ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนใดมาเข้าสิง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันถึงได้ให้สัมภาษณ์กรณี “ทหาร” จะไปใช้สิทธิชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย จนสื่อนำไปพาดหัวข่าวตัวเบ้อเร่อว่า “บิ๊กตู่ขู่ทหารร่วมชุมนุมให้ออกจากราชการ ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา”
ที่ใช้คำว่าผีห่าซาตานตนใดมาเข้าสิงก็เพราะไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์กองทัพบกไทยว่า เคยมีผู้บัญชาการทหารบกคนใดที่มีคำสั่งในลักษณะนี้
เนื่องเพราะการออกไปชุมนุมเป็นสิทธิของปวงชนชาวไทยทุกคน ไม่ว่า จะเป็นประชาชนคนธรรมดา ทหาร ตำรวจหรือข้าราชการสังกัดกระทรวง ทบวง กรมไหน ยิ่งถ้าเป็นการไปชุมนุมนอกเวลาราชการด้วยแล้ว ทหารก็ย่อมมีความชอบธรรมที่จะเข้าร่วม
เกิดอะไรขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์เจ้าของฉายา “คำรามจนคอแห้ง” กันแน่
หรือในการนำทัพม็อบ “สนามม้า” ของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ มีทหารเข้าร่วมชุมนุมจนน่าตกใจ กระทั่งพล.อ.ประยุทธ์ได้รับแรงกดดันทางการเมืองจนต้องออกอาการเช่นนี้
หรือแท้ที่จริงแล้ว คำสั่งดังกล่าวมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา เนื่องจากความจริงแล้ว ต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ตู่นะจ๊ะ” สำแดงอาการเสมือนหนึ่งเป็น “องครักษ์พิทักษ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
หากยังจำกันได้ก่อนหน้าที่ เสธ.อ้ายจะชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง พล.อ.ประยุทธ์ก็เคยคำรามมาในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
“ต้องไปถาม พล.อ.บุญเลิศ จากที่ผมได้ติดตามข่าว ท่านตอบไปแล้วว่า ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกับใคร อย่างไรก็ตามรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยใช่หรือไม่ ทุกคนต้องการประชาธิปไตย ก็ต้องว่ากันด้วยประชาธิปไตย จะเสียหายดีหรือไม่ดีก็ว่ากันไป มีกติกา คณะทำงานมากมายให้ตรวจสอบก็ไปว่ากัน แต่อย่ามากดดันเจ้าหน้าที่คนโน้นคนนี้ แล้วมาด่าผมในทางเสียหาย ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน ใครก็ตามที่พาดพิงพูดให้กองทัพบกเสียหาย หรือผมเสียหายเท่ากับไม่ให้เกียรติกัน ถ้าท่านไม่ให้เกียรติผม ผมก็ไม่ให้เกียรติท่าน ถ้าด่ากองทัพบกไม่ใช่แค่ด่าพล.อ.ประยุทธ์อย่างเดียว แต่ท่านกำลังว่ากำลังพล 2 แสนนาย ถ้าอย่างนั้นท่านอย่ามาหวังว่าท่านจะได้อะไรจากพวกเรา ”
ขณะที่คำให้สัมภาษณ์เที่ยวล่าสุดก็ไม่อาจทำให้สังคมตีความเป็นอย่างอื่นไปได้ เพราะไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืนหรือเดิน ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมอยู่ดีๆ ดอกพิกุลจึงร่วงออกจาก ผบ.ทบ.ในลักษณะนี้
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะบิ๊กตู่เปลี่ยนไป
จะว่าเป็นเพราะผีห่าซาตานตนใดเข้าสิงก็คงไม่ใช่
จะว่าเป็นเพราะผีเจาะปากให้พูดโดยไม่ไตร่ตรองถึงผลดีผลเสียให้รอบคอบ ก็คงไม่ใช่อีกเช่นกัน
“การที่กำลังพลจะออกไปร่วมชุมนุมตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ แต่การเป็นทหารต้องมีวินัยควบคู่ไปด้วย ถ้าหากพูดถึงวินัยก็ไม่ให้ไป แต่ถ้าตามรัฐธรรมนูญไปได้ก็ไป แต่ถ้าหากมีเรื่องมา ก็ลงโทษเพราะถือว่าผิดวินัย วินัยถือเป็นหัวใจของความเป็นทหาร แต่ถ้าทหารทุกคนใช้คำว่าเป็นประชาธิปไตย ก็แสดงว่าทุกๆ คนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ทุกเรื่อง เช่น ถ้าให้ไปรบ ผมไม่อยากไป ก็ไม่ไป หรือทำงานที่เสี่ยง ผมก็ไม่ไป เพราะอ้างว่าผมมีประชาธิปไตย ซึ่งคงไม่ใช่ เพราะฉะนั้นถึงต้องบอกว่าต้องมีวินัยทหารขึ้นมากำชับอีกที โทษการผิดวินัยมี 7 ขั้นตามลำดับความรุนแรง แต่ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาถึงขั้นปลดและไล่ออก เพราะฉะนั้นถ้าไปและไม่มีเรื่อง ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้าไปแล้วมีเรื่อง และสอบสวนว่าไปจริง ถือว่าขัดคำสั่ง ซึ่งถ้าแอบไป ก็คงจะไม่โดน แต่ถ้าลูกน้องไปแล้วผู้บังคับบัญชาไม่รู้ผู้บังคับบัญชาก็ต้องโดน ถือเป็นการปกครองตามสายการบังคับบัญชา ถ้าไปแล้วเกิดความวุ่นวายไม่ได้ ทหารต้องอยู่ในกรอบระเบียบวินัย และเชื่อฟังตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้น เมื่อผู้บัญชาการทหารบกบอกว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็อย่าไป”
