจะเน้นเฉพาะคดีที่เจ้าหน้าที่กระทำต่อประชาชน ขณะที่คดีที่บุคคลที่กระทำต่อเจ้าหน้ากลับไม่มีความคืบหน้าและยังบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริง โดยมีดีเอสไอบางส่วนที่รักประเทศชาติได้มาบอกกับตนว่า ผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมในปี 53 มีแค่ 89 ศพ ไม่ใช่ 99 ศพ โดยมีตำรวจ ทหาร เสียชีวิตถึง 17 ราย ผู้ก่อเหตุแม้จะมีการจับกุมคุมขังตามเรือนจำต่างๆ แต่ก็ไม่การขยายผลทางคดีต่อ
ดังนั้นจึงอยากให้นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวงจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เร่งดำเนินการให้คดีเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว เพื่อสร้างควงามปรองดองของคนในชาติ
ต่อมานายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รมช.พาณิชย์ และแกนนำนปช. ลุกขึ้นชี้แจงว่า เหตุการณ์ชุมนุมปี 53 เป็นความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย คนในบ้านเมืองเรียกร้องหาความปรองดองมาตลอด ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งความปรองดอง จะไม่พบความแสงสว่าง แต่เราต้องอยู่ด้วยความหวัง กรณีที่ท่านกังวลว่ารัฐบาลเลือกที่จะดำเนินการกับคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ยืนยันว่า คดีมีความคืบหน้า มีประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกคุมขัง บางส่วนได้รับการประกันตัวคดีมาสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ บางคดีอยู่ระหว่างการพิจรณาคดี ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เข้าสู่กระบวนการยุติธธรมแล้วแทบทั้งสิ้น
ในขณะที่การดำเนินคดีกับอีกฟากฟั่งหนึ่งที่ถืออำนาจอยู่ในขณะนั้น ไม่ได้เริ่มต้นเลยจนถึงรัฐบาลชุดนี้เข้ามาทำงาน ก็มีดำเนินคดีเรื่อยมาคดีที่ประชาชนมือเปล่าถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ได้นำขึ้นสู่ศาล จนศาลพิจารณาแล้ว 2 ราย ว่าถูกกระทำให้เสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่รัฐโดยรับคำสั่งของศอฉ. ภายใต้คำสั่งรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เลือกปฎิบัติ เพียงแต่คดีความของประชาชนได้เดินหน้า ก้าวนำคดีของผู้ถืออำนาจรัฐในขณะนั้นไปไกลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับแกนนำ หรือระดับประชาชนที่มีชุมนุม เป็นการนับหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นสัญญานที่ดีไปสู่ความปรองดอง นี่คือการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
** "ยิ่งลักษณ์"อ่านสคริปต์เก่า
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงหลังจากที่ส.ว.ได้อภิปรายกันไปพอสมควร โดยกล่าวถึงปัญหาบรรจุแพทย์-พยาบาล เข้าเป็นข้าราชการว่า ที่ผ่านมาได้มีการเสนอแนวทางแก้ปัญหาจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็เป็นแผนในลักษณะปีต่อปี จึงได้มีมติครม.ให้ไปทบทวนทั้งระบบเพื่อวางแผนในระยะยาว ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาทั้งระบบในระยะยาว ในการดูแลทรัพยากรบุคคลทั้งหมด ส่วนการแก้ไขระยะสั้นอยู่ระหว่างหารือ เพื่อจัดสรรงบประมาณในการรับบุคลากรเข้าบรรจุให้มากที่สุด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้ชี้แจงถึงโครงการรับจำนำข้าวว่า เป็นนโยบายที่ต้องการให้เกษตรกรมีรายได้ และสร้างความมั่นคงให้เกษตรกรโดยตรง การจ่ายเงินทุกอย่างลงถึงเกษตรกรโดยตรง ผ่านทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) และระบบระบจำนำข้าว ยังเป็นการยกระดับราคาข้าวไทยทั้งระบบ
