ASTVผู้จัดการรายวัน - เครือเบทาโกรจับมือมหาวิทยาลัยทั้งจุฬาฯ-เกษตรศาสตร์ ตั้งศูนย์ทดสอบวิจัยฯและโรงงานต้นแบบฯต่อยอดธุรกิจฟาร์มและอาหารสัตว์ ใช้เงินลงทุนเกือบ 70 ล้านบาท พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างนักวิจัยภาคเกษตรและอาหารด้วย หวังสร้างองค์ความรู้รองรับการเปิดAEC
น.สพ.รุจเวทย์ ทหารแกล้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนา เครือเบทาโกร บริษัท ศูนย์วิทยาศาสตร์เบทาโกร จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งศูนย์ทดสอบวิจัยวิทยาศาสตร์สัตว์แพทย์จุฬาฯ-เบทาโกร โดยจะทดสอบเชิงลึกในไก่และสุกร โดยบริษัทฯจะสนับสนุนเงินจำนวน 50 ล้านบาทในการสร้างอาคาร อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ โดยศูนย์ทดสอบวิจัยดังกล่าวจะแล้วเสร็จก.ย. 2556 หลังจากนั้นจะตั้งบริษัทร่วมทุนกับจุฬาฯ เบื้องต้นมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการศูนย์วิจัยฯ รวมทั้งรับจ้างทำวิจัยและเปิดให้เอกชนอื่นเข้ามาเช่าพื้นที่ในการวิจัยด้วย คาดว่าจะศูนย์ดังกล่าวจะมีกำไรภายใน 1-2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯจะร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตั้งโรงงานต้นแบบการผลิตเอ็นไซม์เค-ราติเนสสำหรับย่อยขนไก่เพื่อผลิตเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ บริษัทฯจะลงทุนด้านอุปกรณ์เครื่องมือต่าง 19 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2556 ซึ่งก่อนหน้านี้ มีการทดสอบใช้เอ็นไซม์เค-ราติเนสมาย่อยขนส่งไก่แล้วนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์ในห้องแล็บได้ผลออกมาดีหากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จก็จะต่อยอดไปทดลองในฟาร์มทดสอบที่มีขนาดใหญ่ขึ้นก่อนต่อยอดไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไปโดยโรงงานนำร่องนี้จะเปิดให้บริการกับภาคเอกชนอื่นๆเพื่อเข้ามาทำวิจัยด้านเอ็นไซม์หรือหัวเชื้อต่างด้วย โดยจะตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนเพื่อเข้ามาบริหารจัดการเหมือนศูนย์ทดสอบวิจัยฯ
ที่ผ่านมา เครือเบทาโกรตั้งงบในการวิจัยและพัฒนา0.2%ของยอดขายรวม โดยปีที่แล้ว บริษัทมียอดขายประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ก็มีการกำหนดงบการวิจัยและพัฒนาไว้ 120 ล้านบาทในปีนี้ ไม่รวมงบการลงทุนตั้งศูนย์วิจัยและโรงงานนำร่องดังกล่าวข้างต้น และปีหน้าคาดว่างบวิจัยก็จะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากผลการดำเนินงวดปี 2556 มียอดขายสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาทแม้ว่าราคาเนื้อไก่และหมูในประเทศจะต่ำลง แ ต่บริษัทก็หันไปทำตลาดส่งออกต่างประเทศทั้งญี่ปุ่นและยุโรป โดยมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 20%ของกำลังผลิต
วานนี้ (12 พ.ย.) นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ โครงการสนับสนุนการศึกษาระดับปริญญาเอก โครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)เพื่อมุ่งหวังให้เกิดการวิจัยที่มีความเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมและสามารถนำงานวิจัยที่ได้มาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายวนัส กล่าวต่อไปว่า ปัญหากำลังการผลิตเนื้อไก่และหมูที่ล้นตลาดในประเทศนั้น เกิดจากผู้ประกอบการบางรายขยายกำลังการผลิตมากเกินไปจนส่งผลกระทบในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีผู้ผลิตบางรายได้ลดกำลังการผลิตลงทำให้ราคาเนื้อไก่และหมูขยับสูงขึ้นบ้าง แต่ในส่วนเบทาโกรนั้นไม่ได้มีการลดกำลังการผลิตแต่อย่างใดอีกทั้งบริษัทฯยังเห็นศักยภาพในการพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มแปรรูปในเนื้อไก่และสุกรเพื่อส่งออกโดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น ซึ่งในอนาคตจะเป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 65ปีถึง 25%ของจำนวนประชากรในปี 2573 จำเป็นต้องพัฒนาสินค้าเพื่อสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้
ดังนั้น การวิจัยและพัฒนาจึงเป็นกลยุทธ์ที่ประเทศพัฒนาแล้วให้ความสำคัญและใช้เงินลงทุนกับโครงการวิจัยมาก ทั้งการสร้างบุคลากรวิจัยให้มากพอทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการวิจัยด้วย ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยใช้เงินในการวิจัยและพัฒนาเพียงร้อยละ 0.23 ของจีดีพี ต่ำกว่าสิงคโปร์และมาเลเซียมากทำให้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของไทยต่ำกว่ามาเลเซียและสิงคโปร์ซึ่งการสนับสนุนการวิจัยต่างๆ ของเบทาโกรนี้เป็นการสร้างองค์ความรู้ และยกระดับการสร้างบุคลากรวิจัยด้านอาหารและและภาคการเกษตรเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยบริษัทจะสนับสนุนทุนการศึกษาเป็นเวลา 5ปี คิดเป็นเงิน 26 ล้านบาท
