ASTVผู้จัดการรายวัน - น้ำลดตอผุดโครงการคืนภาษีรถคันแรก ยอดใช้สิทธิพุ่งเกินเป้า 5 แสนค้น งบประมาณ 3 หมื่นล้านบาทไม่พอ ขณะที่การเชื่อมโยงข้อมูล กรมบัญชีกลาง-สรรพสามิต-กรมการขนส่งทาง บอกไม่เรียบร้อยสูญเงิน 100 ล้านบาท ยื้อคืนเงิน 1 แสนบาทล่าช้า “ทนุศักดิ์” สั่งปิดตายโครงการรับถังแตกไม่มีเงินโปะแล้ว
คณะรัฐมนตรี (ครม.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2554 เดินหน้าโครงการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรก และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งในขณะนั้นเป็น รมช.คลังกำกับดูแลกรมสรรพสามิตก็เร่งเดินหน้าโครงการอย่างเต็มที่ โดยจะคืนเงินภาษีโดยตรงให้แก่ผู้ซื้อที่เป็นเจ้าของรถยนต์ ซึ่งจะเริ่มพิจารณาจากหลักฐานการจองซื้อตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 และสิ้นสุดโครงการ 31 ธันวาคม 2555
เริ่มแรกโครงการเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วไปมากนัก แต่ภายหลังเกิดมหาวาตภัยเมื่อปลายปี 2554 ทำให้คณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มเติมให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมเข้าร่วมโครงการนี้ได้ด้วยเช่นกัน จนทำให้โครงการนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม แม้ว่าห่วงโซ่การผลิตจะได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ โดยเฉพาะผู้ผลิตรายย่อยที่ป้อนชิ้นส่วนให้แก่ค่ายรถยนต์รายใหญ่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแถบจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการส่งมอบรถที่เข้าร่วมโครงการ
จนกระทั่งล่าสุด นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลังคนใหม่สายตรง เจ๊ ด.เข้ามารับไม้ต่อโครงการรถยนต์คันแรกจากนายบุญทรงก็ได้คาดการณ์ว่า ตามมติ ครม. ที่ขยายเวลารับมอบรถยนต์ และยื่นเอกสารหลักฐานตามมาตรการรถคันแรกออกไป 90 วันหลังรับมอบรถ เพื่อชดเชยกับระยะเวลาที่โรงงานผลิตรถยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์หยุดดำเนินการเนื่องจากประสบอุทกภัย และเพื่อไม่ให้ประชาชนเสียสิทธิได้รับเงินคืนภาษีเนื่องจากได้รับการส่งมอบรถล่าช้าจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ยอมรับว่า การขยายเวลาดังกล่าวอาจส่งผลให้ยอดซื้อรถคันแรกที่เข้าโครงการพุ่งทะลุเกินกว่า 5 แสนคัน และรัฐต้องคืนภาษีมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท
แน่นอนว่าเส้นทางย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เมื่อเป้าหมายที่วางไว้เบื้องต้นว่าจะมีปริมาณรถเข้าร่วมโครงการเพียง 5 แสนคัน แต่ยังเหลือเวลาอีกกว่า 1 ไตรมาสจะครบกำหนดสิ้นสุดโครงการ และบรรดาผู้ประกอบการต่างเข็นรถที่เข้าข่ายได้รับสิทธิตามโครงการนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การประมาณการยอดรถที่จะเข้าร่วมโครงการพุ่งขึ้นตามไปด้วย งบประมาณที่ตั้งไว้ในเบื้องต้น 3 หมื่นล้านบาทก็ย่อมไม่เพียงพอที่จะใช้คืนเงินตามนโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ วันนี้คือ การคืนเงินให้แก่ผู้ซื้อรถที่ล่าช้า และมีเสียงบ่นออกมา โดยที่กรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลาง และกรมการขนส่งทางบก ยังไม่สามารถเชื่อมระบบเพื่อตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเพื่อคืนเงินให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งๆ ที่ตอนเริ่มต้นโครงการรัฐมนตรีบุญทรงได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าใช้เงินสำหรับโครงการนี้สูงถึง 100 ล้านบาทในการดำเนินการโดยไม่เกี่ยวข้องกับเงินที่คืนภาษี 3 หมื่นล้านบาทแต่อย่างใด แต่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ จึงไม่มีการนำงบ 100 ล้านบาทมาใช้วางระบบเชื่อมต่อ 3 กรมที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การคืนเงินสะดวกและรวดเร็วขึ้น จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า เงิน 100 ล้านบาทล่องหนไปอยู่ในกระเป๋าใคร
ขณะที่ปัญหาเรื่องการตั้งงบประมาณคืนเงินให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการโดยกรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ไปแล้ว 2 งวด และที่จะจ่ายเพิ่มอีกงวด 5 พฤศจิกายน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 849 ล้านบาท จํานวน 10,987 คัน และกรมบัญชีกลางได้เสนอขอใช้งบกลางในปี 2556 เพิ่ม 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อนํามาใช้ในการคืนเงินในโครงการรถคันแรกเพิ่มเติม จากเดิมที่ตั้งงบประมาณไว้ในปี 2556 จํานวน 7.5 พันล้านบาท แต่ไม่เพียงพอ เนื่องจากจํานวนที่ยื่นไว้ และมีสิทธิได้รับเงินรวมทั้งสิ้น 1.8 หมื่นล้านบาท จากจํานวนที่ยื่นเข้าโครงการแล้วทั้งสิ้น 2.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 3.1 แสนคัน
งบกลางปีที่มีอยู่อย่างจำกัด และถูกโครงการประชานิยมต่างๆ ของรัฐบาลรุมทึ้งอาจไม่เพียงพอต่อการจ่ายคืนสำหรับโครงการรถคันแรก หรือทำให้การจ่ายคืนล่าช้าออกไปจากเดิม ซ้ำเติมกับปัญหาการตรวจสอบสิทธิที่ยังไม่บูรณาการกันระหว่าง 3 กรมดังที่กล่าวมาดังกล่าว ซึ่ง รมช.คลังก็ยืนยันออกมาเองว่าจะไม่ขยายเวลาออกไปอีกอย่างแน่นอน เพราะใช้เงินงบประมาณในโครงการนี้มากแล้ว หากเพิ่มอีกรัฐบาลจะถังแตกได้
คณะรัฐมนตรี (ครม.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2554 เดินหน้าโครงการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรก และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งในขณะนั้นเป็น รมช.คลังกำกับดูแลกรมสรรพสามิตก็เร่งเดินหน้าโครงการอย่างเต็มที่ โดยจะคืนเงินภาษีโดยตรงให้แก่ผู้ซื้อที่เป็นเจ้าของรถยนต์ ซึ่งจะเริ่มพิจารณาจากหลักฐานการจองซื้อตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 และสิ้นสุดโครงการ 31 ธันวาคม 2555
เริ่มแรกโครงการเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วไปมากนัก แต่ภายหลังเกิดมหาวาตภัยเมื่อปลายปี 2554 ทำให้คณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มเติมให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมเข้าร่วมโครงการนี้ได้ด้วยเช่นกัน จนทำให้โครงการนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม แม้ว่าห่วงโซ่การผลิตจะได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ โดยเฉพาะผู้ผลิตรายย่อยที่ป้อนชิ้นส่วนให้แก่ค่ายรถยนต์รายใหญ่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแถบจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการส่งมอบรถที่เข้าร่วมโครงการ
