สิ้นก.ย.ส่อเลิกตรึงสินค้า คนไทยอ่วมค่าครองชีพพุ่ง พิสูจน์กึ๋นปลัดพาณิชย์คนใหม่

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-มีแนวโน้มเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า หลังจากพ้นระยะเวลาที่กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ตรึงราคาสินค้าระยะเวลา 4 เดือน และจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.2555 ที่จะถึงนี้ จะไม่มีการต่ออายุมาตรการออกไปอีก หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ จะยกเลิกการตรึงราคาสินค้านั่นเอง

นั่นหมายความว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้น สินค้าที่ประสงค์จะปรับขึ้นราคา ก็สามารถที่จะขอปรับราคาได้ เพียงแต่ว่าต้องทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนดก็แค่นั้น ส่วนใครจะได้รับอนุมัติหรือไม่ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับเหตุและผลที่ใช้ประกอบการพิจารณา เพราะ ณ วันนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดทางไว้แล้วว่า หากสินค้ากลุ่มใด มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ก็สามารถที่จะยื่นขอปรับราคามายังกรมการค้าภายในได้ และพร้อมที่จะพิจารณาให้

เหตุผลที่กระทรวงพาณิชย์จะไม่ต่ออายุมาตรการตรึงราคาสินค้าออกไป เพราะมองเห็นว่า ขณะนี้สินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพส่วนใหญ่ ไม่มีสัญญาณการปรับขึ้นราคา กลุ่มที่เคยมีปัญหาอย่างอาหารสำเร็จรูป ก็ไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นราคาเช่นกัน หลังต้นทุนวัตถุดิบหลายๆ อย่างได้ปรับลดราคาลง ที่สำคัญ รัฐบาลมีนโยบายในการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ไปจนถึงสิ้นปี ก็ช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และช่วยชะลอการปรับเพิ่มราคาสินค้าในกลุ่มอาหารด้วย

แต่เหตุผลที่กระทรวงพาณิชย์ให้ กลับสวนทางกับผลโพลที่จัดทำโดยสำนักต่างๆ ที่มีผลออกมาว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยากให้รัฐบาลใช้มาตรการตรึงราคาสินค้าออกไปอีก เพราะขณะนี้กำลังซื้อยังไม่เพิ่มขึ้น และเป็นห่วงว่า หากไม่ตรึงราคาสินค้า จะทำให้ผู้ผลิตปรับขึ้นราคาสินค้าจนกระทบกับค่าครองชีพได้ แต่เสียงก็ยังไม่ดังพอที่จะได้ยินถึงหูของกระทรวงพาณิชย์

ทันทีที่กระทรวงพาณิชย์เปิดทางให้สินค้าที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นยื่นเรื่องปรับขึ้นราคาสินค้าได้ ก็มีสินค้าหลายๆ รายการออกมาให้ข่าวในทันทีว่า จะมีการปรับขึ้นราคา เพราะแบกรับภาระต้นทุนต่อไปไม่ไหว

เริ่มจากกลุ่มอาหารสัตว์ ที่ออกมาระบุว่า ขณะนี้วัตถุดิบในการผลิตอาหารมีราคาสูงขึ้น จากปัญหาภัยแล้งในสหรัฐฯ โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เดือนส.ค.อยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 11-12 บาท จากปลายปี 2554 ที่กก.ละ 9.50-10 บาท กากถั่วเหลืองกก.ละ 16-17 บาท จากปลายปีก่อนที่กก.ละ 14-14.50 บาท ขณะที่กากถั่วเหลืองจากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้ากก.ละกว่า 20 บาท จากปีก่อนกก.ละกว่า 15 บาทเท่านั้น และคาดว่า สถานการณ์ราคาจะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะคาดว่าภัยแล้งน่าจะต่อเนื่องยาวนานจนถึงปีหน้า

พร้อมกันนี้ ได้ยื่นเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่า หากรัฐไม่ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบให้ ผู้ผลิตคงต้องปรับขึ้นราคาอาหารสัตว์แน่นอน

หากมีการปรับขึ้นราคาอาหารสัตว์จริง ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นเป็นลูกโซ่ ทำให้กลุ่มเนื้อสัตว์ ทั้งหมู ไก่ ไข่ไก่ มีต้นทุนสูงขึ้นทันที และแน่นอนว่า ราคาปลายทางจะต้องปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมี สินค้ากลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มน้ำปลา ซอสปรุงรส ที่ออกมาให้ข่าวว่า จะขอปรับขึ้นราคา เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนต่อไปได้ โดยจะทำเรื่องขอขึ้นราคาทันทีที่พ้นจากช่วงตรึงราคาสินค้า โดยมีแนวโน้มว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะขอขึ้นซองละ 1 บาท ส่วนน้ำปลา ซอส ปรุงรส ยังไม่ชัดเจน แต่จะขอขึ้นราคาแน่ๆ โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลต้นทุนและผลกระทบ

ถือเป็นภาระหนักอึ้งของกระทรวงพาณิชย์ทันทีที่ยกเลิกมาตรการตรึงราคาสินค้า เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นดัชนีชี้วัดค่าครองชีพของคนไทยมาช้านาน หากขึ้นราคาก็จะกระทบต่อคนหมู่มากของประเทศ ซึ่งสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาพูดในตอนนี้ ก็คือ เท่าที่ตรวจสอบดูพบว่า แป้งสาลียังปรับราคาเพิ่มขึ้นไม่มาก น่าจะตรึงราคาต่อไปได้ ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่า ใครจะยื้อได้มากน้อยกว่ากัน

ขณะที่ภาคเอกชนอย่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ออกมาระบุว่า เอกชนต้องการให้รัฐบาลใช้กลไกตลาดมาดูแลราคาสินค้า หลังจากที่มาตรการตรึงราคาจะหมดอายุลงสิ้นก.ย.2555 ส่วนสินค้าที่กลไกตลาดไม่ทำงาน เช่น มีผู้ประกอบการผูกขาด 1-2 ราย รัฐบาลก็อาจเข้ามาแทรกแซง เพื่อไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกับประชาชน โดยการจะตรึงสินค้าได้ต่อไปหรือไม่นั้น ต้องดูโครงสร้างเป็นรายสินค้า เพราะบางกลุ่มต้องนำเข้าวัตถุดิบ บางกลุ่มใช้วัตถุดิบในประเทศ และต้องดูปัจจัยน้ำมันด้วย เพราะถือเป็นต้นทุนที่สำคัญ

จากแนวโน้มการยกเลิกมาตรการตรึงราคาสินค้าที่จะสิ้นสุดในสิ้นเดือนก.ย.2555 ยังไม่สามารถบอกได้ว่า สินค้าจะพาเหรดขึ้นราคารวดเดียวหรือไม่ หรือจะทยอยปรับขึ้นราคา แต่สิ่งที่จะรู้ได้แน่ๆ ก็คือ อธิบดีกรมการค้าภายในคนใหม่ ที่ชื่อ น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ และปลัดกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ ที่ชื่อ นางวัชรี วิมุกตายน จะมีฝีมือมากน้อยแค่ไหน เพราะเข้ามารับตำแหน่งวันสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาพอดิบพอดี