xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ศาลยกฟ้อง “สนธิ”คดี “ดาร์ ตอร์ปิโด”ตอกหน้าตำรวจรัฐไทยใหม่พิสูจน์ ม.112 ไม่ใช่ปัญหา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนธิ ลิ้มทองกุล
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-“การพูดของจำเลยสืบเนื่องมาจากการที่ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล พูดบนเวทีปราศรัย ที่ท้องสนามหลวง เป็นการพูดโดยถอดข้อความบางตอนมาสรุปให้ประชาชนฟัง โดยจำเลยเห็นว่าคำพูดของ น.ส.ดารณี เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และพระราชินี จึงเรียกร้องให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร.ขณะนั้น ให้ดำเนินคดีกับน.ส.ดารณี จึงเห็นได้ว่าการที่จำเลยสรุปคำพูดของน.ส.ดารณีเมื่อฟังโดยรวมแล้วเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับน.ส.ดารณี การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการขยายคำพูดของน.ส.ดารณีอันมีเจตนาโดยตรงเพื่อหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และพระราชินี การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ให้พิพากษายกฟ้อง”

นั่นคือคำพิพากษาของศาลอาญาในคดีหมายเลขดำที่ 2066/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 8 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังนำเอาคำปราศรัยของ “น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล” หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ที่พูดบนเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวงมาพูดซ้ำ ซึ่งเป็นคำพูดที่มีถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ชัดเจนและเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญยิ่งต่อการประกาศสงครามกับขบวนการล้มเจ้าและเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งไม่สนใจใยดีที่จะดำเนินคดีกับอ้ายอีที่ย่ำยีศูนย์รวมใจของพสกนิกรชาวไทย ทั้งๆ ที่รู้ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานอยู่ในมือถึงการกระทำความผิดดังกล่าว แต่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับอำนาจจากกฎหมาย

ขณะเดียวกันผลในคำพิพากษาของคดีดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นถึงความชั่วร้ายของระบบรัฐตำรวจที่มิได้คำนึงถึงเจตนาของผู้พูด หากแต่อาศัยช่องว่างทางกฎหมายเพื่อดำเนินคดีกับนายสนธิโดยมุ่งหวังเพียงแค่ปฏิบัติการรับใช้การเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตาเท่านั้น

เพราะถ้าหากเจ้าพนักงานสอบสวนมิได้รับใช้การเมืองอย่างบ้าคลั่งแล้ว ก็ย่อมจะต้องเข้าใจจิตเจตนาของนายสนธิที่หยิบยกเอาคำปราศรัยของดาร์ ตอร์ปิโดมาขยายความได้เป็นอย่างดี ดังคำพิพากษาของศาลอาญาที่ระบุว่า “จำเลยสรุปคำพูดของน.ส.ดารณีเมื่อฟังโดยรวมแล้วเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับน.ส.ดารณี”

ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่จะต้องถูกดำเนินคดีตามมาตรา 157 ด้วยข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่รับรู้ในคำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด

แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นกลับมิสนใจใยดี กระทั่งนายสนธิอดรนทนไม่ไหวจึงต้องนำถ้อยความดังกล่าวมานำเสนอเพื่อให้ลากคอนางสาวดารุณีมาลงโทษ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเพราะในที่สุดศาลอาญาก็มีคำพิพากษาจำคุกนางสาวดารุณีเป็นเวลา 18 ปี

ทว่า ผลของการหยิบยกในประเด็นดังกล่าวขึ้นมาก็ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเล่นงานนายสนธิไปพร้อมๆ กับนางสาวดารุณีด้วย โดยดำเนินคดีกับนายสนธิในข้อหาเดียวกัน จากนั้นพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 ก็ทำสำนวนเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายสนธิ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 8 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ทั้งนี้ คำบรรยายฟ้องของพนักงานอัยการระบุว่า จากกรณี “เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2551 ช่วงกลางคืน จำเลยได้ขึ้นเวทีปราศรัยกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยการกระจายเสียงทางเครื่องขยายเสียงท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนหลายคน อีกทั้งยังมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และทางอินเตอร์เน็ตผ่านทางเว็บไซด์ต์ของเอเอสทีวี ให้ประชาชนทั้งคนไทยและต่างชาติได้รับชมและรับฟังทั้งในและต่างประเทศ โดยจำเลยนำเอาคำปราศรัยของน.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือดา ตอร์ปิโด ที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 18 ปี ฐานหมิ่นเบื้องสูงแล้ว ที่พูดบนเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวงมาพูดซ้ำ ซึ่งเป็นคำพูดที่มีถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ

“การกระทำของจำเลยอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดจนบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย เหตุเกิดที่แขวง-เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จึงขอให้ลงโทษตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 8 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำเลยให้การปฏิเสธ”

และในท้ายที่สุดเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา ศาลอาญาก็มีคำพิพากษาออกมา โดยระบุว่า ......

“ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายแล้วเห็นว่า การพูดของจำเลยสืบเนื่องมาจากการที่ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล พูดบนเวทีปราศรัย ที่ท้องสนามหลวง เป็นการพูดโดยถอดข้อความบางตอนมาสรุปให้ประชาชนฟัง โดยจำเลยเห็นว่าคำพูดของ น.ส.ดารณี เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และพระราชินี จึงเรียกร้องให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร.ขณะนั้น ให้ดำเนินคดีกับน.ส.ดารณี จึงเห็นได้ว่าการที่จำเลยสรุปคำพูดของน.ส.ดารณีเมื่อฟังโดยรวมแล้วเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับน.ส.ดารณี การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการขยายคำพูดของน.ส.ดารณีอันมีเจตนาโดยตรงเพื่อหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และพระราชินี การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ให้พิพากษายกฟ้อง”

กระนั้นก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากจะลอกคราบตำรวจแห่งรัฐไทยใหม่แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ต้องการลงโทษอ้ายอีผู้ใดที่แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มิใช่ปัญหา ดังเช่นที่คณะนิติราษฎร์นำโดย “นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์” แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พยายามหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นและต้องการให้มีปัญหา

ทั้งนี้ เนื่องเพราะศาลยุติธรรมได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า การลงโทษขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นสำคัญ

นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า คำพิพากษาของศาลอาญาอยู่บนบรรทัดฐานที่ศาลเคยวินิจฉัยมาแต่เดิม เพราะก่อนหน้านี้มีหลายคดีที่ผู้ต้องหาอาจดูหมิ่นเหม่ส่อไปในทางหมิ่นเบื้องสูง แต่เมื่อดูข้อเท็จจริงไม่เข้าข่าย ศาลก็ยกฟ้อง ขณะที่คดีของนายสนธินั้น ต้องบอกว่าแปลกประหลาดตั้งแต่ขั้นดำเนินคดีแล้ว เพราะพนักงานสอบสวนและอัยการ ดูเจตนารมณ์ของผู้พูด ก็รู้ได้ว่าจงรักภักดี แต่อาจจะเพราะต้องการให้ทุกฝ่ายหยุดพูดถึงสถาบัน เลยสั่งดำเนินคดีโดยไม่ได้ดูที่เจตนารมณ์ หรือไม่ก็ต้องการเอาคดีนี้ผสมโรงไปกับฝ่ายที่ต้องการแก้มาตรา 112 ให้เห็นว่ามาตรานี้มีปัญหา

ที่สำคัญคือก่อนที่อัยการจะส่งฟ้อง นายสนธิได้ทำเรื่องร้องขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุด และได้ทำเรื่องถวายฎีกาผ่านทางสำนักราชเลขาธิการว่าถูกกลั่นแกล้ง แต่พนักงานอัยการก็ไม่รอหนังสือตอบรับจากสำนักราชเลขาธิการ กลับรีบสั่งฟ้องเลย ดูแล้วมีเจตนาจะให้นายสนธิโดนโทษจำคุกให้ได้

“จากคำพิพากษานี้เห็นได้ว่ามาตรา 112 ไม่ได้เป็นตัวปัญหา แต่ใครจะใช้เพื่อกลั่นแกล้งคนอื่นมันขึ้นกับสันดานคน ไม่ใช่ตัวกฎหมาย”นายประพันธ์แสดงความคิดเห็น

ด้าน นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ให้ความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า คดีนี้ถือเป็นคดีใหญ่ เนื่องจาก 4-5 ปีมานี้ พิสูจน์ให้เห็นว่านายสนธิเป็นคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ แล้วไม่ว่าใครจะเกลียดหรือชอบ ก็ต้องยอมรับว่าจนถึงทุกวันนี้ นายสนธิก็ยังเป็นคนที่สามารถระดมคนให้ออกมาชุมนุมได้จำนวนมาก ยุทธศาสตร์ ซื้อ ฆ่า ขังนายสนธิมีอยู่ตลอดเวลา ขบวนการเอาติดคุกจึงมีร้อยแปด แล้วใช่ว่าจะรอด ท้ายที่สุดอาจจะโดนสักดอกสองดอก หลังๆ มีคดีที่ศาลไม่รอลงอาญา แล้วยังมีคดีหมิ่นประมาทรออยู่อีกเพียบ

ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีคนต้องการให้ยกเลิกมาตรา 112 หากนายสนธิถูกจำคุกจะถูกนำไปเชื่อมโยงว่ากฎหมายมาตรานี้มีปัญหาเพราะไม่ว่าจะเจตนาอย่างไรโดนหมด ที่สำคัญต่อไปคนที่รักสถาบันฯ ทำได้แต่รักอยู่ในใจ แต่ในขณะที่คนไม่รักพูดกันอย่างเปิดเผย

ทั้งนี้ กล่าวสำหรับนายสนธินั้น ภายหลังศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ก็ได้มีความเห็นบางประการซึ่งมีนัยสำคัญไม่น้อย

“มีกระบวนการที่พยายามจะนำผมเข้าคุกให้ได้ วันนี้ขอขอบคุณศาลที่ตัดสินโดยไม่หวั่นไหว ตัดสินบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ส่วนคดีที่เหลือหากศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุกผมก็จะไม่หลบหนียืนยันจะเดินเข้าคุกอย่างแน่นอน”

โดยเฉพาะข้อความที่ว่า “มีกระบวนการที่พยายามจะนำผมเข้าคุกให้ได้” ซึ่งนั่นสะท้อนให้เห็นถึงภยันตรายที่คุกคามกระบวนการยุติธรรม และจำเป็นที่จะต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไปว่า “ใคร” อยู่เบื้องหลังความพยายามที่จะนำนายสนธิเข้าคุก

ยิ่งในยุคที่ตำรวจแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคนเสื้อแดงเช่นนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความสุ่มเสี่ยงมากขึ้นไปอีกหลายเท่า

หมายเหตุ : ตอนนี้ 'ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีแฟนเพจแล้วนะครับ ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นกันได้ที่ http://www.facebook.com/#!/Astvmanagerweekend
กำลังโหลดความคิดเห็น