xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ประชานิยม ฉิบหายตายเห็นๆ “จำนำข้าว” ทำธ.ก.ส.บักโกรก หมกเม็ดขายจีน“รถยนต์คันแรก” คลังอ่วมอรทัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เรียกว่า ยิ่งนานวันยิ่งเห็นสัญญาณผิดปกติมากขึ้นเป็นลำดับ สำหรับ อภิมหาประชานิยม กับทั้ง “โครงการรับจำนำข้าว” และ “โครงการรถยนต์คันแรก” ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และยิ่งแก้เกมก็ยิ่งทำให้เห็นร่องรอยของความพินาศฉิบหายปรากฏให้เห็นมากขึ้นเป็นลำดับ

กล่าวสำหรับโครงการรับจำนำข้าวนั้น พิรุธและความผิดปกติประการแรกก็คือ วันดีคืนดี “นายบุญทรง เตริยาภิรมย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สายตรง “เจ๊ ด.” แอบยัดไส้เป็นวาระจรด้วยการเสนอเข้ามาเป็น “วาระลับ” ให้คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2555 ที่ผ่านมาอนุมัติการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ระยะเวลา 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2556-2558

เพราะในความเป็นจริงแล้ว เรื่องสำคัญที่เป็นความเป็นความตายของรัฐบาลระดับนี้สมควรที่จะเสนอเป็นวาระปกติ ไม่ใช่เป็นวาระจร แถมเป็นการเสนอในช่วงระหว่างที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอีกต่างหาก เนื่องจากติดภารกิจการประชุมอาเซ็นอยู่ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ทั้งนี้ เหตุผลที่นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศให้ไว้ก็คือ เป็นเพราะตัวแทนจากรัฐบาลจีนจะเดินทางมาประเทศไทยเพื่อหารือเรื่องข้าวในช่วงต้นเดือนธันวาคม ทำให้ไม่สามารถรอนำเรื่องเข้าประชุมครม.ในวาระปกติได้ เนื่องจากไม่ทันต่อสถานการณ์

แต่นั่นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ข้ออ้างที่ทำให้คลายข้อสงสัยได้เท่าใดนัก เพราะเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องมีความรอบคอบเนื่องจากเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องรีบเร่ง แถมยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอีกว่า ราคาขายที่เซ็นลงนามในเอ็มโอยูฉบับดังกล่าวเป็นอย่างไร

ประเทศจีนมีเงื่อนไขหรือข้อตกลงอย่างไรถึงได้ตัดสินใจเซ็นเอ็มโอยูสั่งซื้อข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งซื้อขายปีละ 300,000 ตัน เป็นไม่เกินปีละ 5,000,000 ตัน

ประเทศไทยต้องซื้อสินค้าชนิดใดจากจีนเป็นข้อแลกเปลี่ยน

รถไฟ... แท็บเล็ต.... หรือมีความเชื่อมโยงกับการตัดสินใจคัดเลือกบริษัทที่ได้รับคัดเลือกการลงทุนระบบน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ฯลฯ

และราคาสินค้าดังกล่าวจะสูงลิ่วจนผิดจากธรรมชาติที่ควรจะเป็นหรือไม่ เพราะมีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะเสียเปรียบประเทศจีนในการลงนามในเอ็มโอยูฉบับดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีความต้องการที่จะระบายข้าวออกเป็นการเร่งด่วนเพื่อสร้างภาพทางการเมืองและลดภาระทางการคลังที่กำลังหนักหนาสาหัส ดังนั้น จึงอาจยินยอมที่จะเสียเปรียบโดยความสมัครใจ

แต่ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นคำสั่งอันพิลึกกึกกือว่า แม้ครม.จะเห็นดีเห็นงามตามที่นายบุญทรงอธิบาย แต่ก็มีการกำชับอย่างหนักแน่นว่า ไม่ให้มีการเปิดเผยในรายละเอียดหรือแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้แต่อย่างใด

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ มีความลับอันใดซุกซ่อนอยู่ในเอ็มโอยูฉบับนี้ถึงต้องปกปิดต่อสาธารณชน

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมครม.ในวันดังกล่าว ยืนยันอย่างแข็งขันว่า “เป็นเรื่องดีไม่มีปัญหา” แต่ทำไมถึงไม่กล้าเปิดเผยรายละเอียดของเรื่องดีๆ แถมยังโบ้ยให้ไปถามรายละเอียดเอากับกระทรวงพาณิชย์อีกต่างหาก

