ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงดาหน้าออกมาตอบโต้รายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) . ซึ่งมี “นายคณิต ณ นคร” เป็นประธาน ซึ่งยืนยันการดำรงอยู่ของชายชุดดำ
ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับ “โห่ร้องดีใจ” กันทั้งแผ่นดินหลังจากที่ศาลอาญาอ่านคำสั่งในคดีหมายเลขทำที่ อช.2/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และนางหนูชิด คำกอง ภรรยาผู้ตายร่วมกันยื่นคำร้องขอให้ศาลชันสูตรสาเหตุการตายของ “นายพัน คำกอง” คนขับแท็กซี่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ซึ่งเสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียมใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ สถานีราชปรารภเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 โดยสรุปว่า นายพันเสียชีวิตจากการถูกกระสุนปืนกลเล็กขนาด .223 ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงครามขณะเจ้าพนักงานทหารกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบปิดล้อมพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)
ดังที่สหายปูน-ธิดาภรรยา นพ.เหวงให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ยินดีที่ศาลมีคำสั่ง ทำให้รู้สึกว่ายังมีความยุติธรรมอยู่ในเมืองไทย ซึ่งจะต้องทำให้ความจริงปรากฏและก็ไม่จำเป็นว่า ความจริงนั้นจะต้องถูกใจทุกคน ต้องการให้คดีเสื้อแดงคดีอื่นดำเนินไปตามที่ควรจะเป็น และถือว่า คำสั่งคดีที่ออกมานั้นจะเป็นบรรทัดฐานให้อีก 19 สำนวนกับผู้เสียชีวิตอีก 98 ศพ คดีอื่นๆ ด้วย”
แน่นอน คำถามที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า ทำไมแกนนำคนเสื้อแดงถึงดีใจกันนักหนาต่อคำสั่งคดีที่ออกมาจากศาลอาญา ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้ว คดีของนายพันแท็กซี่เสื้อแดง ศาลอาญามีแค่เพียงคำสั่งคดี มิได้มีคำพิพากษาตัดสินชี้ถูกชี้ผิด อย่างไร
คำตอบก็คือ พวกเขาต้องการใช้คดีของนายพันแท็กซี่เสื้อแดงไปขยายผลและโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง เพราะมีตราประทับจากศาลอันมีผลทางกฎหมาย ซึ่งก็สอดรับกับการที่สื่อมวลชนในสังกัดเจ้ามูลเมืองที่เลือกหยิบประเด็นดังกล่าวมาพาดหัวตัวเบ้อเริ่ม
หรือดังเช่นที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ให้ความเห็นชี้นำเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า คำสั่งศาลดังกล่าวจะนำไปสู่สำนวนฆาตกรรม ก็คือ มาตรา 288-289 ในประมวลกฎหมายอาญา
คำสรุปสั้นๆจากปากของ 'ธาริต เพ็งดิษฐ' ก็คือ"ทหารฆ่าประชาชน"โดยนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เป็นคนสั่งการ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว คำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงกระบวนการของศาลในการพิสูจน์ความผิดในเรื่องวิสามัญฆาตกรรม
ที่สำคัญคือแม้นายพันตายเพราะทหารยิงจริงๆ แต่ความจริงที่ต้องยอมรับเช่นกันก็คือ พื้นที่ที่รถตู้หมายเลขทะเบียน ฮค-8561 และนายพันเข้าไปนั้น คือพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งของ ศอฉ. ซึ่งทั้งผู้ขับรถตู้และนายพันมิอาจปฏิเสธการรับรู้ได้ เนื่องจากได้มีการใช้เครื่องขยายเสียงประกาศแจ้งเตือนเอาไว้แล้ว โดยผู้ที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีก็คือ นายคมสันติ ทองมาก ผู้สื่อข่าวสำนักงานเนชั่นทีวี ซึ่งบันทึกภาพเหตุการณ์เอาไว้ และนายอเนก ชาติโกฎิ พนักงานคอนโดมิเนียมไอดีโอ ซึ่งนายพันมาขอพักอยู่ที่สำนักงานขายก่อนถูกลูกหลงเสียชีวิต
