ASTVผู้จัดการรายวัน- บล.เอเซีย พลัส แจง ปรับลดลงทุนหุ้นไทย หันเพิ่มลงทุนต่างประเทศ เหตุราคาไม่แพง-ผลประกอบการเติบโต เชื่อหากดัชนีตลาดหุ้นไทยดีถึงสิ้นปีนี้ เตือนนักลงทุนให้ระวังปีหน้าอาจแย่ ด้านหุ้นไทยวานนี้(03ก.ย.) บวก 8 จุด รับข่าวเฟดอาจมีการออกมาตตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการลดพอร์ตการลงทุนหุ้นในประเทศลง และได้มีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจาก จากปัญหาเศรษฐกิจโลก และยุโรปมีปัญหานั้น ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลง โดยหุ้นที่บริษัทเข้าไปลงทุนนั้นอยู่ในสหรัฐอเมริกา จากเป็นหุ้นขนาดใหญ่มีดีและเบรนด์ดัง ซึ่งผลประกอบการไม่ได้มีการปรับตัวลดลง โดยหุ้นไทยขณะนี้ไม่ถูกแล้ว แต่สามารถเข้าลงทุนได้ โดยจะต้องเลือกลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว
"พอร์ตการลงทุนของบริษัทนั้นมีการลงทุน ใน 3 ส่วน คือ การปล่อยมาร์จิ้นโลนจำนวน 1,600-2,000 ล้านบาท ลงทุนหุ้น ทั้งสั้นและยาว บอนด์และ ฟิกอินคัม รวมไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาทบางครั้งเกือบ 3 พันล้านบาท โดยพอร์ตการลงทุนหุ้นนั้นบริษัทมีการปรับลดสัดส่วนการลงทุนหุ้นไทยลง โดยหันเพิ่มลงทุนต่างประเทศมากขึ้น จากของดีและ ถูก ซึ่งลูกค้าของบริษัทมีการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยวอลุ่มเทรดต่างประเทศ80% นั้นจะเทรดที่สหรัฐ "นายก้องเกียรติ กล่าว
สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส3/55 ปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส2/55 และ คาดว่าในช่วงไตรมาส4/55 แต่สในปีหน้าจะต้องระวัง เพราะ ไม่มีอะไรดีตลอด จากเรื่องปัจจัยยุโรป และ จีน ที่เศรษฐกิจจะมีการชะลอตัวลง ขณะที่สเปน อิตาลี นั้นอาจจะมีปัญหาเศรษฐกิจมีมากขึ้นในอนาคต ซึ่งแม้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะมีการฟื้นตัวจริง แต่จากการที่สหรัฐอเมริกาจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น โดยนักวิเคราะห์มองว่าหากนาย บารักโอบามา ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีก็จะส่งผลดีกับตลาดหุ้น ซึ่งจะต้องมีการติดตาม
ทั้งนี้จากที่ทิศทางภาวะหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ดีนั้น ทำให้บริษัทคาดว่าผลประกอบการของบริษัทน่าจะดี จากวอลุ่มการซื้อขายและการทำธุรกรรมอื่นๆของบริษัทจะดีขึ้น แต่รายได้ทั้งปีนี้จะดีกว่าปีก่อนหรือไม่นั้น ขณะนี้ตอบได้ยากเพราะ ภาวะตลาดตลาดมีความผันผวน แต่บริษัทจะมีการพยายามที่จะทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ แต่จะเป็นไปตามเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 505 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานจากนี้บริษัทจะเน้นในเรื่องการขยายธุรกิจอนุพันธ์ ซึ่งบริษัทเพิ่งรับทีมมาเพิ่ม ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทจะมีการเน้นในเรื่องบทวิเคราะห์ในการส่งให้ถึงมือนักลงทุนได้รวดเร็วมากขึ้น และ บริษัทมีการพัฒนาระบบไอที นอกจากนี้ บริษัทมีพัฒนาเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง)ให้มีการแนะนำการลงทุนอนุพันธ์ที่ดีกับลูกค้ามากขึ้น
ส่วนงานด้านวาณิชธนกิจนั้น ขณะนี้บริษัทมีงานในมือจำนวน 17 ดีล ทั้งที่ปรึกษาในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การควบรวมกิจการ และที่ปรึกษาอิสระอื่นๆ
**หุ้นบวก8จุดรับข่าวเฟดออกมาตรการ
ด้านหุ้นไทนวานนี้(3ก.ย.) ปิดที่ระดับ 1,235.48 จุด เพิ่มขึ้น 8.00 จุด หรือ0.65% มูลค่าการซื้อขาย 24,500.75 ล้านบาท เป็นการปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ทำให้เห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังขยายตัว อีกทั้งถ้อยแถลงประธานเฟดบางส่วนทำให้เชื่อว่าเฟดเตรียมพร้อมที่อาจจะมีมาตรการเพิ่มเติมออกมาเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นโดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,239.19 จุด และต่ำสุดที่ 1,229.15 จุด
