“โกลบอล คอนเน็คชั่น” เปลี่ยนสินค้าขาย โยกจากเครือ SCG เป็นกลุ่ม ปตท. แทน ยอมรับมีผลต่อยอดขายในปีนี้ลดลง10-15% แตต่จะฟื้นตัวภายในครึ่งปีหลังลูกค้าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และยอมรัในสินค้าใหม่ ดันปีหน้าโตเพิ่ม 8-10% ผู้บริหารยืนยันปันผลไม่มีงด จ่ายเหมือนเดิมรอบแรก0.17 บาท
นายสมชาย คุลีเมฆิน ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โกลบอล คอนเน็คชั่น (GC) เปิดเผยว่า การที่บริษัทได้เปลี่ยนการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากเดิม คือ บริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ จำกัด ในเครือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCG) มาเป็น บริษัท พีทีที โพลิเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด บริษัทในเครือ บมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะมีผลให้ยอดขายของบริษัทในปีนี้ลดลง 10-15% จากปีก่อน ที่มีประมาณ 2,700 ล้านบาท แต่จะมีผลให้กำไรสุทธิลดลงเล็ก โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือนเพื่อให้ลูกค้าปรับเปลี่นมาใช้สินค้าใหม่ ซึ่งจะทำให้ผลดำเนินงานกลับสู่ภาวะปกติ หรือเติบโต 80-10% ในปี2556
ทั้งนี้ GC มองว่า การปรับเปลี่ยนไปเป็นตัวแทนจำหน่ายให้แก่กลุ่ม ปตท. จะส่งผลดีในระยะยาวต่อบริษัทมากกว่าเดิม โดยเฉพาะในเรื่องตัวผลิตภัณฑ์สินค้าที่จะมีความหลากหลายมากขึ้น หมายถึงโอกาสในการขยายตลาดของบริษัทในอนาคต ดังนั้น เรื่องดังกล่าวจึงทำให้บริษัทมุ่งเป้าพัฒนา และวางรากฐานทางธุรกิจในประเทศให้มั่นคงเสียกอ่นที่จะเริ่มให้ไปลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศ ตามกระแสการเปิดเขตการค้าเสรีในอนาคต โดยยอดขายหลักของบริษัท 90% มาจากในประเทศ ขณะที่ยังมีการส่งออกน้อยมาก
สำหรับในปีนี้ GC มีการลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และมุ่งเน้นการลงทุนด้านบุคลากรเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเปิดกว้างการควบรวมกิจการกับพันธมิตรทั้งในรูปแบบมีพันธมิตรเข้ามาถือหุ้น หรือในรูปแบบเข้าไปซื้อกิจการของบริษัทอื่นๆ ภายใต้เงื่อนไขให้ประโยชน์แก่บริษัทและผู้ถือหุ้นมากที่สุด โดยซีอีโอ GC ยืนยันว่า หากมีผู้สนใจเข้าซื้อตนเองก็พร้อมจะพิจารณา หากการควบรวมนั้นเกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย และธุรกิจของบริษัทสามารถเติบโตไปต่อได้ในระยะยาว ล่าสุด ยอมรับว่า มีกองทุนส่วนบุคคลเข้ามาสอบถามข้อมูลบริษัทเพื่อพิจารณาลงทุนเช่นกัน
ส่วนความกังวลในเรื่องอัตรากำไรขั้นต้น หลังจากเปลี่ยนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าจากเครือ SCG เป็นกลุ่ม ปตท.นั้น GC ยืนยันว่า อัตรากำไรขั้นต้นของทั้ง 2 แห่งอยู่ในระดับเดียวกันจึงไม่มีผลกระทบต่อการขายแน่
ล่าสุด ผลประกอบการไตรมาส 2/55 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 16.4 ล้านบาท ลดลง 2.28% เมื่อเทียบกับ 16.8 ล้านบาทในไตรมาส 2/54 เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับลดลง ค่าใช้จ่ายในส่วนของเงินเดือนพนักงานที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดขายในไตรมาสเดียวกันของบริษัทวเพิ่มขึ้น 13.19% จาก 917.4 ล้านบาทในไตมาส 2/54 มาเป็น 1,038.5 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน สำหรับการจ่ายเงินปันผล ผู้บริหาร GC ย้ำว่า แม้การเปลี่ยนสินค้าจำหน่ายจะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจช่วงนี้ แต่การจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นยังมีอยู่เช่นเดิม คือ 2 ปีต่อครั้ง ซึ่งล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2555 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลกำไรจากการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2555 ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท จำนวน 200 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 34 ล้านบาท และเชื่อว่า ในครึ่งปีหลังจะมีการจ่ายปันผลอีกครั้งแน่ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัทอีกครั้งว่าจะจ่ายปันผลในอัตราเท่าใด แต่ในปัจจุบัน บริษัทยังมีกำไรสะสมเก็บไว้กว่า 100 ล้านบาท
