ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กร่างและอหังการสมราคาเสียเหลือเกินกับท่าทีของ เป็ดเหลิม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรีที่ล่าสุด ได้กล่าวในงานบรรยายพิเศษเรื่องการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สโมสรตำรวจ เมื่อคืนวันที่ 28 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา
ชนิดที่นายใหญ่ฟังแล้วคงไม่มีวันที่จะเด้งเป็ดเหลิมพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างแน่นอน แถมดีไม่ได้ยังอาจได้กลับไปนั่งเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ฝันหวานเอาไว้ ควบรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะอยู่เป็นรัฐบาลยาว ฉะนั้นตำรวจที่ไปอยู่ข้างพรรคประชาธิปัตย์ทำใจเถอะน้อง น้องแทงไฮโลผิด พ่ายแพ้แทงผิดเจ้ามือจึงกินรวบ ตำรวจบางคนไม่ไหวจริงๆ เกินเหตุ ผมขอให้ตำรวจเป็นกลาง แต่อยู่ข้างพรรคเพื่อไทย โดยมีภารกิจคือเอาพี่กลับบ้าน ใครเห็นด้วยปรบมือขึ้น" ร.ต.อ.เฉลิมระบุ ซึ่งก็เรียกเสียงปรบมือจากตำรวจมะเขือเทศน้อยใหญ่ดังลั่นสนั่นห้องประชุมกันเลยทีเดียว
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่า นั่นคือคำประกาศที่น่าอดสูที่สุดเพราะคำพูดของเป็ดเหลิมที่ได้เชิญชวนให้ตำรวจทำตัวเป็นกลาง แต่เลือกข้างพรรคเพื่อไทย โดยมีภารกิจคือเอาพี่กลับบ้านนั้นหมายความถึงการเอา นช.ทักษิณ กลับบ้านนั่นเอง ซึ่งก็คงต้องฝากถามเป็ดเหลิมด้วยว่า ที่ นช.ทักษิณ อยากกลับประเทศไทย มีใครคนไหนเขาไปห้ามบ้าง เชื่อว่าประชาชนค่อนประเทศอยากเห็น นช.ทักษิณ กลับประเทศไทย มาเข้ากระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายไม่ใช่หนีหัวซุกหัวซุนสร้างความแตกแยกให้ประเทศไทยอยู่ร่ำไป
ทว่า ความจริงเหตุที่เป็ดเหลิมกล้าพูดเช่นนั้นต่อหน้าตำรวจก็เพราะดอกเตอร์ทางด้านกฎหมายผู้นี้รู้อยู่แก่ใจดีว่า ตำรวจเกือบจะทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติล้วนแล้วแต่เป็นตำรวจมะเขือเทศ
ยิ่งเมื่อตรวจสอบการทำงานของตำรวจในยุครัฐบาลนี้ คงไม่ต้องเสียเวลาให้ เป็ดเหลิมออกมากร่างประกาศให้ข้าราชการแผ่นดินต้องเลือกข้าง เพราะเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ตำรวจในยุคนี้อยู่ข้างประชาชน หรือว่าอยู่ข้างใคร ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่เกิดเหตุการณ์ตีกันของกลุ่มคนเสื้อหลากสี และกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งที่ตำรวจก็ย่อมทราบถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง แต่ก็ยังปล่อยให้คนเสื้อแดงมาจนเกิดเหตุรุนแรงดังกล่าว และอีกในหลายกรณีที่ชัดเจนว่า ตำรวจภายใต้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมจะพลีกายทำงานถวายชีวิตเพื่อใคร
กรณีของพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบช.น.) ที่กล้านำรูป นช.ทักษิณติดยศให้มาประดับไว้ที่ห้องทำงาน รวมทั้งประโยคเด็ด “มีวันนี้เพราะพี่ให้” คือประจักษ์พยานที่สำแดงความเป็นมะเขือเทศที่ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว
นี่ไม่นับกรณีตำรวจรู้เห็นเป็นใจไม่สั่งให้กลุ่มคนเสื้อแดงหยุด ไม่ไปเผชิญหน้ากับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มเสื้อหลากสี ซึ่งไปให้กำลังใจ 'น.ส.มนัสนันท์ หนูดำ' อดีตครูโรงเรียนนานาชาติที่มีกำหนดจะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาในคดีหมิ่นประมาท 'เจ๊ดา' ดารุณี กฤตบุญญาลัย แกนนําคนเสื้อแดง ที่กองบังคับการปราบปราม เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วเรื่องนี้เป็นประเด็น 'การหมิ่นสถาบัน' ของ 'เจ๊ดา' จนเป็นที่มาของคำถามจากอาจารย์สาวว่า “ ด่าในหลวงทำไม? ”