จนกระทั่งล่าสุด นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลังคนใหม่สายตรง เจ๊ ด.เข้ามารับไม้ต่อโครงการรถยนต์คันแรกจากนายบุญทรงก็ได้คาดการณ์ว่า ตามมติ ครม. ที่ขยายเวลารับมอบรถยนต์ และยื่นเอกสารหลักฐานตามมาตรการรถคันแรกออกไป 90 วันหลังรับมอบรถ เพื่อชดเชยกับระยะเวลาที่โรงงานผลิตรถยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์หยุดดำเนินการเนื่องจากประสบอุทกภัย และเพื่อไม่ให้ประชาชนเสียสิทธิได้รับเงินคืนภาษีเนื่องจากได้รับการส่งมอบรถล่าช้าจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ยอมรับว่า การขยายเวลาดังกล่าวอาจส่งผลให้ยอดซื้อรถคันแรกที่เข้าโครงการพุ่งทะลุเกินกว่า 5 แสนคัน และรัฐต้องคืนภาษีมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท
แน่นอนว่าเส้นทางย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เมื่อเป้าหมายที่วางไว้เบื้องต้นว่าจะมีปริมาณรถเข้าร่วมโครงการเพียง 5 แสนคัน แต่ยังเหลือเวลาอีกกว่า 1 ไตรมาสจะครบกำหนดสิ้นสุดโครงการ และบรรดาผู้ประกอบการต่างเข็นรถที่เข้าข่ายได้รับสิทธิตามโครงการนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การประมาณการยอดรถที่จะเข้าร่วมโครงการพุ่งขึ้นตามไปด้วย งบประมาณที่ตั้งไว้ในเบื้องต้น 3 หมื่นล้านบาทก็ย่อมไม่เพียงพอที่จะใช้คืนเงินตามนโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ วันนี้คือ การคืนเงินให้แก่ผู้ซื้อรถที่ล่าช้า และมีเสียงบ่นออกมา โดยที่กรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลาง และกรมการขนส่งทางบก ยังไม่สามารถเชื่อมระบบเพื่อตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเพื่อคืนเงินให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งๆ ที่ตอนเริ่มต้นโครงการรัฐมนตรีบุญทรงได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าใช้เงินสำหรับโครงการนี้สูงถึง 100 ล้านบาทในการดำเนินการโดยไม่เกี่ยวข้องกับเงินที่คืนภาษี 3 หมื่นล้านบาทแต่อย่างใด แต่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ จึงไม่มีการนำงบ 100 ล้านบาทมาใช้วางระบบเชื่อมต่อ 3 กรมที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การคืนเงินสะดวกและรวดเร็วขึ้น จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า เงิน 100 ล้านบาทล่องหนไปอยู่ในกระเป๋าใคร
ขณะที่ปัญหาเรื่องการตั้งงบประมาณคืนเงินให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการโดยกรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ไปแล้ว 2 งวด และที่จะจ่ายเพิ่มอีกงวด 5 พฤศจิกายน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 849 ล้านบาท จํานวน 10,987 คัน และกรมบัญชีกลางได้เสนอขอใช้งบกลางในปี 2556 เพิ่ม 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อนํามาใช้ในการคืนเงินในโครงการรถคันแรกเพิ่มเติม จากเดิมที่ตั้งงบประมาณไว้ในปี 2556 จํานวน 7.5 พันล้านบาท แต่ไม่เพียงพอ เนื่องจากจํานวนที่ยื่นไว้ และมีสิทธิได้รับเงินรวมทั้งสิ้น 1.8 หมื่นล้านบาท จากจํานวนที่ยื่นเข้าโครงการแล้วทั้งสิ้น 2.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 3.1 แสนคัน
งบกลางปีที่มีอยู่อย่างจำกัด และถูกโครงการประชานิยมต่างๆ ของรัฐบาลรุมทึ้งอาจไม่เพียงพอต่อการจ่ายคืนสำหรับโครงการรถคันแรก หรือทำให้การจ่ายคืนล่าช้าออกไปจากเดิม ซ้ำเติมกับปัญหาการตรวจสอบสิทธิที่ยังไม่บูรณาการกันระหว่าง 3 กรมดังที่กล่าวมาดังกล่าว ซึ่ง รมช.คลังก็ยืนยันออกมาเองว่าจะไม่ขยายเวลาออกไปอีกอย่างแน่นอน เพราะใช้เงินงบประมาณในโครงการนี้มากแล้ว หากเพิ่มอีกรัฐบาลจะถังแตกได้