นายสมชาย คุลีเมฆิน ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โกลบอล คอนเน็คชั่น (GC) เปิดเผยว่า การที่บริษัทได้เปลี่ยนการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากเดิม คือ บริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ จำกัด ในเครือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCG) มาเป็น บริษัท พีทีที โพลิเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด บริษัทในเครือ บมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะมีผลให้ยอดขายของบริษัทในปีนี้ลดลง 10-15% จากปีก่อน ที่มีประมาณ 2,700 ล้านบาท แต่จะมีผลให้กำไรสุทธิลดลงเล็ก โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือนเพื่อให้ลูกค้าปรับเปลี่นมาใช้สินค้าใหม่ ซึ่งจะทำให้ผลดำเนินงานกลับสู่ภาวะปกติ หรือเติบโต 80-10% ในปี2556
ทั้งนี้ GC มองว่า การปรับเปลี่ยนไปเป็นตัวแทนจำหน่ายให้แก่กลุ่ม ปตท. จะส่งผลดีในระยะยาวต่อบริษัทมากกว่าเดิม โดยเฉพาะในเรื่องตัวผลิตภัณฑ์สินค้าที่จะมีความหลากหลายมากขึ้น หมายถึงโอกาสในการขยายตลาดของบริษัทในอนาคต ดังนั้น เรื่องดังกล่าวจึงทำให้บริษัทมุ่งเป้าพัฒนา และวางรากฐานทางธุรกิจในประเทศให้มั่นคงเสียกอ่นที่จะเริ่มให้ไปลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศ ตามกระแสการเปิดเขตการค้าเสรีในอนาคต โดยยอดขายหลักของบริษัท 90% มาจากในประเทศ ขณะที่ยังมีการส่งออกน้อยมาก
สำหรับในปีนี้ GC มีการลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และมุ่งเน้นการลงทุนด้านบุคลากรเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเปิดกว้างการควบรวมกิจการกับพันธมิตรทั้งในรูปแบบมีพันธมิตรเข้ามาถือหุ้น หรือในรูปแบบเข้าไปซื้อกิจการของบริษัทอื่นๆ ภายใต้เงื่อนไขให้ประโยชน์แก่บริษัทและผู้ถือหุ้นมากที่สุด โดยซีอีโอ GC ยืนยันว่า หากมีผู้สนใจเข้าซื้อตนเองก็พร้อมจะพิจารณา หากการควบรวมนั้นเกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย และธุรกิจของบริษัทสามารถเติบโตไปต่อได้ในระยะยาว ล่าสุด ยอมรับว่า มีกองทุนส่วนบุคคลเข้ามาสอบถามข้อมูลบริษัทเพื่อพิจารณาลงทุนเช่นกัน
ส่วนความกังวลในเรื่องอัตรากำไรขั้นต้น หลังจากเปลี่ยนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าจากเครือ SCG เป็นกลุ่ม ปตท.นั้น GC ยืนยันว่า อัตรากำไรขั้นต้นของทั้ง 2 แห่งอยู่ในระดับเดียวกันจึงไม่มีผลกระทบต่อการขายแน่
ล่าสุด ผลประกอบการไตรมาส 2/55 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 16.4 ล้านบาท ลดลง 2.28% เมื่อเทียบกับ 16.8 ล้านบาทในไตรมาส 2/54 เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับลดลง ค่าใช้จ่ายในส่วนของเงินเดือนพนักงานที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดขายในไตรมาสเดียวกันของบริษัทวเพิ่มขึ้น 13.19% จาก 917.4 ล้านบาทในไตมาส 2/54 มาเป็น 1,038.5 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน สำหรับการจ่ายเงินปันผล ผู้บริหาร GC ย้ำว่า แม้การเปลี่ยนสินค้าจำหน่ายจะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจช่วงนี้ แต่การจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นยังมีอยู่เช่นเดิม คือ 2 ปีต่อครั้ง ซึ่งล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2555 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลกำไรจากการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2555 ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท จำนวน 200 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 34 ล้านบาท และเชื่อว่า ในครึ่งปีหลังจะมีการจ่ายปันผลอีกครั้งแน่ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัทอีกครั้งว่าจะจ่ายปันผลในอัตราเท่าใด แต่ในปัจจุบัน บริษัทยังมีกำไรสะสมเก็บไว้กว่า 100 ล้านบาท