คำถามที่มีถึง พล.อ.ประยุทธ์ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ใช้สิทธิอะไรในการห้ามทหารเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมนอกเวลาราชการ เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 63 เขียนเอาไว้ชัดเจนว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
ที่สำคัญคือ สิทธิการชุมนุมนอกจากจะได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญของนานาประเทศแล้ว อนุสัญญาหลายฉบับก็รับรองสิทธิการชุมนุมหรือการรวมตัว เช่น ในอนุสัญญา The Europcan Convention for Human Rights และในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ซึ่งอนุสัญญานี้ประเทศไทยเป็นภาคีด้วย
สถานะของผู้บัญชาการทหารบกอยู่เหนือรัฐธรรมนูญเช่นนั้นหรือ
หรือ พล.อ.ประยุทธ์คือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ
พล.อ.ประยุทธ์กำลังทำผิดกฎหมายและกำลังละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของปวงชนชาวไทยอย่างรุนแรง โดยอาศัยความเป็นผู้บัญชาการทหารบกข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชา เพียงเพราะตนเองคิดเองเออเองว่า “เมื่อผู้บัญชาการทหารบกบอกว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็อย่าไป”
แถมตรรกะที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุก็เป็นตรรกะข้างๆ คูๆ จนแทบไม่น่าเชื่อว่า คนที่มีตรรกะลักษณะนี้จะเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านนี้เมืองนี้ได้ โดยเฉพาะในท่อนที่ว่า “ถ้าให้ไปรบ ผมไม่อยากไป ก็ไม่ไป หรือทำงานที่เสี่ยง ผมก็ไม่ไป เพราะอ้างว่าผมมีประชาธิปไตย” เพราะเป็นการยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่ต้องบอกว่า ไม่เอาอ่าวกันเลยทีเดียว
การใช้เวลานอกราชการไปร่วมชุมนุมเป็นคนละเรื่องกับการที่สั่งให้ทหารไปรบหรือไปทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย
จะมองโลกในแง่ดีหรือคิดบวกว่า พล.อ.ประยุทธ์ “ไม่ฉลาด” ในการพูดก็คงจะไม่ใช่ เพราะเมื่อดูในองค์รวมแล้ว คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์คือคำสั่งที่ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ
แน่นอน นั่นย่อมต้องส่งผลถึงบรรดา “ทหารรักชาติ” ทั้งหลายในการเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เพราะแม้การชุมนุมจะเป็นเสรีภาพที่พึงมีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ถามว่า เมื่อผู้บังคับบัญชามีคำสั่งเช่นนี้ ทหารจำนวนหนึ่งคงไม่กล้าออกมาเพราะสุ่มเสี่ยงต่ออนาคตหน้าที่การงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ก็เชื่ออีกเช่นกันว่า น่าจะมีทหารผู้รักชาติที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์และร่วมชุมนุมเหมือนเดิม
ขณะเดียวกันประชาชนส่วนหนึ่งก็อดตั้งคำถามกลับไปไม่ได้ว่า ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ถึงไม่ไปจัดการทหารนอกแถวที่ใช้เวลาทั้งในและนอกราชการไปแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเองกันบ้าง ทั้งทหารคุมบ่อน ทหารคุมอาบ อบ นวด หรือทหารรับจ้างทวงหนี้ ฯลฯ
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ สังคมไม่เคยเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์จะปกป้องลูกน้องหรือทวงความยุติธรรมให้กับลูกน้องที่ถูกม็อบเผาบ้านเผาเมืองทำร้ายถึงชีวิตหรือบาดเจ็บไปจำนวนไม่น้อย ดังเช่นกรณีของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม หรือทหารที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนายพัน คำกอง เพราะในความเป็นจริงมีหลักฐานชัดเจนว่านายพันขับรถตู้บุกเข้าไปในพื้นที่ที่ห้ามเขา ทหารจึงต้องยิง
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ประชาชนจะตั้งคำถามถึงท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ว่า เป็นเพราะต้องการรั้งตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้ครบจนเกษียณอายุราชการเท่านั้นหรือ ถึงได้ปกป้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึงขนาดนี้
และจงอย่าแปลกใจถ้าประชาชนจะตั้งคำถามกลับไปบ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์รักตัวเองหรือรักชาติมากกว่ากัน