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรย่อมมีทางเลือกในการหารายได้ที่ดีกว่า สามารถเข้าร่วมโครงการของรัฐบาลหรือไปขายที่ไหนก็ได้ ที่ได้ราคาดีกว่า โดยภาพรวมราคาข้าวเปลือกไทยสูงขึ้นประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ในทางกลับกันก็มีตัวเลขหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นบ้างนั้น ก็มาจากกำลังซื้อที่ดีขึ้น และเป็นการซื้อในส่วนของเครื่องยังชีพ เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงภาพแผนผังการส่งออกข้าวไทย โดยอธิบายว่า ตัวเลขนี้เป็นข้อมูลจากหอการค้าไทย และกรมการค้าต่างประเทศ ที่เป็นตัวเลขส่งออกแล้ว ปรากฏว่าไทยอยู่ลำดับที่ 3 จริง ส่งออกข้าวแล้วประมาณ 5.7 ล้านตัน รองจากเวียดนามและอินเดีย แต่หากมาดูราคาขายเฉลี่ยที่ไทยขายอยู่ 679 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่เวียดนาม ขายมากที่สุดอยู่ที่ 445 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อนำจำนวนตันคูณกับจำนวนราคา ก็จะพบว่า ไทยขายได้ 3,897 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงที่สุดในขณะนี้
ในส่วนของการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า มีมาตรการตรวจสอบในขั้นตอนปฏิบัติอย่างเข้มงวด ทั้งที่จุดตรวจสอบ ณ จุดรับจำนำข้าว ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่ 24 ชั่วโมง และยังมีการตั้งศูนย์อำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าวทั้งระบบ มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีการบูรณาการหน่วยงานลงตรวจทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อปิดช่องโหว่ในทุกๆขั้นตอน และในอนาคตกระทรวงพาณิชย์จะพัฒนาการระบบคอมพิวเตอร์ในการลงทะเบียนเกษตรกร และติดตั้งกล้องวงจรปิด ณ จุดตรวจสอบอีกด้วย
"ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ หาผู้ที่ลงทุนไซโลในการเก็บรักษาข้าวให้อยู่นานขึ้น หากเรามีระบบตรงนี้ ในอนาคตเราจะสามาถสำรองข้าว แล้วขายข้าวให้แก่ประเทศที่มีความต้องการมากขึ้น เพื่อรักษาระดับราคาโดยรวมได้ดีขึ้น ดีกว่านำข้าวออกขายตัดราคากันเอง" นายกฯกล่าว
**เดินหน้าถลุงอีก2ล้านล้าน
ในช่วงท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท โดยโครงสร้างต่างๆ เป็นการพัฒนาไปสู่แหล่งท่องเที่ยว และประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคนี้ รวมไปถึงการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งนี้นโยบายทั้งหมดของรัฐบาลต้องการสร้างเศรษฐกิจในประเทศให้สมดุลมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียวถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมาดัชนี้ความเชื่อมั่นก็เพิ่มสูงขึ้น การใช้จ่ายครัวเรือนก็ดีขึ้น และหากสถานการณ์ต่างๆเป็นบรรยากาศที่ดี เศรษฐกิจต่างๆก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ดูได้จากตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ก่อนหน้านี้ติดลบอยู่ที่ 8.9 แต่วันนี้เริ่มกลับมาอยู่ 4.4 ในไตรมาสที่สองของปีนี้
** มัดมือชกขึ้นราคาก๊าซ
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ได้อภิปรายการบริหารงานของรัฐบาลว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่มีใครหยิบยกปัญหาเรื่องพลังงานขึ้นมาพูด เมื่อตอนที่รัฐบาลเข้มารับตำแหน่งใหม่ ๆ ได้ประกาศนโยบายในการแก้ไขปัญหาความเดือร้อนของประชาชน และผู้ประกอบการ เนื่องจากสภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศว่า จะมีการปรับโครงสร้างพลังงานทั้งหมด เพื่อนำไปสู่การควบคุม ดูแลสินค้าอุปโภคบริโภค และราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมแก่ผู้บริโภค และผู้ผลิต ตนจึงจะอภิปรายใน 4 ประเด็นในเรื่องพลังงาน คือ