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 330 หลักทรัพย์ ลดลง 218 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 150 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,809.34 ล้านบาท ปิดที่ 4.68 บาท เพิ่มขึ้น 0.36 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,105.62 ล้านบาท ปิดที่ 193.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 944.66 ล้านบาท ปิดที่ 337.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 935.18 ล้านบาท ปิดที่ 66.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท และ SCB มูลค่าการซื้อขาย 686.48 ล้านบาท ปิดที่ 151.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ดีเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก ภายหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ทำให้เห็นได้ว่าเศรษฐกิจกำลังจะขยายตัว อีกทั้งจากถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ที่มีบางส่วนทำให้เชื่อได้ว่าที่สุดแล้วสหรัฐฯคงมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเสริมให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น ตลาดฯจึงมองเชิงบวกเรื่องนี้ แม้มีประเด็นที่ทำให้ตลาดสะดุดไปบ้าง จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI)ภาคการผลิตของจีนงวดเดือนส.ค.ที่ออกมาต่ำกว่าระดับ 50 ทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัว แต่ที่สุดแล้วนักลงทุนกลับมาคิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จึงกลับเข้ามาซื้ออีกรอบ
สำหรับ แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(4 ก.ย.) ประเมินว่า ดัชนียังมีโมเมนตัมเป็นบวกอยู่ หลังจากที่สามารถยืนในแดนบวกในระดับสูงได้ พร้อมมองหุ้นในกลุ่มยานยนต์, อุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะเดินหน้าต่อไปได้ ภายหลังจากที่แบงก์ชาติประกาศตัวเลขเศรษฐกิจงวดก.ค.แล้วเห็นว่ากลุ่มดังกล่าวนี้ยังสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยให้กรอบการแกว่งของสัปดาห์นี้ด้วยแนวรับ 1,230 จุด แนวต้าน 1,240-1,250 จุด
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการลดพอร์ตการลงทุนหุ้นในประเทศลง และได้มีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจาก จากปัญหาเศรษฐกิจโลก และยุโรปมีปัญหานั้น ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลง โดยหุ้นที่บริษัทเข้าไปลงทุนนั้นอยู่ในสหรัฐอเมริกา จากเป็นหุ้นขนาดใหญ่มีดีและเบรนด์ดัง ซึ่งผลประกอบการไม่ได้มีการปรับตัวลดลง โดยหุ้นไทยขณะนี้ไม่ถูกแล้ว แต่สามารถเข้าลงทุนได้ โดยจะต้องเลือกลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว
"พอร์ตการลงทุนของบริษัทนั้นมีการลงทุน ใน 3 ส่วน คือ การปล่อยมาร์จิ้นโลนจำนวน 1,600-2,000 ล้านบาท ลงทุนหุ้น ทั้งสั้นและยาว บอนด์และ ฟิกอินคัม รวมไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาทบางครั้งเกือบ 3 พันล้านบาท โดยพอร์ตการลงทุนหุ้นนั้นบริษัทมีการปรับลดสัดส่วนการลงทุนหุ้นไทยลง โดยหันเพิ่มลงทุนต่างประเทศมากขึ้น จากของดีและ ถูก ซึ่งลูกค้าของบริษัทมีการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยวอลุ่มเทรดต่างประเทศ80% นั้นจะเทรดที่สหรัฐ "นายก้องเกียรติ กล่าว
สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส3/55 ปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส2/55 และ คาดว่าในช่วงไตรมาส4/55 แต่สในปีหน้าจะต้องระวัง เพราะ ไม่มีอะไรดีตลอด จากเรื่องปัจจัยยุโรป และ จีน ที่เศรษฐกิจจะมีการชะลอตัวลง ขณะที่สเปน อิตาลี นั้นอาจจะมีปัญหาเศรษฐกิจมีมากขึ้นในอนาคต ซึ่งแม้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะมีการฟื้นตัวจริง แต่จากการที่สหรัฐอเมริกาจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น โดยนักวิเคราะห์มองว่าหากนาย บารักโอบามา ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีก็จะส่งผลดีกับตลาดหุ้น ซึ่งจะต้องมีการติดตาม
ทั้งนี้จากที่ทิศทางภาวะหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ดีนั้น ทำให้บริษัทคาดว่าผลประกอบการของบริษัทน่าจะดี จากวอลุ่มการซื้อขายและการทำธุรกรรมอื่นๆของบริษัทจะดีขึ้น แต่รายได้ทั้งปีนี้จะดีกว่าปีก่อนหรือไม่นั้น ขณะนี้ตอบได้ยากเพราะ ภาวะตลาดตลาดมีความผันผวน แต่บริษัทจะมีการพยายามที่จะทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ แต่จะเป็นไปตามเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 505 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานจากนี้บริษัทจะเน้นในเรื่องการขยายธุรกิจอนุพันธ์ ซึ่งบริษัทเพิ่งรับทีมมาเพิ่ม ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทจะมีการเน้นในเรื่องบทวิเคราะห์ในการส่งให้ถึงมือนักลงทุนได้รวดเร็วมากขึ้น และ บริษัทมีการพัฒนาระบบไอที นอกจากนี้ บริษัทมีพัฒนาเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง)ให้มีการแนะนำการลงทุนอนุพันธ์ที่ดีกับลูกค้ามากขึ้น
ส่วนงานด้านวาณิชธนกิจนั้น ขณะนี้บริษัทมีงานในมือจำนวน 17 ดีล ทั้งที่ปรึกษาในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การควบรวมกิจการ และที่ปรึกษาอิสระอื่นๆ
**หุ้นบวก8จุดรับข่าวเฟดออกมาตรการ
ด้านหุ้นไทนวานนี้(3ก.ย.) ปิดที่ระดับ 1,235.48 จุด เพิ่มขึ้น 8.00 จุด หรือ0.65% มูลค่าการซื้อขาย 24,500.75 ล้านบาท เป็นการปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ทำให้เห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังขยายตัว อีกทั้งถ้อยแถลงประธานเฟดบางส่วนทำให้เชื่อว่าเฟดเตรียมพร้อมที่อาจจะมีมาตรการเพิ่มเติมออกมาเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นโดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,239.19 จุด และต่ำสุดที่ 1,229.15 จุด
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 330 หลักทรัพย์ ลดลง 218 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 150 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,809.34 ล้านบาท ปิดที่ 4.68 บาท เพิ่มขึ้น 0.36 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,105.62 ล้านบาท ปิดที่ 193.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 944.66 ล้านบาท ปิดที่ 337.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 935.18 ล้านบาท ปิดที่ 66.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท และ SCB มูลค่าการซื้อขาย 686.48 ล้านบาท ปิดที่ 151.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ดีเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก ภายหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ทำให้เห็นได้ว่าเศรษฐกิจกำลังจะขยายตัว อีกทั้งจากถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ที่มีบางส่วนทำให้เชื่อได้ว่าที่สุดแล้วสหรัฐฯคงมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเสริมให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น ตลาดฯจึงมองเชิงบวกเรื่องนี้ แม้มีประเด็นที่ทำให้ตลาดสะดุดไปบ้าง จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI)ภาคการผลิตของจีนงวดเดือนส.ค.ที่ออกมาต่ำกว่าระดับ 50 ทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัว แต่ที่สุดแล้วนักลงทุนกลับมาคิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จึงกลับเข้ามาซื้ออีกรอบ
สำหรับ แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(4 ก.ย.) ประเมินว่า ดัชนียังมีโมเมนตัมเป็นบวกอยู่ หลังจากที่สามารถยืนในแดนบวกในระดับสูงได้ พร้อมมองหุ้นในกลุ่มยานยนต์, อุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะเดินหน้าต่อไปได้ ภายหลังจากที่แบงก์ชาติประกาศตัวเลขเศรษฐกิจงวดก.ค.แล้วเห็นว่ากลุ่มดังกล่าวนี้ยังสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยให้กรอบการแกว่งของสัปดาห์นี้ด้วยแนวรับ 1,230 จุด แนวต้าน 1,240-1,250 จุด