ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขยันขันแข็งเสียเหลือเกินและดูจะไม่เลิกไม่ราเอาง่ายๆ สำหรับ"บิ๊กโอ๋-พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต" รมว.กลาโหม ภายหลังจากที่ลงนามเห็นชอบและอนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการรวบรวมข้อมูลกระทรวงกลาโหม เพื่อดำเนินการถอนยศและเรียกเบี้ยหวัดคืนจาก หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้าน "มาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เนื่องจากใช้เอกสารไม่ถูกต้องสมัครเข้ารับราชการทหาร พร้อมทั้งสั่งปลดออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย.2531
ไม่หมดแค่นั้น สำหรับดาบสองที่ พล.อ.อ.สุกำพล จัดให้นายอภิสิทธิ์ก็คือ การดำเนินการในส่วนของกระทรวงกลาโหมนั้น ได้อนุมัติให้ดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ขั้นตอน ระหว่างนี้หากนายอภิสิทธิ์ต้องการชี้แจงสามารถส่งเรื่องมาให้พิจารณาได้ แต่นายอภิสิทธิ์คงไม่ต้องการชี้แจงแล้ว เพราะจะไปฟ้องศาลปกครองแทน และเมื่อเข้าสู่กระบวนการศาลปกครองแล้ว การดำเนินการของกระทรวงกลาโหมจะสะดุดหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะมีคำสั่งอย่างไร
ขณะเดียวกัน คงไม่ต้องบอกว่าบังเอิญเสียเหลือเกินที่ บิ๊กโอ๋ จะเลือกดำเนินการในช่วงที่ นายอภิสิทธิ์ กำลังจะสวมหมวกเป็นผู้นำฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นอีกเพียงไม่กี่วัน แน่นอนเรื่องนี้จึงมองได้อย่างเดียวว่า เป็นเกมดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์เต็มๆ แต่ในอีกทางหนึ่งประเด็นดังกล่าวดูจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวฟ้องร้อง ตีความกันอุตลุตใหญ่โตบานปลายกันเสียยกใหญ่เลยทีเดียว
เริ่มด้วยหน้าเดิมๆ กลุ่มพรรคเพื่อไทย โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ยื่นเรื่องนี้ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบจริยธรรม และบอกว่า ในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะขอให้ ส.ส.ของพรรคเข้าชื่อเพื่อยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ กรณีถูกปลดออกราชการด้วยการใช้เอกสารเท็จ และจะยื่นร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติด้วยว่าที่ถูกเสนอชื่อ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้หรือไม่
หรือจะเป็นที่ บรรดาส.ส.พรรคเพื่อไทย ประกาศพร้อมจะมีการเข้าชื่อกันยื่นคำร้องต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฏรเพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องพ้นสภาพการเป็นส.ส.และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102(6) หรือไม่
รวมทั้งการเคลื่อนไหวจาก นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา ได้ยื่นเรื่องต่อประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้วินิจฉัยเรื่องนี้ ด้วยการอ้างว่านายอภิสิทธิ์มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติรัฐธรรมนูญมาตรา 106(5) และ 102 (6) เพราะคำสั่งปลดออกดังกล่าวมีผลแล้วทางกฎหมายเนื่องจากเป็นการลงนามตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนของกระทรวงกลาโหมและรมว.กลาโหมก็เซ็นไปตามอำนาจหน้าที่ จึงเข้าเงื่อนไขเอกสารทางราชการแล้ว
ฟากนายอภิสิทธิ์ ก็เร่งแก้ปมปัญหาดังกล่าวด้วยการส่งทนายมือหนึ่งของประชาธิปัตย์อย่างนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครองแล้วเมื่อ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของกระทรวงกลาโหม โดยเพื่อขอให้ศาลพิจารณาว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดต่อระเบียบของกระทรวงกลาโหมหรือไม่
ตามติดมาด้วย นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงต่อที่ประชุม ส.ส. กรณี พล.อ.อ.สุกำพล ออกคำสั่งถอดยศและเรียกเบี้ยหวัดคืน โดยนายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าข้อกล่าวหาของ พล.อ.อ. สุกำพล ไม่เป็นความจริง และจะยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อถอดถอนและเอาผิด พล.อ.อ.สุกำพล ภายใน 2-3 วันนี้ หาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดก็จะยื่นเรื่องขอให้ถอดยศ พล.อ.อ. ของ พล.อ.อ.สุกำพลด้วย
เอาแค่เบื้องต้นประเด็นโอละพ่อเช่นนี้ก็ฟ้องร้องกันไปอุตลุตเลยทีเดียว เพราะกางรายชื่อแล้วก็เรียกว่ามีการยื่นเรื่องไปแทบจะหมดทุกองค์กรในประเทศไทย อาทิ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กกต. ปปช. ศาลปกครอง รวมไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม หากไม่นับประเด็นการดิสเครดิตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่วัน ก็นับว่าพรรคเพื่อไทยหวังผลในระยะยาวได้เช่นกัน หากในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นว่าให้นายอภิสิทธิ์ พ้นจากตำแหน่งจะมีผลให้ฝ่ายค้านเสียศูนย์ครั้งใหญ่พอสมควร เพราะต้องเสียเวลาไปหาคนมาทำหน้าที่แทนนายอภิสิทธิ์ เพราะถ้าจะให้ราคานายอภิสิทธิ์ ก็ต้องบอกว่ามีประโยชน์อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในเรื่องการตีฝีปากของผู้นำฝ่ายค้านคนนี้
นอกจากนั้นแล้ว ในทางพื้นที่ข่าวพรรคเพื่อไทยก็ประสบผลสำเร็จที่สามารถยึดพื้นที่ในสื่อส่วนใหญ่ได้ไม่น้อยเช่นกัน เพราะแทนที่สื่อจะนำเสนอประเด็นการโหมโรงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ฝ่านค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็มาทำให้เสียค่าโง่กลายเป็นฝ่ายตั้งรับในเกมที่ท่ารัฐบาลวางเอาไว้อย่างดิบดีมาแล้ว
แต่มองอีกมุมหนึ่งสำหรับรัฐบาลแล้ว ก็ต้องบอกว่าน่าสมเพท น่าอนาถใจ โดยเฉพาะหัวเรือใหญ่ อย่าง พล.อ.อ.สุกำพล ที่ไม่รู้จะขยันเกินหน้าที่เหลือกำลัง ที่คนระดับรมว.กลาโหมจะลงมาเล่นเกมสั่งถอดยศร้อยตรีคนที่ออกจากราชการไปแล้วนานถึง 25 ปีแล้ว
น่าสงสัยจนต้องถามว่าว่างมากมิใช่น้อย ไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร ระดับนายพล-นายหมื่นทั้งหลายซึ่งสมควรใช้ตำแหน่งอันใหญ่โตไปทำหน้าที่ของนายทหารให้เกิดประโยชน์เป็นความสงบสุขกับบ้านเมือง อาทิ การลงไปแก้ปัญหา 3จังหวัดชายแดนใต้ ถามว่าคนอย่างพล.อ.สุกำพล เคยลงพื้นที่สักกี่มากน้อย ชายแดนไทย-พม่า ไทย-เขมร โดยเฉพาะด้านปราสาทพระวิหาร มันสงบเรียบร้อยดีอยู่ไหม
นี่ไปเล่นขุดเอาเรื่องเมื่อ 24-25 ปีมาแล้วมาทำแบบเอาเป็นเอาตาย แทบไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่านายอภิสิทธิ์มียศร้อยตรี รู้แต่ว่าเคยเป็นอาจารย์สอน จปร. มิหนำซ้ำเขาลาออกมาตั้งนานนม แน่นอนประเด็นสำคัญก็คงอยู่ที่กำจัดศัตรูทางการเมือง ที่ชื่ออภิสิทธิ์ ให้กับทักษิณ นปช. และเพื่อไทย โดยอาศัยปมหนีเกณฑ์ทหาร การถอดยศ เป็นเครื่องมือขุดราก-ถอนโคน เป็นการเมืองแบบทำลายล้างมุ่งหมายกำจัดอภิสิทธิ์ พ้นไปจากถนนการเมือง ด้วยเงื่อนไขที่ทำให้ขาดจากคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 102 (6) ต้องไม่เคยถูกปลดออกจากราชการ ข้อนี้จึงเป็นประเด็นที่นายอภิสิทธิ์ต้องสะดุ้งสะเทือนรับมือต่อไปในภายภาคหน้า