แต่นั่นมิใช่สิ่งที่คนเสื้อแดงให้ความสนใจ เพราะสิ่งที่พวกเขาปรารถนามีเพียงแค่ นายพันเสียชีวิตจากการใช้อาวุธสงครามของทหารเพื่อเชื่อมโยงไปยังคดีความที่เหลือด้วยการมั่วนิ่มสรุปว่า ทุกศพเสื้อแดงเสียชีวิตจากการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยมีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นผู้สั่งการ ซึ่งในยุคที่ระบอบทักษิณเป็นใหญ่ในแผ่นดิน พวกเขาย่อมเชื่อมั่นว่า พวกเขาจะได้รับชัยชนะ
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นี่เป็น “เกมการเมือง” ที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อหา “ก่อการร้าย” และ “พาคนไปตาย” ที่ถูกดองเอาไว้โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษในขณะนี้
ขณะเดียวกันก็เป็นเกมการเมืองที่แกนนำคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยจะใช้ 'เล่นงาน' คู่ปรับทางการเมืองคนสำคัญอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่สำคัญยังสามารถใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรองในเรื่องการออก 'พ.ร.บ.ปรองดอง' ที่จะช่วยให้ 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' เจ้าของพรรคตัวจริง ได้รับการนิรโทษกรรม พ้นผิดจากคดีคอร์รัปชั่นซึ่งมีโทษจำคุกถึง 2 ปี เพราะก่อนหน้านี้ประชาธิปัตย์เป็นตัวตั้งตัวนี้ในการขัดขวางการออกกฎหมายฉบับนี้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
เฉกเช่นเดียวกับ “ทหาร” ที่ผลของคดีจะเป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองที่ทรงประสิทธิภาพ สามารถใช้ในการเจรจาแลกเปลี่ยนสารพัดข้อตกลงให้เป็นไปในทิศทางที่คนเสื้อแดงและรัฐบาลต้องการได้เป็นอย่างดี
แน่นอน 'บี๊กตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ผู้ที่รับหน้าที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นแม้จะไม่โดน 'เล่นงาน' ตรงๆ เนื่องเพราะฝ่ายการเมืองยังเกรงบารมีผู้บัญชาการเหล่าทัพที่มีกำลังทหารและรถถังอยู่ในมือ แต่บรรดาลูกน้องซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้น้อยที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในการเข้าควบคุมสถานการณ์รุนแรงในช่วงชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง ก็ถูกเรียกเค้นสอบกันหนาดำคร่ำเครียด ด้วยรัฐบาลที่มีเสื้อแดงหนุนหลังอย่าง รัฐบาลเพื่อไทยนั้นมีเป้าหมายปักธงชัดเจนว่าต้องการคำให้การที่ระบุว่า 'ทหารฆ่าประชาชน' เพราะผลของบริบทดังกล่าวจะนำไปสู่การเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพในฐานะ 'ผู้สั่งการ' ขณะเดียวกันก็เป็นการปรามกองทัพที่จะทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลภายใต้การนำของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร'
ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาจากทางขุนทหารบ้าง ทั้งๆ ที่ลูกน้องตนเองต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตไปไม่น้อย