ขณะที่ “ชูเกียรติ โอภาสวงศ์” นายกกิตติมศักดิ์สมาคมส่งออกข้าวไทย ให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวเอาไว้อย่างมีนัยสำคัญว่า หากทำได้จริงจะดึงราคาข้าวสูงขึ้น 10-15% แต่ประเด็นคือจะมีการส่งมอบข้าวจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่ลมปากเพราะเป็นแค่เอ็มโอยู และตัวเลขส่งมอบให้จีนปีละ 5 ล้านตันสูงจนโอเวอร์ ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ เพราะโดยปกติจีนจะนำเข้าข้าวแค่ปีละ 1-1.5 ล้านตัน มีปีนี้ที่จีนนำเข้าข้าวเพิ่มเป็น 2.5 ล้านตัน เพราะพื้นที่เพาะปลูกในภาคใต้ประสบน้ำท่วม ที่สำคัญไม่มีประเทศไทยอยู่ในรายชื่อประเทศที่จีนนำเข้า

ข้อมูลแห่งความพินาศฉิบหายประการที่สองที่ปรากฏให้เห็นก็คือ หนังสือด่วนที่สุด ที่ กค.0904/17560 ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ลงนามโดย นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม เรื่อง “รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56” โดยเสนอต่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวมีทั้งหมด 6 หน้า ระบุถึงปัญหาและความห่วงใยต่อโครงการรับจำนำข้าวไว้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญคือ ในตอนท้ายของข้อ 2.1 ระบุไว้ว่า "...เป็นภาระงบประมาณที่สูงมาก จำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากระบายสินค้าเกษตรได้ช้าและไม่มีงบประมาณเพียงพอ ดังนั้นก่อนการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตรต่อไป จึงควรมีการประเมินผลกระทบโครงการและแนวทางการบริหารจัดการวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรม"

ขณะที่ข้อ 2.2 ระบุว่าเนื่องจากวงเงินดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร ปีการผลิต 2554/55 เป็นวงเงินที่สูงและเป็นภาระต่อเนื่องต่องบประมาณ ทั้งในส่วนเงินทุน ธ.ก.ส. กรอบวงเงินกู้เดิม และส่วนที่อยู่ระหว่างขยายปริมาณและกรอบการใช้เงิน (กรณีพิเศษ) เพิ่มเติม รวมทั้งสิ้น 408,160 ล้านบาท (90,000+268,660+49,500) รวมทั้งกินวงเงินค้ำประกันของโครงการลงทุนของประเทศของหน่วยงานอื่นๆ ดังนั้นหากจะมีการดำเนินโครงการต่อเนื่อง ควรมีการวิเคราะห์และประเมินผลของโครงการที่ได้ดำเนินการแล้ว รวมทั้งนโยบายการระบายผลิตผลทางการเกษตรที่รับจำนำอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนการดำเนินการโครงการใหม่ ซึ่งใช้วงเงินสูงถึง 405,000 ล้านบาท ทำให้ภาระงบประมาณเพิ่มสูง หากยังไม่มีการระบายผลผลิตโครงการรับจำนำผลิตผลทางเกษตรดังกล่าว จะส่งผลต่อความสามารถของกระทรวงการคลังในการค้ำประกันเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56

“และหากกรณีระบายผลิตผลที่รับจำนำได้ใน 3 ปี จะมีภาระการบริหารการปรับโครงสร้างหนี้เฉลี่ยปีละ 224,553 ล้านบาท ซึ่งกระทบต่อการระดมทุนในตลาดเงินที่มีสภาพคล่องตึงตัว ทั้งในด้านต้นทุน การกู้เงินที่สูงขึ้น และเป็นภาระงบประมาณเพิ่มสูงขึ้นต่อไป” หนังสือระบุ

นอกจากนี้ ข้อ 2.3 หนังสือของกระทรวงการคลังยังระบุอีกว่า การรายงานผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ดังกล่าว ไม่สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2555 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องกำกับ ติดตาม ควบคุม รวมทั้งรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงาน การเบิกจ่าย การระบายสินค้า ปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือ รวมทั้งปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้น สำหรับโครงการที่ดำเนินการในปีการผลิต 2554/55 ทุกโครงการ...