ถามว่า อภิสิทธิ์ ทำผิดจริงหรือไม่ ก็คงตอบไม่ยากนัก เพราะเป็นเรื่องที่รับรู้กันดีในระดับครอบครัวอันมีจะกินที่จะส่งลูกเรียนต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็ก ใครๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้น
กลับมาดูความน่าสมเพทของ โจทย์เรื่องนี้อย่างนายอภิสิทธิ์ดูบ้าง เพราะมาถึงตรงนี้แล้วก็คงต้องโทษตัวเองในบทเรียนเดิมๆ เพราะช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เรื่องนี้ ฝ่ายเพื่อไทยที่เป็นพรรคฝ่ายค้านก็มีการนำไปพูดขยายประเด็นกันมาร่วม 1-2 ปี ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจและบนเวทีเสื้อแดงหลายแห่งอย่างต่อเนื่อง แต่กองทัพยุคที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น รมว.กลาโหม พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น ผบ.ทบ. และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรอง ผบ.ทบ. ก็ไม่เคยทำอะไรกับเรื่องนี้ให้ชัดเจน ยิ่งพล.อ.ประยุทธ ด้วยแล้วยิ่งตลกร้ายไปกันใหญ่ เพราะก็รับลูกจาก พล.อ.สุกำพล เสร็จสรรพด้วยซ้ำไป
ครั้นพอเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล จึงมีการขุดเรื่องนี้ออกมาต่อเนื่องเพื่อดิสเครดิตนายอภิสิทธิ์ให้ได้ จนพล.อ.อ.สุกำพล ที่แม้เป็นรมว.กลาโหม แต่ทำหน้าที่อย่างกับสัสดีใช้ความเป็น รมว.กลาโหม ออกหน้า และก็คงเพราะเรื่องนี้ที่อาจเป็นผลงานที่ทำให้ พล.อ.อ.สุกำพล ได้นั่งเป็น รมว.กลาโหมต่อก็เป็นได้ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นว่าถ้าสร้างผลงานให้เข้าตาก็จะได้ตำแหน่งมาครองดังเช่นกระแสข่าวที่ว่า ลูกชายเจ้าของบริษัท ชินวัตร จำกัด กำลังสานสัมพันธ์กับลูกสาวของ พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคมคนล่าสุด จึงไม่แปลกที่หากบิ๊กโอ๋จะเร่งสร้างผลงานให้เข้าตา นช.ทักษิณ เพื่อเกาะเก้าอี้ตัวนี้ให้นานที่สุดเท่าที่นานได้
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้หมดแค่นั้น มีกระแสข่าวว่า ล่าสุดมีการอ้างแหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงกลาโหม ระบุคณะกรรมการฯ ชุดตรวจสอบการใช้เอกสารเข้ารับราชการของนายอภิสิทธิ์ ได้รับหนังสือร้องเรียนเพิ่มเติมจากนายทหารระดับสูงที่ไม่เปิดเผยชื่อให้ตรวจสอบการเข้ารับการตรวจเลือกทหารของนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค และนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์
โดยคาดว่าทั้งสองรายนี้ยังไม่ได้เข้ารับการตรวจคัดเลือกทหารกองประจำการ และอาจจะมีหนังสือเอกสารของทางราชการเกี่ยวกับใบสำคัญของการตรวจเลือกทหารอันเป็นเท็จ เนื่องจากทั้งคู่เดินทางไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่มัธยม จนเข้ามหาวิทยาลัย และไม่ได้เดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อเข้ารับการตรวจเลือกทหาร แต่ได้ขอผ่อนผันจนอายุเกินกำหนด ลักษณะใกล้เคียงกับนายอภิสิทธิ์
ถือเป็นการเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร คณะกรรมการฯได้ส่งเรื่องให้หน่วยทหารในภูมิลำเนาของทั้งคู่ ดำเนินการตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร คาดว่าน่าจะทราบผลได้ในเร็วๆ นี้
ถึงตรงนี้แล้วต้องบอกว่าถือเป็นบทเรียนราคาแพงแท้ๆ ของบรรดาพรรคแมงสาบ ที่ยามมีอำนาจไม่คิดจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ดีแต่ถนัดเล่นตีฝีปากการเมืองไปตามสไตล์ และโปรดอย่าได้โทษใครหากต้องมารับกรรมเล่นเกมการเมืองตามพรรคเพื่อไทยอยู่ในขณะนี้