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลของคดีที่ออกมาทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์อดตั้งคำถามถึงความเป็นผู้นำกองทัพไม่ได้ว่า ทำไมถึงปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้
“คำสั่งศาลนั้นทำให้ ศอฉ.หมดท่า ทำกองทัพพัง การที่ออกมารักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองกลับต้องตกเป็นคนผิด เพราะกองทัพไม่ปกป้องคนของตัวเอง ที่สำคัญต้องตั้งทนายเข้าไปถามค้านเพราะผลกระทบมันถึงกองทัพ ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกแล้วว่าต้องตั้ง ฝ่ายเสื้อแดงเขามีทั้งอัยการ มีนายโชคชัย อ่างแก้ว เป็นทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมาเป็นทนายของผู้ร้องร่วมในครั้งนี้ แต่กองทัพไม่มีใครเลย คงอาจไปถามผู้พิพากษาว่าตั้งได้หรือไม่ ตั้งไม่ได้ก็ไม่ตั้ง แต่ในทางอาญานั้นอะไรที่กฎหมายไม่ได้ห้ามไว้เราทำได้ และผู้พิพากษาแต่ละคนก็เห็นไม่ตรงกัน ฉะนั้นฟังแค่คนใดคนหนึ่งไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไปหลงคารม ร.ต.อ.เฉลิม ว่าจะไต่สวนเพียงแค่ตายเพราะเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่ไม่ลงลึกว่าใครทำ แต่ ร.ต.อ.เฉลิมไปคุมทนายและอัยการได้หรือ เรื่องนี้ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณเรียกพยานมาสอบเยอะมาก ถือว่าเป็นกำลังหลักในการชนะครั้งนี้เลย”
“ถ้าทหารมีทนายเข้าไปซักค้าน ข้อมูลตรงนี้จะเปลี่ยนเป็นว่านายพัน คำกอง เข้าร่วมชุมนุม ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องแบบนี้ แต่นี่ทหารไม่มีสิทธิพูด ไม่มีใครทำลายน้ำหนักพยานเลย พวกพูดโกหกมันก็พูดตามสบาย สร้างเรื่อง เยอะแยะ ไปหมด แล้วทีนี้ทหารจะอ้างว่าทำตามหน้าที่ไม่ได้เลย เพราะเป็นการยิงผู้บริสุทธิ์ “พอถึงขั้นนี้ต้องมีการหาตัวผู้ต้องหา ซึ่งนายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพจะรอด เพราะจากคำสั่งให้ปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก และไม่ได้สั่งให้ยิงพวกมุงดู แต่ที่ไม่รอดคือทหาร เพราะทำเกินกว่าเหตุ มันก็จะไล่ความผิดมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ผู้สั่งการตรงนั้นมาจนถึงคนปฏิบัติการ ครั้งนี้ทหารถูกหลอก กลายเป็นแพะ แล้วผลพิสูจน์อีก 35 ศพที่จะตามมาก็จะออกมาแนวเดียวกับคดีนี้”นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้ความเห็นถึงสิ่งที่แกนนำคนเสื้อแดงกำลังตั้งธงและขีดเส้นชี้นำคดีให้ไปในทิศทางนั้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากถามว่า ทำไมผลสรุปของคดีจึงออกมาเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องตอบว่า เป็นเพราะ 2 พระหน่อที่ชื่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ซึ่งถึงนาทีนี้หนุ่มหน้ามนคนหน้าหล่ออย่างอภิสิทธิ์ และนักการเมืองเก๋าเกมอย่างสุเทพ จะสำนึกได้ว่าการชะล่าใจ 'ปล่อยเสือเข้าถ้ำ ปล่อยตะกวดเข้าพง' นั้นนำมาซึ่งความวิบัติทั้งต่อตนเองและต่อพรรคมากน้อยขนาดไหน แต่ก็ดูจะสายไปเสียแล้ว หากวันนั้นรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เดินเข้าสู่ 'เกมปรองดอง' เพราะต้องการขยายฐานเสียงเอาใจคนเสื้อแดงที่เป็นรากหญ้าในแถบภาคอีสานซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็น 'จุดอ่อน' ของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่แอบซูเอี๋ยให้มีการปล่อยตัวผู้ก่อการร้าย ระดับแกนนำ นปช. ที่ปลุกปั่นสั่งการให้คนเสื้อแดงใช้ความรุนแรงป่าเถื่อนทำร้ายเจ้าหน้าที่และลุกฮือเผาขึ้นมาบ้านเผาเมือง
