ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐฯ ของ “บารัค โอบามา” ก็มิอาจซ่อนเร้นความปรารถนาอันยิ่งยวดต่อการใช้ “สนามบินอู่ตะเภา” เพื่อแผ่ขยายอิทธิพลทางทหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไปได้ ขณะที่รัฐบาลของ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็คงจะมี “ข้อตกลง” หรือ “เดิมพัน” ก้อนมหึมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่กระเหี้ยนกระหือรือลงนามในหนังสือด่วนมาถึงประธานรัฐสภา เพื่อขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมรัฐสภาตามมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ โดยให้เหตุผลอันหวานชื่นเอาไว้ว่า เพื่อให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีโอกาสชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมอนุญาตให้องค์การบริหารการบินอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (นาซา) เข้ามาดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆ ที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทย ตลอดถึงข้อกล่าวหาและข้อกังวลต่างๆ ให้เป็นที่ชัดเจน
และก็เป็นไปตามคาดเมื่อ “ขุนค้อนทราเวล” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เด้งรับด้วยการมีคำสั่งให้นำเรื่องการสู่การประชุมร่วมของรัฐสภาในวันที่ 2 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) ที่มีมติให้ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยและพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมประชุมดังกล่าวโดยพร้อมเพรียง พร้อมกำชับให้ ส.ส.ร่วมกันอภิปรายและเตรียมข้อมูลตอบโต้ฝ่ายค้าน ขณะที่ทางฝ่ายบริหารก็ส่งรัฐมนตรีไปเป็นทนายของนาซากันอย่างเอิกเกริก ทั้ง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี “พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “นายปลอดประสพ สุรัสวดี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี “นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เรียกว่า ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติพร้อมใจกันกรุยทางเพื่อประเคนสนามบินอู่ตะเภาให้กับสหรัฐฯ กันเลยทีเดียว ทำให้สังคมอดตั้งข้อสังเกตถึงความกระเหี้ยนกระหือรือดังกล่าวไม่ได้ว่า น่าจะมีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่
กล่าวสำหรับฝ่ายนิติบัญญัตินั้น ในความเป็นจริงแล้ว นี่มิใช่เรื่องที่ ส..ส.ของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลจะพร้อมใจกันตั้งป้อมหาข้อมูลเพื่อตอบโต้ฝ่ายค้านเหมือนดังเช่นที่ “นายจิรายุ ห่วงทรัพย์” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แถลงข่าวเอาไว้ หากแต่ควรร่วมกันแสวงหาข้อมูลเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ จากการเปิดเผยของ ฯพณฯจิรายุ ซึ่งทำตัวประหนึ่งว่าเป็นโฆษกของนาซาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้สังคมได้ทราบข้อเท็จจริงอันมีพิรุธอีกด้วยว่า รัฐบาลเตรียมขอ ครม.อนุมัติงบประมาณ 190 ล้านบาท เพื่อส่งนักวิทยาศาสตร์ประมาณ 200 คนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมทั้งตัวแทนจากกรมอุตุนิยมวิทยา ไปร่วมศึกษาสภาพชั้นบรรยากาศกับทางนาซา ซึ่งหาก ครม.เห็นชอบคาดว่าจะสามารถเริ่มศึกษาได้ในเดือน มี.ค.-ก.ย.56 รวมระยะเวลา 7 เดือน
พิรุธดังกล่าว แสดงว่า ให้เห็นว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ได้เจรจาและตกลงให้สหรัฐฯ มาใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่จะตระเตรียมโครงการและงบประมาณเพื่อสนับสนุนเอาไว้ล่วงหน้าเช่นนี้
ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่า การที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ถอยทัพไม่ดันทุรังเสนอในครั้งที่แล้วนั้น เป็นเพียงการถอยเพื่อลดกระแสกดดันเท่านั้น หรือเป็นการถอยทางยุทธวิธี มิได้ตั้งใจจะล้มเลิกโครงการแต่อย่างใด และเมื่อจังหวะและโอกาสอำนวย รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ก็พร้อมที่จะหยิบเอาโครงการดังกล่าวประเคนให้สหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้สังคมเห็นถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังหน้ากากดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าหากรัฐบาล มีจิตเป็นกุศลจริง ก็ย่อมไม่เร่งร้อนหรือออกอาการเร่งรีบขนาดนี้ หากแต่ควรจะต้องเปิดเผยรายละเอียดของโครงการดังกล่าวให้หมดเปลือก
แต่นับจากวันนั้นถึงวันนี้ สังคมไทยก็ยังไม่เคยได้เห็นรายละเอียดของโครงการดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือในวันที่เปิดอภิปรายเรื่องดังกล่าวในสภา เอกสารและรายละเอียดของโครงการที่แจกจ่ายให้กับ ส.ส.และ ส.ว.มีเพียงแค่กระดาษเพียงแผ่นเดียว ซ้ำร้ายเป็นเอกสารของโครงการเก่าที่ยุติลงไป แล้วอีกต่างหาก
เหมือนดังเช่นที่ นายตวง อันทะไชย ส.ว.กล่าวว่า รัฐบาลทำมักง่าย ทำโครงการใหม่ แต่ไม่ยอมทำรายละเอียด เอาเอกสารเก่าแผ่นเดียวมาให้สมาชิก รัฐบาลต้องกล้าให้สภาดูเอกสารรายละเอียด บทความคิดเห็น รวมถึงข้อกังวลต่างๆของสังคม เช่นความมั่นคงภายในและภายนอกประเทศ หรือความสัมพันธ์ระหว่างจีนว่าจะทำอย่างไรกับมหาอำนาจสองประเทศ ระหว่าง จีนกับสหรัฐฯ และต้องแสดงให้เห็นว่าหากทำโครงการนี้แล้วจะมีอะไรมากกว่านี้ เช่นน้ำจะท่วมกทม.หรือไม่ และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตามมาตรา179 ประชาชนจะมีส่วนร่วมโดยตรงอย่างไรกับการตัดสินใจของรัฐบาล
นอกจากนี้ สิ่งที่สังคมเคลือบแคลงใจก็คือ ทำไมรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ถึงเลือกที่จะประชุมรัฐสภาโดยใช้มาตรา 179 ซึ่งเป็นการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วโครงการดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความเห็นชอบด้วยการลงมติของรัฐสภาเพราะเป็นโครงการที่มีผลผูกพันระหว่างประเทศตามมาตรา 192 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ด้วยท่าทีของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารที่สอดคล้องกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทำให้สังคมอดจับตามองไม่ได้ว่า มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ โดยเฉพาะวาระซ่อนเร้นที่ขับเคลื่อนและบงการโดยนายใหญ่ของคนเสื้อแดง เนื่องเพราะมีความเป็นไปได้สูงว่า จะมีความโยงใยถึงธุรกิจพลังงานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
เพราะต้องไม่ลืมว่า โครงการนี้สหรัฐฯ ยังมิได้แสดงเจตจำนงอย่างเป็นทางการสำหรับการนำเสนอโครงการดังกล่าวต่อรัฐบาลไทยเสียด้วยซ้ำไป แต่ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์กลับทำตัวเสมือนรู้ล่วงหน้าว่า สหรัฐฯ จะเข้ามาขอใช้ในปี 2556 อีกครั้ง เหมือนดังเช่นที่ เสี่ยปึ้งไส้อั่ว-นายสุรพงษ์ โตวิจักษณชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า “แม้ปีนี้นาซาไม่สามารถดำเนินการในไทยได้ แต่จากกรณีนายกฯได้หารือกับนางฮิลลารี่ คลินตัน รมว.การต่างประเทศสหรัฐอมริกา และเขาก็เข้าใจในเรื่องปัญหาการเมือง แต่เราก็สรุปไปว่าต้องการให้มีโอกาสทำเรื่องนี้อีกครั้ง ทางสหรัฐฯ บอกว่าหากปีหน้ามีงบประมาณก็มีความเป็นไปได้ว่าจะทำโครงการในไทย”
นายสุรพงษ์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กันแน่
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันประชุมรัฐสภาร่วมจริง สังคมก็ยิ่งรับรู้ถึงความผิดปกติที่ชัดเจนขึ้น เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนคณะรัฐมนตรีก็ได้นำเสนอรายละเอียด พร้อมทั้งเล่นบทถนัดด้วยการโจมตีฝ่ายตรงกันข้ามว่า “ไทยเสียโอกาสที่จะมีสิ่งดีๆมาดำเนินการในครั้งนี้เพราะมีการบิดเบือนว่าประเทศไทยได้เสียอธิปไตยและได้ยกสนามบินอู่ตะเภาให้กับสหรัฐอเมริการวมไปถึงจะมาทำการจารกรรมข้อมูลของไทย ทั้งหมดล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น รัฐบาลรับตระหนักและรับฟังความคิดเห็นมาโดยตลอด
สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อ.สุกำพลที่เป็นไปในทำนองเดียวกันว่า “นาซาบอกว่าไปดวงจันทร์ ง่ายกว่ามาประเทศไทยเสียอีก”
แถมน้องรักชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบกก็มีท่าทีสนับสนุนรัฐบาล พร้อมทั้งเล่นบทถนัดคือข่มขู่สื่อด้วยการกล่าวหาว่า การ วิพากษ์วิจารณ์ของสื่อทำให้ผลประโยชน์ของประเทศชาติเสียหาย
ขณะเดียวกัน ร.ต.อ.เฉลิมก็สวมวิญญาณผีโม่แป้งด้วยการงัดวิชาก้นหีบออกมาเพื่อพยายามโน้มนำให้สภาเห็นว่า โครงการดังกล่าวไม่ได้เป็นโครงการ ที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา190แต่อย่างใด พร้อมทั้งพยายามชักจูงให้สมาชิกรัฐสภาลงความเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องขอความเห็นและมีการลงมติจากรัฐสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะในการนำเรื่องการสู่การพิจารณาของรัฐสภาร่วมในครั้งนี้ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์อาศัยบทบัญญัติตามมาตรา 179 ซึ่งเป็นการประชุมที่อนุญาตเพียงแค่ให้เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ต้องลงมติเท่านั้น
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยมั่นใจว่า ไม่เข้าข่ายมาตรา 190 ก็สามารถดำเนินการได้ทันที แต่ ร.ต.อ.เฉลิมพยายามเล่นบทศรีธนญชัยให้มีการใช้พวกมากลากไปเพื่อให้โครงการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงให้ได้ ทั้งๆ ที่ ร.ต.อ.เฉลิมจบดอกเตอร์ทางด้านกฎหมายและรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถทำได้
ด้วยท่าทีอันผิดปกติและพิรุธของนักการเมืองในระบอบทักษิณทำให้สังคมไม่สามารถไว้วางใจได้ว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่มุ่งเน้นพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียว เพราะเมื่อพิจารณาบริบทรอบข้างแล้ว มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะมีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองและการทหาร รวมกระทั่งถึงธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวข้องกับนายใหญ่ของคนเสื้อแดง
แถมวาระซ่อนเร้นดังกล่าวน่าจะเป็นวาระซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา หากแต่มีเดิมพันก้อนโตมาล่อใจ ไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงไม่ด้านหน้ากันออกเป็นองครักษ์พิทักษ์นาซากันอย่างอึกทึกคึกโครมขนาดนี้
ไม่เช่นนั้นแล้วนางสาวยิ่งลักษณ์คงไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีถึงขนาดเอ่ยปาก “ขอโทษ” เมื่อครั้งเดินทางไปประเทศสหรัฐฯ
งานนี้ เห็นทีประเทศไทยคงต้องเสียสนามบินอู่ตะเภาให้กับสหรัฐฯ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว
หมายเหตุ : เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีของ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกิจกกรรมในแฟนเพจ เพื่อชิงรางวัลอันทรงคุณค่า กับคำถามที่ว่า "ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คิดว่าเธอเหมาะกับอาชีพใดมากที่สุด "