ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ในการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นประเด็นหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยที่จะถูกหยิบยื่นเข้าโจมตีใส่รัฐบาลคงหนีไม่พ้น “แพงทั้งแผ่นดิน” ที่รัฐบาลปูเข้ามาบริหารประเทศแล้วทำให้ค่าครองชีพประชาชนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
สินค้าที่จะจัดอยู่ในกลุ่มแพงทั้งแผ่นดินก็หนีไม่พ้น “พลังงาน” โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่พรรคฝ่ายค้านต่างหยิบออกมาโจมตีเป็นระยะๆ เพื่อเปิด ปากแผลให้เห็นความผิดปกติชิมลางไปก่อนแล้ว ส่วนเมื่อเปิดอภิปรายจะเปิดแผลให้กว้างหรือลึกมากน้อยเพียงใดก็คงจะต้องติดตามชมกันตอนต่อไป
แต่หันมาดูการตั้งรับของฝ่ายรัฐบาลแล้วกระแสแพงทั้งแผ่นดินดูเหมือนจะทำให้รัฐบาลเริ่มต้องดิ้นรนแก้ไขในส่วนของระดับราคาพลังงานเริ่มตั้งแต่ราคาเอ็นจีวีและแอลพีจีภาคขนส่งที่ มติกพช.เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ให้ชะลอแนวทางการปรับขึ้นแอลพีจีขนส่งและเอ็นจีวีออกไป 3 เดือน(16 พ.ค. -15 ส.ค.55) ทำให้แอลพีจีขนส่งถูกตรึงราคาไว้ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม(กก.)เอ็นจีวีคงไว้ที่ 10.50 บาทต่อกก.
ประเด็นสำคัญที่รัฐต้องสั่งถอยคือการที่กลุ่มผู้ขับรถขนส่ง แท็กซี่ ออกมาคัดค้านการปรับราคาที่มติกพช.เดิมวันที่ 30 ก.ย. 54 กำหนดให้ทยอยขึ้นราคาขายปลีกแอลพีจีขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) เป็นเวลา 12เดือน(16ม.ค.-16ธ.ค.55) รวมเป็น 9 บาทต่อกก. ส่วนเอ็นจีวีปรับขึ้นเดือนละ 0. 50 บาทต่อกิโลกรัมเป็นเวลา 12 เดือนเช่นเดียวกับแอลพีจีขนส่งรวมเป็น 6 บาทต่อกก.
ผู้ประกอบการขนส่งดูจะเพ่งเล็งไปที่การคัดค้านเอ็นจีวีค่อนข้างมากโดยไม่เห็นด้วยกับระดับราคาที่จะขึ้นไปถึง 6 บาทต่อกก.หรือรวมเบ็ดเสร็จราคาสุดท้ายจะวิ่งจาก 8.50 บาทต่อกก.ไปอยู่ที่ 14.50 บาทต่อกก.แถมยังมองว่าเป็นการเอื้อให้กับ บมจ.ปตท.มากเกินความเป็นจริง …….แม้ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะออกมาแต่ก็ยังไม่เป็นข้อยุติ
ขณะที่ทางฟากของราคาน้ำมันเองก็ดูเหมือนจะฉุดไม่อยู่เมื่อสถานการณ์ราคาตลาดโลกได้ปรับขึ้นต่อเนื่องจากปัจจัยหลักคือความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน ผสมโรงกับปัญหาความไม่สงบในประเทศซีเรียส่งผลให้นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงานต้องเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.)ถี่ยิบเพื่อใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้า มาอุดหนุนราคาดีเซลเพื่อไม่ให้เกินระดับ 30 บาทต่อลิตรตามนโยบายรัฐบาล