หากวันนั้นรัฐบาลประชาธิปัตย์เร่งรัดดำเนินคดีกับกลุ่มชายชุดดำที่ลอบสังหารนายทหารขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะคดีที่อุกอาจและสะเทือนใจเช่นกรณีสังหาร 'พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม' อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ หากวันนั้นรัฐบาลประชาธิปัตย์ดำเนินทุกอย่างไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ก็คงไม่มีวันนี้ วันที่ 'นายอภิสิทธิ์' และ 'นายสุเทพ' ต้องกลับกลายมาเป็น 'ผู้ต้องหา' ที่ถูกเรียกสอบเสียเอง
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ก็ไม่แน่นักว่าจะรอดพ้นจากชะตากรรมเช่นนั้น เพราะแม้ขณะนี้รัฐบาลเพื่อไทยจะยังหวั่นเกรงบารมีของ 'บิ๊กตู่'ในฐานะผู้นำเหล่าทัพ ที่สามารถตบเท้าปฏิวัติยึดอำนาจได้ทุกเวลา แต่วันใดที่ลงจากเก้าอี้ ผบ.ทบ.ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกพรรคเพื่อไทย 'เอาคืน' ด้วยข้อหาเดียวกับนายอภิสิทธิ์ เพราะแน่นอนว่าการเล่นงานนายทหารที่เป็นปฏิปักษ์กับคนเสื้อแดงอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมสามารถเรียกคะแนนนิยมและความศรัทธาจากคนเสื้อแดงที่ถูกล้างสมองว่า 'ทหารฆ่าประชาชน' ได้อย่างล้นหลาม เพราะนี่คือผลงานที่พรรคเพื่อไทยจะทำเพื่อเอาใจและ 'ล้างแค้น' ให้คนเสื้อแดง
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ยังคง 'ลอยตัว' นิ่งเฉยปล่อยให้พรรคเพื่อไทยและดีเอสไอเล่นงานนายทหารที่ลงไปปฏิบัติการกระชับพื้นที่ด้วยข้อหา 'ฆ่าประชาชน' โดยมิได้มีการปกป้องลูกน้องในสังกัด การที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เร่งรัดให้มีการติดตามดำเนินคดีกับ 'ชายชุดดำ' ที่สังหาร พล.อ.ร่มเกล้า และนายทหารที่เข้าไปควบคุมสถานการณ์ อย่างเหี้ยมโหด ย่อมเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของนายทหารซึ่งเป็นฝ่ายปฏิบัติทุกนาย
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยให้ทหารที่ต้องเสียงภัยเจ็บจริงตายจริง ลูกเมียของเขาในฐานะผู้สูญเสีย ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อเพียงลำพัง ปล่อยให้เสียงเพรียกขอความเป็นธรรมของภรรยานายทหารผู้เสียชีวิตจางหายไปในสายลม ขณะที่ พล.ต.ประยุทธ์เอาเวลาไปวางท่าสุดเท่ห์ถือปืนเพนต์บอล ถามว่าต่อไปนายทหารคนไหนจะมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทำงานให้ท่าน ?
หรือว่า จริงๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ดีแต่พูด คำรามจนคอแห้งและเก่งกล้าสามารถเพียงแค่ยิงปืนเพนต์บอลที่อยู่ในโลกแห่งความฝันเท่านั้น
ถึงวันนี้คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากมีคำถามสุดท้ายที่ส่งตรงไปถึง อดีตผู้มีอำนาจใน ศอฉ.ทั้ง 3 คน อย่างนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า “ไหวป่ะ”
หมายเหตุ : ขณะนี้ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีเว็บเพจแล้วนะครับ ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมพูดคุยและแสดงความคิดเห็นได้ที่ http://www.facebook.com/#!/Astvmanagerweekend