น.สพ.รุจเวทย์ ทหารแกล้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนา เครือเบทาโกร บริษัท ศูนย์วิทยาศาสตร์เบทาโกร จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งศูนย์ทดสอบวิจัยวิทยาศาสตร์สัตว์แพทย์จุฬาฯ-เบทาโกร โดยจะทดสอบเชิงลึกในไก่และสุกร โดยบริษัทฯจะสนับสนุนเงินจำนวน 50 ล้านบาทในการสร้างอาคาร อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ โดยศูนย์ทดสอบวิจัยดังกล่าวจะแล้วเสร็จก.ย. 2556 หลังจากนั้นจะตั้งบริษัทร่วมทุนกับจุฬาฯ เบื้องต้นมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการศูนย์วิจัยฯ รวมทั้งรับจ้างทำวิจัยและเปิดให้เอกชนอื่นเข้ามาเช่าพื้นที่ในการวิจัยด้วย คาดว่าจะศูนย์ดังกล่าวจะมีกำไรภายใน 1-2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯจะร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตั้งโรงงานต้นแบบการผลิตเอ็นไซม์เค-ราติเนสสำหรับย่อยขนไก่เพื่อผลิตเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ บริษัทฯจะลงทุนด้านอุปกรณ์เครื่องมือต่าง 19 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2556 ซึ่งก่อนหน้านี้ มีการทดสอบใช้เอ็นไซม์เค-ราติเนสมาย่อยขนส่งไก่แล้วนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์ในห้องแล็บได้ผลออกมาดีหากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จก็จะต่อยอดไปทดลองในฟาร์มทดสอบที่มีขนาดใหญ่ขึ้นก่อนต่อยอดไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไปโดยโรงงานนำร่องนี้จะเปิดให้บริการกับภาคเอกชนอื่นๆเพื่อเข้ามาทำวิจัยด้านเอ็นไซม์หรือหัวเชื้อต่างด้วย โดยจะตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนเพื่อเข้ามาบริหารจัดการเหมือนศูนย์ทดสอบวิจัยฯ
ที่ผ่านมา เครือเบทาโกรตั้งงบในการวิจัยและพัฒนา0.2%ของยอดขายรวม โดยปีที่แล้ว บริษัทมียอดขายประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ก็มีการกำหนดงบการวิจัยและพัฒนาไว้ 120 ล้านบาทในปีนี้ ไม่รวมงบการลงทุนตั้งศูนย์วิจัยและโรงงานนำร่องดังกล่าวข้างต้น และปีหน้าคาดว่างบวิจัยก็จะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากผลการดำเนินงวดปี 2556 มียอดขายสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาทแม้ว่าราคาเนื้อไก่และหมูในประเทศจะต่ำลง แ ต่บริษัทก็หันไปทำตลาดส่งออกต่างประเทศทั้งญี่ปุ่นและยุโรป โดยมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 20%ของกำลังผลิต
วานนี้ (12 พ.ย.) นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ โครงการสนับสนุนการศึกษาระดับปริญญาเอก โครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)เพื่อมุ่งหวังให้เกิดการวิจัยที่มีความเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมและสามารถนำงานวิจัยที่ได้มาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายวนัส กล่าวต่อไปว่า ปัญหากำลังการผลิตเนื้อไก่และหมูที่ล้นตลาดในประเทศนั้น เกิดจากผู้ประกอบการบางรายขยายกำลังการผลิตมากเกินไปจนส่งผลกระทบในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีผู้ผลิตบางรายได้ลดกำลังการผลิตลงทำให้ราคาเนื้อไก่และหมูขยับสูงขึ้นบ้าง แต่ในส่วนเบทาโกรนั้นไม่ได้มีการลดกำลังการผลิตแต่อย่างใดอีกทั้งบริษัทฯยังเห็นศักยภาพในการพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มแปรรูปในเนื้อไก่และสุกรเพื่อส่งออกโดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น ซึ่งในอนาคตจะเป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 65ปีถึง 25%ของจำนวนประชากรในปี 2573 จำเป็นต้องพัฒนาสินค้าเพื่อสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้
ดังนั้น การวิจัยและพัฒนาจึงเป็นกลยุทธ์ที่ประเทศพัฒนาแล้วให้ความสำคัญและใช้เงินลงทุนกับโครงการวิจัยมาก ทั้งการสร้างบุคลากรวิจัยให้มากพอทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการวิจัยด้วย ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยใช้เงินในการวิจัยและพัฒนาเพียงร้อยละ 0.23 ของจีดีพี ต่ำกว่าสิงคโปร์และมาเลเซียมากทำให้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของไทยต่ำกว่ามาเลเซียและสิงคโปร์ซึ่งการสนับสนุนการวิจัยต่างๆ ของเบทาโกรนี้เป็นการสร้างองค์ความรู้ และยกระดับการสร้างบุคลากรวิจัยด้านอาหารและและภาคการเกษตรเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยบริษัทจะสนับสนุนทุนการศึกษาเป็นเวลา 5ปี คิดเป็นเงิน 26 ล้านบาท