1. ก๊าซหุงต้มแอลพีจี รับฐาลได้ประกาศขึ้นราคาทั้งระบบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรัฐมนตรีพลังงาน 3 คนมาแล้วที่พูดขัดแย้งต่อสิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้หาเสียงไว้ ว่าจะกระชากค่าครองชีพ จะลดราคาเชื้อเพลิงลง ซึ่งในตอนนี้ก็มีความชัดเจนว่า จะมีการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 56 เป็นต้นไป ในอัตราเดือนละ 50 สตางค์ เป็นระยะเวลา 2 ปี คือ เพิ่มขึ้นมา 12 บาท โดยรัฐบาลอ้างว่า เวลานี้ประชาชนใช้ราคาก๊าซแอลพีจีต่ำกว่าราคาของตลาดโลก แม้ว่าราคาของตลาดโลกเมื่อเทียบเป็นเงินไทยจะอยู่ประมาณ 27 บาท แต่ที่รัฐบาลพูดถึงคือ ราคา 36 บาท ในกระบวนการของคนที่ใช้ก๊าซแอลพีจีทั่วไปนั้น คือบรรดาภาครัวเรือน แต่ยังมีอีกหนึ่งอุตสหากรรมที่ต้องใช้ก็คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งกลุ่มนี้ได้ใช้ก๊าซแอลพีจีต่ำกว่าตลาดโลกถึง 40 เปอร์เซ็นต์
เมื่อปี 54 ภาคครัวเรือนใช้ก๊าซแอลพี่จี อยู่ที่ 2.6 ล้านตัน คิดเป็นประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ใช้ทั้งหมด ปิโตเคมีใช้อยู่ที่ 2.4 ล้านตัน คิดเป็น 36 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ภาคยานยนต์ ใช้ 9 แสนตัน คือ 13 เปอร์เซ็นต์ และอุตสาหกรรมเล็ก ใช้ 7 แสนตัน หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ปรากฎว่า 3 กลุ่มนี้ ยกเว้นภาคปิโตรเคมี คือ กลุ่มที่รัฐบาลต้องการจะขึ้นราคาก๊าซ ในขณะที่ปิโตรเคมีกลับไม่มีการพูดถึงการขึ้นราคา
ทั้งนี้ แอลพีจีที่ได้จากแหล่งก๊าซในประเทศมีถึง 55 เปอร์เซ็นต์ นำเข้าจากต่างประเทศ 22 เปอร์เซ็นต์ มาจากโรงกลั่นน้ำมัน 23 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นตนจึงสงสัยว่า รัฐบาลนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศแค่นี้ อาจจะมีการบวกกับส่วนของโรงกลั่นน้ำมัน รวมแล้วประมาณ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่มีก๊าซในประเทศถึง 55 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลกลับให้ประชาชนใช้ก๊าซแอลพีจีในราคาตลาดโลกทั้งหมด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งการที่รัฐบาลบอกว่า จะกระชากค่าครองชีพลงมานั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ค่าครองชีพของประชาชนก็จะต้องปรับเพิ่มตาม เช่น ราคาของข้าวแกง และเมื่อปรับขึ้นมาแล้วก็จะไม่มีการปรับลดลง
มติครม.ในยุครัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็เคยมีมติว่าจะนำเข้าก๊าซก็ต่อเมื่อในประเทศไม่เพียงพอ โดยให้ภาคครัวเรือน และอุตสาหกรรมได้ใช้ก่อน เพราะก๊าซจากแหล่งก๊าซในประเทศเป็นของประชาชน ส่วนปิโตรเคมีนั้น เป็นภาคที่ได้รับกำไร ถ้าหากว่าใช้จากโรงกลั่นน้ำมันของตัวเองไม่เพียงพอ ขอให้นำเข้าโดยคิดราคาเท่าตลาดโลก โดยการที่รัฐบาลประกาศว่า จะลอยตัวราคาก๊าซนั้นเป็นการบริหารงานที่แย่กว่า รัฐบาลนายสมชาย เพราะรัฐบาลกำลังจะอุ้มปิโตรเคมีอยู่เจ้าเดียว โดยให้ภาคประชาชนไปดิ้นรนกันเอาเอง
สัมปทานปิโตรเลียมไม่ได้มีการราคาส่วนแบ่ง ซึ่งรัฐบาลกำลังจะเปิดสัมปทานรอบใหม่โดยที่ไม่ได้มีการจัดส่วนแบ่งใหม่ ซึ่งหากมีการแบ่งใหม่ประเทศจะได้รับเงินส่วนแบ่งต้องมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก และทำให้นำเงินไปใช้ในส่วนอื่นได้ โดยที่ไม่ต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เพราะรายได้ที่ถูกแบ่งมานั้นมีความไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าคนไทยจะต้องใช้ก๊าซในราคาของตลาดโลกทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ สัมปทานก็ไม่ควรที่จะมีต่อไปเช่นกัน
ถ้าจะเปรียบว่าการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เป็นการฉ้อราษฎร์ บังหลวง นั้น รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน หากมีการปล่อยให้ลอยตัวราคาพลังงานทั้งระบบ ก็คือว่าเป็นการฉ้อราษฎร์ โดยการใช้กลไกของรัฐเปิดโอกาสให้มีการล้วงกระเป๋าของประชาชนเช่นกัน เพราะฉะนั้นตนอยากจะขอให้รัฐมนตรีทำประชาพิจารณ์ทั่วประเทศเสียก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นราคา
นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี อภิปรายว่า ขอสนับสนุนนโยบายโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่เหมาะสมที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นนโยบายดีที่สุด เพราะชาวนาได้ประโยชน์ สร้างความมั่นคงในครอบครัว สร้างรายได้และความมั่นคงแก่ชาวนา นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงในเรื่องปรองดอง 3-4 ปีที่ผ่านมา สังคมมีความแตกแยกอย่างมาก ไม่มีความเป็นเอกภาพ อยากให้ดูตัวอย่างจากการเลือกประธานวุฒิสภาครั้งล่าสุดเป็นตัวอย่างของการนำไปสู่ความปรองดอง ที่มีการแบ่งแยก แต่ไม่ใช่แตกแยก เนื่องจากให้ส.ว.สายเลือกตั้ง ได้เป็นประธานวุฒิสภา หลังจาก ส.ว.สรรหา ได้รับเลือกนั่งตำแหน่งประธานวุฒิสภามาลอดร่วม 4 ปี
**ปกป้องแก๊งเผาเมือง
ด้านนายสมชาย แสวงการ ได้เปิดคลิปการชุมชุมของกุล่มนปช. เมื่อปี 53 ที่แยกคอกวัว ซึ่งเป็นคลิปประกอบการรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เป็นภาพที่มีชายชุดดำใช้อาวุธ โดยนายสมชาย ระบุว่า มีชายชุดได้ใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิต ซึ่งได้ตำหนิการดำเนินคดีของรัฐบาลต่อกรณีดังกล่าวว่า มีการเลือกปฏิบัติ โดยเห็นว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินคดีจะเน้นเฉพาะคดีที่เจ้าหน้าที่กระทำต่อประชาชน ขณะที่คดีที่บุคคลที่กระทำต่อเจ้าหน้ากลับไม่มีความคืบหน้าและยังบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริง โดยมีดีเอสไอบางส่วนที่รักประเทศชาติได้มาบอกกับตนว่า ผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมในปี 53 มีแค่ 89 ศพ ไม่ใช่ 99 ศพ โดยมีตำรวจ ทหาร เสียชีวิตถึง 17 ราย ผู้ก่อเหตุแม้จะมีการจับกุมคุมขังตามเรือนจำต่างๆ แต่ก็ไม่การขยายผลทางคดีต่อ
ดังนั้นจึงอยากให้นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวงจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เร่งดำเนินการให้คดีเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว เพื่อสร้างควงามปรองดองของคนในชาติ
ต่อมานายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รมช.พาณิชย์ และแกนนำนปช. ลุกขึ้นชี้แจงว่า เหตุการณ์ชุมนุมปี 53 เป็นความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย คนในบ้านเมืองเรียกร้องหาความปรองดองมาตลอด ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งความปรองดอง จะไม่พบความแสงสว่าง แต่เราต้องอยู่ด้วยความหวัง กรณีที่ท่านกังวลว่ารัฐบาลเลือกที่จะดำเนินการกับคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ยืนยันว่า คดีมีความคืบหน้า มีประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกคุมขัง บางส่วนได้รับการประกันตัวคดีมาสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ บางคดีอยู่ระหว่างการพิจรณาคดี ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เข้าสู่กระบวนการยุติธธรมแล้วแทบทั้งสิ้น
ในขณะที่การดำเนินคดีกับอีกฟากฟั่งหนึ่งที่ถืออำนาจอยู่ในขณะนั้น ไม่ได้เริ่มต้นเลยจนถึงรัฐบาลชุดนี้เข้ามาทำงาน ก็มีดำเนินคดีเรื่อยมาคดีที่ประชาชนมือเปล่าถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ได้นำขึ้นสู่ศาล จนศาลพิจารณาแล้ว 2 ราย ว่าถูกกระทำให้เสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่รัฐโดยรับคำสั่งของศอฉ. ภายใต้คำสั่งรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เลือกปฎิบัติ เพียงแต่คดีความของประชาชนได้เดินหน้า ก้าวนำคดีของผู้ถืออำนาจรัฐในขณะนั้นไปไกลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับแกนนำ หรือระดับประชาชนที่มีชุมนุม เป็นการนับหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นสัญญานที่ดีไปสู่ความปรองดอง นี่คือการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
