นายกรัฐมนตรีชี้แจงวุฒิฯ ปัญหาบรรจุแพทย์-พยาบาลเข้าราชการ อ้างมีปัญหาช่วงเศรษฐกิจตก สั่งทบทวนรับเออีซี-เมดิคัลฮับ ส่วนโครงการรับจำนำข้าวอ้างสคริปต์เดิมให้เกษตรกรมีรายได้ ย้ำมูลค่าขายข้าวไทยยังอยู่ที่ 1 ส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนอ้างมาจากกำลังซื้อที่ดิน-อุปกรณ์การเกษตร สั่งพาณิชย์หาคนลงทุนไซโลถาวร เดินหน้าถลุง 2 ล้านล้านหวังเป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์
วันนี้ (28 พ.ย.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 16.20 น. ในการประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปคณะรัฐมนตรี โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ได้ลุกขึ้นชี้แจงโดยกล่าวในส่วนของปัญหาบรรจุแพทย์-พยาบาลเข้าเป็นข้าราชการว่า รัฐบาลได้มีการติดตามปัญหาเรื่องนี้พบว่า มีปัญหาภาพรวมตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่งดการรับข้าราชการค่อนข้างมาก ทำให้เดินความต่อเนื่องมายาวนาน ทำให้การบรรจุไม่ได้กำหนดอัตราอย่างเป็นประจำ จึงทำให้หน่วยงานต่างๆ มีปัญหา เนื่องจากเนื้องานไม่ได้ลดลง จำนวนประชากรมากขึ้น ที่ผ่านมาก็ได้มีการเสนอแนวทางแก้ปัญหาจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็เป็นแผนในลักษณะปีต่อปี จึงได้มีมติคณะรัฐมนตรีให้ไปทบทวนทั้งระบบเพื่อวางแผนในระยะยาว ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) และการดูแลผู้ป่วยต่างๆ ในฐานะศูนย์กลางด้านการรักษาพยาบาล (เมดิคคัลฮับ)
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวอีกว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาทั้งระบบในระยะยาว ในการดูแลทรัพยากรบุคคลทั้งหมด ส่วนการแก้ไขระยะสั้นอยู่ระหว่างหารือเพื่อจัดสรรงบประมาณในการรับบุคลากรเข้าบรรจุให้มากที่สุด โดยจะขอให้กลุ่มแพทย์พยาบาลที่มีปัญหาเข้าพบเพื่อรับฟังปัญหาข้อเท็จจริงต่างๆ ด้วย
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อไปถึงแนวนโยบายการบริหารประเทศว่า รัฐบาลมีความต้องการในการสร้างเศรษฐกิจสมดุล ทรัพยากรธรรมชาติ และจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องทำอย่างจริงจังและเข้มข้น โดยเฉพาะแนวทางในการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน คำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศอย่างเต็มที่ โดยคำนึงถึงวินัยทางการเงินการคลังด้วย การพัฒนาเทคโนโลยีในการลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวและขยายโอกาสำหรับอนาคตของประเทศ เช่น การลงทุนพื้นฐาน และโอกาสทางการศึกษาของเยาวชนไทย
“รัฐบาลอยากเห็นการสร้างบรรยากาศความเชื่อมมั่นทั้งในและต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเรื่องความสามัคคีปรองดอง เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาก็จะเห็นว่าเมื่อบรรยากาศดี ความเชื่อมั่นต่างก็มีทิศทางที่ดีขึ้น” น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุ
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวว่า เป็นนโยบายที่ต้องการให้เกษตรกรมีรายได้ และสร้างความมั่นคงให้เกษตรกรโดยตรง การจ่ายเงินทุกอย่างลงถึงเกษตรกรโดยตรงผ่านทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) และระบบระบจำนำข้าวยังเป็นการยกระดับราคาข้าวไทยทั้งระบบ อย่างไรก็ตาม เกษตรกรย่อมมีทางเลือกในการหารายได้ที่ดีกว่า สามารถเข้าร่วมโครงการของรัฐบาลหรือไปขายที่ไหนก็ได้ที่ได้ราคาดีกว่า โดยภาพรวมราคาข้าวเปลือกไทยสูงขึ้นประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ในทางกลับกันก็มีตัวเลขหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นบ้างนั้น ก็มาจากกำลังซื้อที่ดีขึ้น และเป็นการซื้อในส่วนของเครื่องยังชีพ เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น
น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แสดงภาพแผนผังการส่งออกข้าวไทย โดยอธิบายว่าตัวเลขนี้เป็นข้อมูลจากหอการค้าไทยและกรมการค้าต่างประเทศที่เป็นตัวเลขส่งออกแล้ว ปรากฏว่าไทยอยู่ลำดับที่ 3 จริง ส่งออกข้าวแล้วประมาณ 5.7 ล้านตัน รองจากเวียดนาม และอินเดีย แต่หากมาดูราคาขายเฉลี่ยที่ไทยขายอยู่ 679 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่เวียดนามขายมากที่สุดอยู่ที่ 445 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อนำจำนวนตันคูณกับจำนวนราคาก็จะพบว่าไทยขายได้ 3,897 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงที่สุดในขณะนี้
ในส่วนของการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า มีมาตรการตรวจสอบในขั้นตอนปฏิบัติอย่างเข้มงวด ทั้งที่จุดตรวจสอบ ณ จุดรับจำนำข้าวซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่ 24 ชั่วโมง และยังมีการตั้งศูนย์อำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าวทั้งระบบ มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีการบูรณาการหน่วยงานลงตรวจทุกพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อปิดช่องโหว่ในทุกๆ ขั้นตอน และในอนาคตกระทรวงพาณิชย์จะพัฒนาการระบบคอมพิวเตอร์ในการลงทะเบียนเกษตรกร และติดตั้งกล้องวงจรปิด ณ จุดตรวจสอบอีกด้วย
“ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์หาผู้ที่ลงทุนไซโลในการเก็บรักษาข้าวให้อยู่นานขึ้น หากเรามีระบบตรงนี้ ในอนาคตเราจะสามาถสำรองข้าว แล้วขายข้าวให้แก่ประเทศที่มีความต้องการมากขึ้น เพื่อรักษาระดับราคาโดยรวมได้ดีขึ้น ดีกว่านำข้าวออกขายตัดราคากันเอง” นายกฯ กล่าว
ในช่วงท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท โดยโครงสร้างต่างๆ เป็นการพัฒนาไปสู่แหล่งท่องเที่ยวและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ในภูมิภาคนี้ รวมไปถึงการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งนี้นโยบายทั้งหมดของรัฐบาลต้องการสร้างเศรษฐกิจในประเทศให้สมดุลมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียวถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมาดัชนี้ความเชื่อมั่นก็เพิ่มสูงขึ้น การใช้จ่ายครัวเรือนก็ดีขึ้น และหากสถานการณ์ต่างๆ เป็นบรรยากาศที่ดี เศรษฐกิจต่างๆ ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ดูได้จากตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ก่อนหน้านี้ติดลบอยู่ที่ 8.9 แต่วันนี้เริ่มกลับมาอยู่ 4.4 ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้