ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้ว่าหลายฝ่ายจะคาดการณ์กันว่า การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย เพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันเสาร์ที่ 24 พ.ย.นี้ จะไม่ส่งผลต่อเปลี่ยนแปลงที่มีนัยตามมามากมายนัก
แต่ฝ่ายเครือข่ายระบอบทักษิณ ก็ยังออกอาการหวาดหวั่นต่อการชุมนุมครั้งนี้อยู่ไม่น้อย
นั่นเพราะในการชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ราชตฤณมัยสมาคม หรือ สนามม้านางเลิ้ง ซึ่งถือเป็นการชิมลางการรวมพลคนเกลียดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็มีผู้เข้าร่วมหนาตาหลายหมื่นคน ลบคำสบประมาทของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ และเครือข่ายบริวารของทักษิณ ชินวัตรลงได้
ยิ่งในการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 นี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อันเป็นภาคประชาชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณอย่างมีพลังที่สุด แม้ไม่ได้เข้าร่วมในฐานะแกนนำการชุมนุม เนื่องจากไม่เข้าข่ายเงื่อนไข 3 ข้อ แต่ก็ได้ออกแถลงการณ์ให้กำลังใจองค์การพิทักษ์สยามอย่างชัดเจน พร้อมกับเปิดทางให้มวลชนเข้าร่วมตามความสมัครใจ ด้วยการเลื่อนกิจกรรมการเสวนาปฏิรูปประเทศไทยที่จังหวัดกาญจนบุรีและเพชรบุรีในวันที่ 24 และ 25 พ.ย.ด้วย
อีกสาเหตุหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญนั้น มาจากการบริหารประเทศของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในรอบ 1 ปีเศษที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างปัญหาสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการทุจริต หาประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องของนักการเมือง การทุ่มเงินทำนโยบายประชานิยมเพื่อแลกกับคะแนนเสียงจนส่งผลต่อฐานะการคลังของประเทศ รวมไปถึงการล่วงละเมิดต่อสถาบันเบื้องสูง ตามที่แถลงการณ์ขององค์การพิทักษ์สยามได้ระบุไว้
จึงเห็นได้ว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาแม้ปากของบริวารทักษิณแต่ละคนได้เยาะเย้ยถากถาง “ม็อบ เสธ.อ้าย”ต่างๆ นานา แต่ในขณะเดียวกันก็ระดมสารพัดวิธีออกมาเพื่อจะสะกัดกั้นการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามให้ได้
เริ่มตั้งแต่การให้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ญาติผู้พี่ของทักษิณ ชินวัตร นำอดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 5 และรุ่น 10 ออกมานั่งแถลงข่าวปราม เสธ.อ้าย ไม่ให้จัดการชุมนุม ซึ่งก็ไม่ได้ผล เพราะ เสธ.อ้ายไม่ได้สนใจคำขู่ของนายทหารรุ่นน้องแต่อย่างใด
หลังจากนั้น กระบวนการให้ข่าวเพื่อดิสเครดิตการชุมนุมจึงตามมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งการปล่อยข่าวว่ามีการลงขัน 6 พันล้านเพื่อโค่นล้มรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยวิธีการต่างๆ โดยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่สวมหมวกอีกใบเป็นแกนนำเสื้อแดงทั้งสองคน ร่วมกันแถลงข่าวเป็นตุเป็นตะเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ว่าคนที่ทุ่มเงินล้มรัฐบาลคือนักการเมืองชื่อย่อ น. และ ส.
อย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าววันนั้น การลงขันเงิน 6 พันล้านบาทมุ่งไปที่การลอบสังหารทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่ระหว่างเดินทางไปประเทศพม่าในช่วงเวลานั้น แต่เมื่อพล็อตละครเรื่องลอบสังหารทักษิณ ถูกหักล้างด้วยข้อมูลหลักฐานจนไม่มีใครเชื่ออีกต่อไป เป้าหมายของเงิน 6 พันล้านจึงถูกเปลี่ยนมาที่การจัดม็อบขับไล่รัฐบาลโดยกลุ่ม เสธ.อ้ายแทน
แม้จะเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ แต่เครือข่ายบริวารของทักษิณ ชินวัตร ก็พยายามปั้นเสริมเติมแต่งให้เป็นเรื่องจริงขึ้นมาให้ได้ โดย ร.ต.อ.เฉลิม ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวเมื่อวันที่ 13 พ.ย.อ้างว่าสันติบาลมีข้อมูลกลุ่มทุน 85 กลุ่มให้การสนับสนุนการชุมนุมของเสธ.อ้าย มีทั้งนายทุนเจ้าของบ่อนและนักการเมืองท้องถิ่นในกรุงเทพฯ ที่จะขนคนมา และเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่เคยอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารในปี 2549
หลังจาก ร.ต.อ.เฉลิมออกมาสำทับเรื่องการทุ่มเงินล้มรัฐบาล ก็มีการรับลูกกันเป็นทอดๆ โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)บอกกับนักข่าวเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ยืนยันข้อมูลตรงกันกับ ร.ต.อ.เฉลิมว่า สันติบาลมีข้อมูลเรื่องการลงขัน 6 พันล้านเพื่อล้มรัฐบาล แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด
เท่านั้นยังไม่พอ เพื่อให้ฉากละครเรื่อง “ทุ่ม 6 พันล้านล้มรัฐบาล” สมจริงสมจังมากขึ้น พล.ต.อ.อดุลย์จะเสนอให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในช่วงการชุมนุมด้วย รวมทั้งจะใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึง 5 หมื่นนายมาดูแลการชุมนุม
ขณะที่ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.นั้น แม้ไม่กล้าฟันธงออกมาตรงๆ เรื่องเงิน 6 พันล้าน แต่ก็บอกว่า การชุมนุมต้องใช้เงินในการเคลื่อนไหว จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีการให้เงินสนับสนุน แต่จะมากหรือน้อยไม่มีใครทราบ
นอกจากการสร้างข่าวดิสเครดิตแล้ว เครือข่ายทักษิณยังพยายามหยุดม็อบ เสธ.อ้ายด้วยการใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่มือจัดการเอง โดยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทยได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามความเคลื่อนไหวของประชาชนที่จะมาร่วมการชุมนุมใหญ่กับ เสธ.อ้ายเป็นพิเศษ พร้อมอ้างว่ารัฐบาลตั้งใจทำงานมาตลอด ควรให้การสนับสนุน แต่กลับมาเสนอให้แช่แข็งประเทศ
ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ “2013 : The Year of Opportunity in Thailand” ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลจะดำเนินการกับอำนาจที่ต่อต้านประชาธิปไตยที่ยังมีอยู่ในประเทศไทย เพราะความมั่นคงทางการเมืองเป็นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และรัฐบาลจะเดินหน้าส่งเสริมการปรองดองบนพื้นฐานนิติรัฐ และการเจรจาระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ข้อขัดแย้งทางการเมืองจะต้องแก้ปัญหาในรัฐสภา ไม่ใช่การประท้วงบนถนนและมีความรุนแรง
แน่นอน คำกล่าวสุนทรพจน์นี้ คนของพี่ชายเป็นผู้เขียนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์อ่าน และเป็นการส่งสัญญาณว่าจะใช้อำนาจรัฐจัดการกับการชุมนุมที่พวกเขาอ้างว่าไม่เป็นประชาธิปไตย
อีกด้านหนึ่ง เครือข่ายบริวารทักษิณ ได้ใช้ช่องทางกฎหมายเพื่อหยุดการชุมนุมของ เสธ.อ้ายให้ได้ โดยเมื่อวันที่ 14 พ.ย.นายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ตรวจสอบว่า พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ในฐานะประธานองค์การพิทักษ์สยาม กระทำการอันเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ และขอให้ศาลฯ มีคำสั่งให้ พล.อ.บุญเลิศยุติการกระทำดังกล่าว
นายหนึ่งดินอ้างว่า การดำเนินการของพลเอกบุญเลิศเข้าข่ายเป็นกบฏ เพราะเป็นการล้มล้างการบริหารราชการของรัฐบาล เพราะการนัดชุมนุมในวันที่ 24-25 พ.ย.นี้เป็นการกระทำที่นอกเหนือรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอยากวิงวอนให้ทุกฝ่ายมีสติ โดยควรใช้วิธีตั้งโต๊ะเจรจา ดีกว่าการออกมาปลุกระดมม็อบกดดัน
ต่อมาวันที่ 15 พ.ย.นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความของทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ายื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเพื่อสั่งการยกเลิกการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามในวันที่ 24 พ.ย. โดยนายสิงห์ทองอ้างว่าตนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เนื่องจากการชุมนุมดังกล่าวต้องการขับไล่รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครอง จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยกเลิกการชุมนุมดังกล่าวเป็นการด่วน
วันเดียวกัน นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลจับกุม เสธ.อ้ายพร้อมแจ้งข้อหากบฏและไม่ให้มีการประกันตัว
ทั้งหมดนี้ เป็นความพยายามที่เครือข่ายทักษิณจะหยุดยั้งการชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.นี้ลงให้ได้ ซึ่งแต่ละวิธีที่นำมาใช้ล้วนส่งผลย้อนเข้าหาตัวมากกว่า
นั่นเพราะ เครือข่ายทักษิณเคยจัดชุมนุมคนเสื้อแดงขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมาแล้ว ในปี 2552 และ 2553 ซึ่งมีการใช้ความรุนแรงและการใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ จึงน่าจะเข้าข่ายกบฏมากกว่า
ส่วนการปล่อยข่าวว่ามีกลุ่มทุนให้เงินสนับสนุนการชุมนุมนั้น การชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2552 และ 2553 มีความชัดเจนมากกว่า ว่ามีกลุ่มทุนในเครือข่ายทักษิณนั่นเองที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้แก่การชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองทั้งสองครั้ง