ถ้าตำรวจไม่ใช่พวกเดียวกับคนเสื้อแดง เหตุการณ์ดังกล่าวย่อมไม่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ประกาศในงานอย่างไม่อายฟ้าดินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โทร.หาตนเองให้รักษาราชการแทน รมว.อีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งขอยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณรักในหลวง และเป็นเรื่องตลกที่มีกลุ่มบุคคลพยายามเอาผิดกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) ที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะผิดต่อหน้าที่ แต่โดยข้อเท็จจริงคือ ผบช.น.ไม่มีหน้าที่ในต่างประเทศ
แถมยังประกาศด้วยเสียงก๊าบๆ ดังสนั่นสโมสรตำรวจด้วยความภาคภูมิใจด้วยว่า วันที่ 4 ต.ค.นี้ ตนเองจะเดินทางไปฮ่องกง หากสื่อวิจารณ์ก็จะบอกว่าไปจริง แต่ไม่ได้เจอกับ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมทั้งโม้ทิ้งท้ายด้วยว่า อีก 1 สัปดาห์จะมีข่าวใหญ่กรณีรื้อคดีทุจริต 4,000 ล้านบาทของผู้ใกล้ชิด ส.ส.บางราย ที่คดีใกล้จะหมดอายุความแล้ว
ทั้งๆ ที่คนทั้งโลกรู้ดีว่า ภารกิจในการเดินทางไปฮ่องกงของผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรีผู้นี้มีเพียงประการเดียวคือการพบปะนายใหญ่ของคนเสื้อแดงพื่อรับคำสั่งในการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นหลักประกันในเก้าอี้รัฐมนตรีของตนเอง
ยังไม่พอ เป็ดเหลิม ยังออกอาการชมเชย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ที่เดินทางไปพบ นช.ทักษิณ เสียออกนอกหน้าว่าไม่มีหน้าที่ในต่างประเทศ ครั้นจะไปจับตัว นช.ทักษิณ ก็ไม่ใช่หน้าที่
เป็นการแก้ตัวที่คงต้องใช้คำว่าแถแบบหน้าด้านๆ คงจะเหมาะสมที่สุด เพราะประชาชนคนไทยยกเว้นคนเสื้อแดงก็รู้กันหมดประเทศอยู่แล้วว่า นช.ทักษิณ ถูกศาลตัดสินแล้วมี 2 คดีได้แก่ 1.คดีที่ดินรัชดา คุก 2 ปี 2.คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน ที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นตอนเป็นนายกฯขึ้นศาลแพ้คดีจาก7.6หมื่นล้านคืนให้3หมื่นล้าน
หลักฐานชัดเจนและถึงที่สุดตามคำพิพากษาขนาดนี้ ก็มิอาจหยุดการเชลียร์ขั้นเทพของ เป็ดเหลิมได้
และกล่าวสำหรับเป็ดเหลิมแล้วมาถึงวันนี้ก็คงไม่น่าแปลกใจ หากจะได้ดิบได้ดี เป็นเสมือนผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็คงเพราะว่ามีฝีปากในการเชลียร์และเอาใจนายใหญ่เช่นนี้หลายต่อหลายครั้งจนเป็นยี่ห้อเครื่องหมายการค้าส่วนตัวเขาไปแล้ว ที่ทำให้ได้ดิบได้ดีมาเป็นลำดับจนมาไกลขนาดนี้
ส่วนเรื่องนายใหญ่จะได้กลับมาแบบไม่ต้องรับโทษอะไรเลยนั้น คงต้องให้เป็ดเหลิมพร้อมตำรวจ อีก 2 แสนนาย ไปถามประชาชนทั้งประเทศด้วยว่า จะให้ทำอย่างนั้นหรือไม่ ไม่ใช่เล่นเอาคำพูดฝันเฟื่องมาหากินแบบนี้ทางการเมืองแบบนี้ คงต้องบอกว่าช่างน่าอดสูจริงๆ
หมายเหตุ : เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีของ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกิจกกรรมในแฟนเพจ เพื่อชิงรางวัลอันทรงคุณค่า กับคำถามที่ว่า "ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คิดว่าเธอเหมาะกับอาชีพใดมากที่สุด "