** "ยิ่งลักษณ์"อ่านสคริปต์เก่า
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงหลังจากที่ส.ว.ได้อภิปรายกันไปพอสมควร โดยกล่าวถึงปัญหาบรรจุแพทย์-พยาบาล เข้าเป็นข้าราชการว่า ที่ผ่านมาได้มีการเสนอแนวทางแก้ปัญหาจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็เป็นแผนในลักษณะปีต่อปี จึงได้มีมติครม.ให้ไปทบทวนทั้งระบบเพื่อวางแผนในระยะยาว ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาทั้งระบบในระยะยาว ในการดูแลทรัพยากรบุคคลทั้งหมด ส่วนการแก้ไขระยะสั้นอยู่ระหว่างหารือ เพื่อจัดสรรงบประมาณในการรับบุคลากรเข้าบรรจุให้มากที่สุด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้ชี้แจงถึงโครงการรับจำนำข้าวว่า เป็นนโยบายที่ต้องการให้เกษตรกรมีรายได้ และสร้างความมั่นคงให้เกษตรกรโดยตรง การจ่ายเงินทุกอย่างลงถึงเกษตรกรโดยตรง ผ่านทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) และระบบระบจำนำข้าว ยังเป็นการยกระดับราคาข้าวไทยทั้งระบบ
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรย่อมมีทางเลือกในการหารายได้ที่ดีกว่า สามารถเข้าร่วมโครงการของรัฐบาลหรือไปขายที่ไหนก็ได้ ที่ได้ราคาดีกว่า โดยภาพรวมราคาข้าวเปลือกไทยสูงขึ้นประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ในทางกลับกันก็มีตัวเลขหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นบ้างนั้น ก็มาจากกำลังซื้อที่ดีขึ้น และเป็นการซื้อในส่วนของเครื่องยังชีพ เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงภาพแผนผังการส่งออกข้าวไทย โดยอธิบายว่า ตัวเลขนี้เป็นข้อมูลจากหอการค้าไทย และกรมการค้าต่างประเทศ ที่เป็นตัวเลขส่งออกแล้ว ปรากฏว่าไทยอยู่ลำดับที่ 3 จริง ส่งออกข้าวแล้วประมาณ 5.7 ล้านตัน รองจากเวียดนามและอินเดีย แต่หากมาดูราคาขายเฉลี่ยที่ไทยขายอยู่ 679 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่เวียดนาม ขายมากที่สุดอยู่ที่ 445 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อนำจำนวนตันคูณกับจำนวนราคา ก็จะพบว่า ไทยขายได้ 3,897 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงที่สุดในขณะนี้
ในส่วนของการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า มีมาตรการตรวจสอบในขั้นตอนปฏิบัติอย่างเข้มงวด ทั้งที่จุดตรวจสอบ ณ จุดรับจำนำข้าว ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่ 24 ชั่วโมง และยังมีการตั้งศูนย์อำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าวทั้งระบบ มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีการบูรณาการหน่วยงานลงตรวจทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อปิดช่องโหว่ในทุกๆขั้นตอน และในอนาคตกระทรวงพาณิชย์จะพัฒนาการระบบคอมพิวเตอร์ในการลงทะเบียนเกษตรกร และติดตั้งกล้องวงจรปิด ณ จุดตรวจสอบอีกด้วย
"ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ หาผู้ที่ลงทุนไซโลในการเก็บรักษาข้าวให้อยู่นานขึ้น หากเรามีระบบตรงนี้ ในอนาคตเราจะสามาถสำรองข้าว แล้วขายข้าวให้แก่ประเทศที่มีความต้องการมากขึ้น เพื่อรักษาระดับราคาโดยรวมได้ดีขึ้น ดีกว่านำข้าวออกขายตัดราคากันเอง" นายกฯกล่าว
**เดินหน้าถลุงอีก2ล้านล้าน
ในช่วงท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท โดยโครงสร้างต่างๆ เป็นการพัฒนาไปสู่แหล่งท่องเที่ยว และประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคนี้ รวมไปถึงการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งนี้นโยบายทั้งหมดของรัฐบาลต้องการสร้างเศรษฐกิจในประเทศให้สมดุลมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียวถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมาดัชนี้ความเชื่อมั่นก็เพิ่มสูงขึ้น การใช้จ่ายครัวเรือนก็ดีขึ้น และหากสถานการณ์ต่างๆเป็นบรรยากาศที่ดี เศรษฐกิจต่างๆก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ดูได้จากตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ก่อนหน้านี้ติดลบอยู่ที่ 8.9 แต่วันนี้เริ่มกลับมาอยู่ 4.4 ในไตรมาสที่สองของปีนี้