เมื่อรัฐบาลเลือกดูแลดีเซลที่เป็นน้ำมันเศรษฐกิจไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรเพื่อเบรกราคาสินค้า ค่าขนส่ง ค่าโดยสารต่างๆ ไม่ให้แพงขึ้นแต่ดูเหมือนว่าในฟากของกลุ่มผู้ใช้เบนซินกลายเป็นผู้รับภาระที่ถูกรีดเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯช่วงที่น้ำมันลดโดยเฉพาะเบนซิน 91แบบเต็มพิกัดเพื่อนำไปพยุงในเรื่องของราคาแอลพีจีครัวเรือนที่ยังคงตรึงราคาอยู่นั้น….ปรากฏว่าราคากลุ่มเบนซินตั้งแต่ต้นปี (5ม.ค.-10 ส.ค.55) ราคาปรับขึ้นรวมไปแล้ว 8.78 บาทต่อลิตรแถมราคาเบนซิน 91 เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 55 อยู่ที่ 44.55 บาทต่อลิตรทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่กลุ่มแก๊สโซฮอล์ที่รัฐบาลใช้กลไกเงินกองทุนน้ำมันฯเข้าไปสนับสนุนอยู่บ้างเพื่อส่งเสริมการใช้ตั้งแต่ต้นปี((5ม.ค.-10 ส.ค.55) ภาพรวมราคาก็ยังคงมีการปรับขึ้นรวม 4.14บาทต่อลิตรซึ่งทำให้พรรคประชาธิปัตย์ออกมาตั้งข้อสังเกตุว่าราคาน้ำมันที่รัฐบาลบอกดูแลประชาชนนั้นกลับตรงกันข้ามที่เอื้อค่าการตลาดให้ผู้ค้าน้ำมันโดยเฉพาะบมจ.ปตท.เนื่องจากพบว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วต่ำกว่ามาก ประกอบกับค่าเงินบาทก็แข็งค่ากว่า
แถมรัฐใช้เงินกองทุนน้ำมันฯอุ้มอีกแต่กลับพบความผิดปกติที่ระดับราคา ขายปลีกที่แท้จริง(ไม่รวมภาษี)กลับสูงกว่ามาก
กระแสแพงทั้งแผ่นดินที่ประชาธิปัตย์โจมตีทำให้เกิดกระแสที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีถึงกับไม่พอใจนายอารักษ์ที่ออกมาให้ข่าวว่าจะปรับราคาแอลพีจีขนส่งและเอ็นจีวีวันที่ 16 ส.ค. 55หลังครบเวลาตรึง 3 เดือน และที่สุดการประชุมกบง. เมื่อวันที่ 14 ส.ค.นายอารักษ์ก็ต้องเคาะเลื่อนการตรึงเอ็นจีวีออกไปจนกว่าจะหาข้อยุติต้นทุนราคาที่แท้จริงได้ แต่เลือกที่จะขยับแอลพีจีขนส่งอีก 0.25 บาทต่อกก.มีผล 16 ส.ค.เพื่อลดภาระเงินกองทุนน้ำมันฯ
แต่ที่เซอร์ไพรส์หนักคือการลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯส่วนของกลุ่มเบนซินและบีบให้บมจ.ปตท.ลดราคาขายปลีกลงตามที่ลดอัตราจัดเก็บคือ เบนซิน 91 ลดสูงถึง 1.50 บาทต่อลิตร กลุ่มแก๊สโซออล์ลดเฉลี่ย 0.20 -0.50 บาทต่อลิตร ขณะที่รายอื่นๆ ลดลงแต่ไม่เป็นไปตามอัตราที่ลดจัดเก็บโดยให้เหตุผลว่าค่าการตลาดต่ำ
การลดราคากลุ่มเบนซินลงแรงโดยเฉพาะเบนซิน 91 ก็หวังเบรกอารมณ์ผู้ใช้น้ำมันเบนซินที่เริ่มออกอาการไม่พอใจแล้วรัฐบาลยังเปิดตัวโครงการบัตรเครดิตพลังงานยกกำลัง 2 โดยให้ส่วนลดราคาแก๊สโซฮอล์ 3 บาทต่อลิตรสำหรับรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ถือบัตรส่วนลดไปซื้อลดราคาได้ที่ปั๊มบมจ.ปตท.อีกด้วย
รัฐบาล”ปู” ลด แลก แจก แถม ด้านพลังงานโค้งสุดท้ายเช่นนี้แล้วคงต้องติดตามดูว่าจะเอาอยู่หรือไม่ ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์คงต้องทำงานเพิ่มอีกแน่นอน