ความไม่สอดคล้องที่ว่านั้น ย่อมหมายถึงว่า การดำเนินโครงการในปีการผลิต 2554/2555 กระทรวงพาณิชย์ของเจ๊ ด.มีการหมกเม็ดข้อมูลเอาไว้เป็นจำนวนมาก มิฉะนั้นแล้ว กระทรวงการคลังจะไม่มีทางที่ติติงในประเด็นดังกล่าวเอาไว้อย่างแน่นอน

ที่สำคัญคือ ในข้อ 2.6 กระทรวงการคลังจะระบุว่า “โครงการรับจำนำข้าวเปลือก เป็นโครงการที่ดีที่ช่วยเหลือเกษตรกร” แต่กระทรวงการคลังก็ได้เตือนด้วยเช่นกันว่า การรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ด ควรมีมาตรการวางแผนการรับจำนำที่ดี และควรดูแลเรื่องข้าวสวมสิทธิ์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในอนาคตเมื่อมีการเปิดเสรีอาเซียนในปี 2558 นอกจากนั้นโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของประเทศไทยส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้น ประเทศส่งออกรายอื่นได้ประโยชน์ ดังนั้น เพื่อลดภาระของประเทศไทยและผลประโยชน์ร่วมกันของกลุ่มประเทศผู้ผลิตข้าว จึงควรจะได้มีการรวมกลุ่มประเทศผู้ส่งออก โดยกำหนดราคาขั้นต่ำในการส่งออกและร่วมกันตั้งกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาข้าวขึ้น ซึ่งจะทำให้รายได้ของเกษตรกรของประเทศผู้ผลิตสูงขึ้น

แต่ที่เด็ดที่สุดเห็นจะเป็นข้อเสนอแนะ 2.10 ซึ่งกระทรวงการคลัง ระบุว่า เนื่องจากเงินค้ำประกันในปีงบประมาณ 2556 มีจำกัด ดังนั้น เห็นควรจัดสรรวงเงินกู้ไม่เกิน 150,000 ล้านบาท สำหรับเป็นการหมุนเวียนในการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตรตามนโยบายรัฐบาล โดยโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 เป็นส่วนหนึ่งของกรอบหนี้ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยจากเงินกู้ และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินโครงการทั้งหมด

“วงเงินส่วนที่เหลือเห็นควรให้ ธ.ก.ส.ระดมเงินจากตลาดและเงินฝาก ธ.ก.ส.ตามกรอบของพระราชบัญญัติ ธ.ก.ส.เป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ให้โดยไม่ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว” หนังสือระบุ

นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาสรรหา ซึ่งนำเอกสารดังกล่าวมาเปิดเผย ระบุว่า เนื้อหาของหนังสือ 2 ฉบับ สะท้อนปัญหาของโครงการรับจำนำข้าว 3 ประการหลักๆ คือ 1.การอนุมัติข้าวนาปี วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องระดมเงินจากตลาดและเงินฝาก โดยกระทรวงการคลังจะไม่ค้ำประกัน 2.ให้กระทรวงพาณิชย์ต้องระบายข้าวให้เร็ว กระทรวงการคลังจะไม่ต้องกู้เงิน 3.มาตรการอุดช่องโหว 10 ข้อตามเอกสาร ที่เห็นว่าการจ่ายเงินให้โครงการดังกล่าวไม่คุ้มค่า

“เอกสารดังกล่าวนี้เป็นเอกสารชัดเจนยิ่งกว่าใบเสร็จ ที่ทำให้เห็นว่าการรับจำนำข้าวที่ราคาสูงกว่าท้องตลาด 50% เป็นปัญหา และรัฐบาลไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะข้อมูลไม่ได้มาจากนักวิชาการ ฝ่ายค้าน หรือ ส.ว. แต่เป็นคนในรัฐบาลเสนอเอง โดยเฉพาะการลงนามในฉบับแรกโดยนายกิตติรัตน์ และฉบับ 2 ของนายทนุศักดิ์ จึงอยากถามว่า นายกิตติรัตน์หัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะตอบเรื่องนี้อย่างไร และจะมีความเห็นขัดแย้งกันเองหรือไม่”นายคำนูณแจกแจง

ด้วยเหตุและผลดังกล่าวที่ยืนยันถึงความผิดพลาดในการดำเนินนโยบาย รวมถึงปัญหาอันหนักหนาสาหัสที่จะตามมาหลอกหลอนไปอย่างต่อเนื่อง เพราะใช้งบประมาณสูงถึงปีละ 4 00,000 ล้านบาท ทำให้ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอรรัปชัน ที่มีนายประมนต์ สุธีวงศ์ เป็นประธาน ได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับพิจารณาและตรวจสอบการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว เพราะเห็นว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง ซึ่งล่าสุด ป.ป.ช.ได้รับเรื่องไว้แล้ว และอยู่ระหว่างการเสนอให้คณะกรรมการ (บอร์ด) ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อตรวจสอบในเรื่องนี้ต่อไป

สำหรับโครงการประชานิยมโครงการที่ 2 ที่กำลังสั่นสะเทือนสถานะทางการคลังของรัฐบาลอย่างหนักไม่แพ้กันก็คือ “โครงการรถยนต์คันแรก” เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า กรมสรรพสามิตจะต้องใช้เงินเพื่อการนี้สูงทะลุ 2.9 หมื่นล้านบาทอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“ปัจจุบันมีผู้มาขอใช้สิทธิรถยนต์คันแรกแล้ว 3.08 แสนราย เป็นเงิน 2.9 หมื่นล้านบาท คาดว่าถึงสิ้นปีจำนวนเงินที่ต้องใช้เกินกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ 3 หมื่นล้านบาท โดยล่าสุด คืนเงินให้ผู้ใช้สิทธิไปแล้ว 1.09 หมื่นราย คิดเป็นเงิน 849 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2556 กระทรวงการคลังต้องคืนเงินให้ผู้ใช้สิทธิในโครงการ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณมาแล้ว 7,500 ล้านบาท และขณะนี้กรมบัญชีกลางได้ขอใช้งบกลางเพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการอีก 10,500 ล้านบาทแล้ว”นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ให้ข้อมูล

แต่ที่น่าเป็นห่วงมากไปกว่านั้นก็คือ การที่ ครม.มีมิตขยายเวลารับมอบรถยนต์ และยื่นเอกสารหลักฐานตามมาตรการรถคันแรกออกไป 90 วันหลังรับมอบรถเพื่อชดเชยกับระยะเวลาที่โรงงานผลิตรถยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์หยุดดำเนินการเนื่องจากประสบปัญหาอุทกภัย และเพื่อไม่ให้ประชาชนเสียสิทธิได้รับเงินคืนภาษีเนื่องจากได้รับการส่งมอบรถล่าช้าจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ นั้น กำลังจะก่อปัญหาที่หนักหนาสาหัสต่อเม็ดเงินที่จะนำไปใช้ เพราะมีแนวโน้มที่อาจส่งผลให้ยอดซื้อรถคันแรกที่เข้าโครงการพุ่งทะลุเกินกว่า 5 แสนคัน และรัฐต้องคืนภาษีมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพราะยังเหลือเวลาอีกไม่น้อยกว่าโครงการจะสิ้นสุด และบรรดาผู้ประกอบการต่างเข็นรถที่เข้าข่ายได้รับสิทธิตามโครงการนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การประมาณการยอดรถที่จะเข้าร่วมโครงการพุ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า งบประมาณที่ตั้งไว้ในเบื้องต้น 3 หมื่นล้านบาทก็ย่อมไม่เพียงพอที่จะใช้คืนเงินตามนโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง

นอกจากนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ วันนี้คือ การคืนเงินให้แก่ผู้ซื้อรถที่ล่าช้า และมีเสียงบ่นออกมา โดยที่กรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลาง และกรมการขนส่งทางบก ยังไม่สามารถเชื่อมระบบเพื่อตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเพื่อคืนเงินให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งๆ ที่ตอนเริ่มต้นโครงการ บอกไว้อย่างชัดเจนว่าใช้เงินสำหรับโครงการนี้สูงถึง 100 ล้านบาทในการดำเนินการ โดยไม่เกี่ยวข้องกับเงินที่คืนภาษี 3 หมื่นล้านบาทแต่อย่างใด แต่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบจึงไม่มีการนำงบ 100 ล้านบาทมาใช้วางระบบเชื่อมต่อ 3 กรมที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การคืนเงินสะดวกและรวดเร็วขึ้น จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่าเงิน 100 ล้านบาทล่องหนไปอยู่ในกระเป๋าใคร

ขณะที่ปัญหาเรื่องการตั้งงบประมาณคืนเงินให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการโดยกรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ได้รับสิทธิไปแล้ว 3 งวด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 849 ล้านบาท จํานวน 10,987 คัน และกรมบัญชีกลางได้เสนอขอใช้งบกลางในปี 2556 เพิ่ม 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อนํามาใช้ในการคืนเงินในโครงการรถคันแรกเพิ่มเติม จากเดิมที่ตั้งงบประมาณไว้ในปี 2556 จํานวน 7.5 พันล้านบาท แต่ไม่เพียงพอ

งานนี้เป็นที่พิสูจน์ชัดแล้วว่า นโยบายประชานิยมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้นำพาความพินาศฉิบหายมาสู่ประเทศไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้



นายบุญทรง เตริยาภิรมย์
กำลังโหลดความคิดเห็น