xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงของ “ชายชุดดำ”

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

เรื่องของ “ชายชุดดำ” กองกำลังติดอาวุธที่แฝงอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นจริงแล้วแทบจะไม่ต้องเถียงหรือพิสูจน์เลยว่ามีจริงหรือไม่ เพราะกองกำลังติดอาวุธกลุ่มนี้ปรากฏตัวผ่านสื่อทั้งในและต่างประเทศ

การแถลงของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) จึงเป็นเพียงการตอกย้ำความจริงที่ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่รับรู้อยู่แล้วเท่านั้นเอง

เป็นความจริงที่คนเขารู้และมองเห็นกันทั้งโลกอยู่แล้วจากภาพข่าวของสื่อมวลชน

ความจริงแล้วรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธถ้อยแถลงของ คอป.ได้เลย เพราะรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้แสดงตนเสมอมาว่า จะยอมรับแนวทางของ คอป. และหลายครั้งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเองก็ใช้ คอป.นี่แหละทิ่มแทงกลับไปที่พรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยซ้ำไปว่า ไม่ให้การสนับสนุนคณะกรรมการที่ตัวเองตั้งขึ้นมา ผิดกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่สนับสนุนแนวทางของ คอป.ทุกวิถีทาง

มีแต่นายเหวง โตจิราการ เท่านั้นที่ปฏิเสธเสียงแข็งว่า ไม่มีชายชุดดำ กระทั่งปฏิเสธว่า เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลนั้นไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดงด้วยซ้ำไป คำพูดของนายเหวงนี่แหละครับที่เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆ ว่า ถ้าจะมีคนชุดดำจริงก็เป็นเรื่องของเสธ.แดงไม่เกี่ยวกับ นปช.กล้าปฏิเสธขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว ทั้งๆ ที่คนเขารู้กันทั้งโลกว่าเป็นพวกเดียวกัน

แต่นายเหวงก็คือนายเหวง เพราะเป็นคนที่เคยขึ้นเวทีด่าทักษิณว่าเป็นคนเลว จากนั้นไม่นานก็ไปขึ้นเวทีบอกว่า ผมรักทักษิณก็ยังทำมาแล้วนั้นย่อมไม่มีราคาอะไร

คงไม่ต้องพูดถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งเป็นคนไม่มีความน่าเชื่อถือ เพราะก่อนที่จะลอกคราบเปลี่ยนสีนายธาริตเองก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมปฏิบัติการอยู่กับ ศอฉ.ด้วย

และไม่ต้องพูดถึงสื่อเสื้อแดงบางค่ายที่แกล้งหลับหูหลับตาถามหาชายชุดดำ

ถ้าจะอุปมาอุปไมยก็เปรียบเหมือนโจรปล้นร้านทอง กล้องวงจรปิดจับภาพโจรได้ชัดเจน แต่ดันมีคนตะแบงว่า ไม่มีโจรปล้น เพราะตำรวจจับโจรไม่ได้

ว่าไปแล้วกลุ่มผู้สื่อข่าวที่อยู่ในแนวทหารทั้งบริเวณสี่แยกคอกวัว และด้านโรงเรียนสตรีวิทยา เมื่อวันที่ 10 เมษายน ก็ล้วนแต่สัมผัสด้วยสายตาที่เหล่าทหารถูกยิงถล่มด้วยอาวุธสงครามล้มระเนนระนาด แถมยังปรากฏภาพข่าวทหารที่ถูกยิงแล้วช่วยกันลำเลียงขึ้นรถเพื่อไปส่งโรงพยาบาลถูกคนเสื้อแดงปิดล้อมและเอาตัวลงมากระทืบด้วยซ้ำไป

จริงอยู่ ณ วินาทีนั้นหลายคนอาจจะประหลาดใจและตกตะลึงว่าอาวุธหนักที่ยิงถล่มใส่แถวของทหารจนตายและบาดเจ็บจำนวนมากนั้นมาจากไหน แต่หลังเหตุการณ์สงบก็ปรากฏภาพของชายชุดดำที่ถืออาวุธสงครามวิ่งปะปนอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงเต็มไปหมด

ใบตองแห้ง ประชาไท สื่อที่รับใช้คนเสื้อแดงและผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ของพานทองแท้ ก็ยอมรับว่า ถ้าไม่ตะแบง เราต้องยอมรับว่าชายชุดดำมีจริง แต่ใบตองแห้งโยนว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบเป็นหลัก คือรัฐบาลและกองทัพที่ตัดสินใจใช้กำลังเข้าปราบโดยใช้กระสุนจริง

คำพูดดังกล่าวของใบตองแห้งดูจะขัดแย้งอยู่ในตัวและน่าขันไม่น้อย คือ ยอมรับว่า คนเสื้อแดงมีชายชุดดำติดอาวุธแฝงตัวอยู่ แต่กลับเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กระสุนยางมาสลายการชุมนุม

กลายเป็นยอมรับว่าผู้ชุมนุมมีกองกำลังติดอาวุธแฝงตัวอยู่จริง แต่รัฐบาลควรใช้กระสุนยางไปต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธนั้น หรือพูดราวกับว่าถึงผู้ชุมนุมจะมีกองกำลังชายชุดดำติดอาวุธ แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็ควรใช้กระสุนยางไปปราบ

จริงแล้วเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายนที่เห็นทหารถูกยิงล้มระเนนระนาดนั่นแหละที่ทหารเข้าไปสลายการชุมนุมด้วยโล่และกระบอง แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์ที่ทหารพลาดท่าและบาดเจ็บล้มตายในวันนั้นแล้วก็พิสูจน์อย่างชัดแจ้งว่า กองกำลังของคนเสื้อแดงนั้นมีกองกำลังติดอาวุธหนุนหลังอยู่ เป็นไปตามคำประกาศของแกนนำเสื้อแดงบางคนที่กล่าวบนเวทีอย่างเปิดเผยก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำไปว่า จะมีกองกำลังติดอาวุธมาช่วย

หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน อาวุธจำนวนมากของทหารถูกคนเสื้อแดงยึดไป และจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ได้คืนมา

ดังนั้นเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนที่เป็นปมเหตุการปรากฏตัวของกองกำลังติดอาวุธของคนเสื้อแดงนั่นแหละที่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องใช้กองกำลังติดอาวุธเข้าไปสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง เพียงแต่ว่า เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า การใช้อาวุธนั้นเป็นการใช้อาวุธเพื่อต่อสู้กับกองกำลังที่ติดอาวุธ และไม่ได้ใช้อาวุธเกินความจำเป็น

ตอนนั้นต้องยอมรับนะครับว่า ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายรัฐบาลมีทางเดียวเท่านั้นคือ ต้องสลายการชุมนุมเพราะการชุมนุมครั้งนั้นพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่การชุมนุมด้วยความสงบอหิงสา มีเหตุการณ์การยิงเอ็ม 79 ออกจากที่ชุมนุมของคนเสื้อแดงหลายครั้งหลายหนและมีทั้งประชาชนและตำรวจที่เสียชีวิต

และมีเหตุการณ์ใช้อาวุธสงครามยิงถล่มในที่ต่างๆ หลายต่อหลายครั้ง รวมถึงความพยายามระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูงด้วย

พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าหน้าที่รัฐก็มีหน้าที่ที่จะต้องนำความสงบเรียบร้อยกลับคืนสู่บ้านเมือง และคงไม่มีชาติไหนในโลกหรอกครับที่ยอมให้มีกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐ

แต่ถ้าถามว่าปฏิบัติการสลายการชุมนุมที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เป็นเรื่องที่น่าสลดและน่าสะเทือนใจหรือไม่ คำตอบก็คือว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในชาติอย่างแน่นอน แต่ขณะนั้นมีทางออกไหนบ้างละครับที่ยับยั้งความรุนแรงได้ เพราะความจริงแล้วตอนนั้นรัฐบาลอภิสิทธิ์เองก็ยอมรับข้อเสนอยุบสภาเพื่อแลกกับการยุติการชุมนุมด้วยซ้ำไป แต่ฝ่ายแกนนำที่ชุมนุมต่างหากต้องการชัยชนะที่เบ็ดเสร็จและไม่ยอมรับข้อเสนอยุติการชุมนุม

ถ้าใครได้อ่านจดหมายเปิดผนึกของนายวิสา คัญทัพหนึ่งในแกนนำผู้ชุมนุมหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น นายวิสาเองยอมรับว่า ความดื้อดึงของแกนนำนี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เพราะแกนนำต้องการชัยชนะที่มากกว่านั้น

ส่วนเรื่องใครเผานั้นไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ เพราะมีภาพข่าวปรากฏอยู่ทั่วไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าใครเผาช่อง 3 เผาที่อนุสาวรีย์ชัยฯ หรือเผาศาลากลางในหลายจังหวัด ผมเห็นแกนนำเสื้อแดงไม่ได้ปฏิเสธในที่เหล่านี้เลย ยกเว้นเซ็นทรัลเวิลด์ที่เดียวที่ไม่สามารถจับได้คาหนังคาเขา แม้จะมีภาพฟ้องอยู่เห็นๆ

สำหรับคดีความต่างๆ จะเดินไปอย่างไรนั้น ผมคิดว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเรารู้กันอยู่ว่า ตำรวจ อัยการ และดีเอสไอที่เข้ามามีส่วนร่วมในการทำคดีต่างๆ นั้นเลือกข้างฝ่ายไหน

ชายชุดดำนั้นมีอยู่จริงแน่แท้อยู่แล้ว คอป.เพียงแต่ชี้ชัดให้รู้แท้เสียทีว่า ความรุนแรงนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อกองกำลังติดอาวุธแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงปรากฏตัวขึ้นนั่นแหละ

และที่คนเสื้อแดงประกาศไม่ยอมรับคำแถลงของ คอป.ก็ไม่ใช่เรื่องนอกเหนือความคาดหมาย เพราะสำหรับพวกเขาแล้วจะยอมรับเฉพาะที่ตัวเองได้ประโยชน์เท่านั้นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น