ASTVผู้จัดการรายวัน - "ยิ่งลักษณ์" หารือวันนี้ถกแผนปรับขึ้นแอลพีจีขนส่ง หลังครบตรึงราคา 3 เดือน ส่วนเอ็นจีวีให้ตรึงราคา 10.50 บาทต่อ กก.ไปก่อน โฆษก ปชป. ฉะรัฐบาลสมคบ ปตท. เอาเปรียบประชาชน สูบเงินจากกองทุนน้ำมัน เพิ่มกำไรให้ตัวเอง ลดเก็บเงินเข้ากองทุน เปิดทาง ปตท.เพิ่มค่าการตลาด ทำคนไทยต้องใช้น้ำมันแพง ซัด "ยรรยง" อ้างมั่ว อินเดีย -สหรัฐฯ เจอภัยแล้ง ทำส่งออกข้าวหด ทั้งที่พื้นที่ภัยแล้งเป็นเขตปลูกข้าวโพด
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน เข้าหารือเป็นการส่วนตัวในวันนี้ (14 ส.ค.) เพื่อหาข้อยุติร่วมกันถึงการปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่งและเอ็นจีวีที่ครบกำหนดตรึงราคามา 3 เดือนในวันที่ 16 ส.ค.นี้ว่าจะมีการปรับขึ้นหรือไม่อย่างไรซึ่งเบื้องต้นกระทรวงพลังงานเสนอการปรับขึ้นแอลพีจีภาคขนส่งไปก่อน 1 เดือนคือ 16ส.ค.-15ก.ย.55หลังจากนั้นจะพิจารณาตามราคาโลกอีกครั้ง ส่วนเอ็นจีวีก็ให้ตรึงราคาเดิมไปจนกว่าจะมีข้อสรุปร่วมกันของต้นทุนราคาโดยเฉพาะผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
" เดิมนั้นแอลพีจีขนส่งรัฐให้ปรับขึ้นเดือนละ 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม(กก.) แต่ต่อมาได้ให้ตรึงไว้ที่ 21.13 บาทต่อกก. 3 เดือนดังนั้นมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นส่วนนี้ต่อไปแต่อัตราการขึ้นคาดว่าจะลดต่ำลงจากของเดิมโดยวันที่ 16 ส.ค.อาจขึ้นเพียง 10-30 สตางค์ต่อกก.แต่จะขึ้นเท่าใดแน่นายกฯจะเป็นผู้ตัดสินใจซึ่งที่ต้องปรับขึ้นเนื่องจากแอลพีจีนำเข้าสูงมากทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีภาระชดเชยสูงขึ้น ประกอบกับรายได้กองทุนน้ำมันฯขณะนี้เริ่มติดลบจากการที่ต้องลดการเก็บเงินดีเซลล่าสุดจนเป็นศูนย์"แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับแอลพีจีภาคครัวเรือนนั้นมติเดิมให้ตรึงราคาถึงสิ้นปีที่ 18.13 บาทต่อกก.อยู่แล้ว แต่เอ็นจีวีรัฐให้ทยอยขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อกก.เป็นเวลา 12 เดือนแต่ต่อมาให้ตรึงราคาเพื่อลดค่าครองชีพ 3 เดือนทำให้ราคามาอยู่ที่ 10.50 บาทต่อกก.ซึ่ง ในงวดวันที่16ส.ค.-15ก.ย. นี้ จะยังไม่มีการปรับขึ้นราคา เพราะ ผลการศึกษาต้นทุนราคาเอ็นจีวีระหว่างบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)กับผู้ประกอบการขนส่ง ยังไม่ได้ข้อยุติ และยังมีเวลาอีกระยะหนึ่งที่สามารถยืดเวลาการปรับขึ้นราคาออกไปได้
นางพูนทรัพย์ สกุณี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวถึงนโยบายการเพิ่มสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ของประเทศว่า กรมฯยังไม่สามารถออกประกาศการเพิ่มสำรองน้ำมันตามกฏหมายของผู้ค้ามาตรา 7 ได้ตามที่กำหนดในเดือนก.ค.ที่ผ่านมาดังนั้นจึงคงต้องเลื่อนการประกาศเพิ่มสำรองออกไปในช่วงปลายปีเนื่องจากพบว่ายังมีบริษัทน้ำมันหลายรายยังไม่สามารถปฏิบัติได้ทันตามระเบียบที่จะออกมาเพราะต้องเพิ่มการสำรองน้ำมันจาก 5% เป็น 6% ของปริมาณการจำหน่าย หรือเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองจาก 36 วัน เป็น 43 วัน
"กรมฯได้ให้เอกชนยื่นขอผ่อนผันซึ่งพบว่าส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องสถานที่จัดเก็บน้ำมันมีไม่เพียงพอ เพราะบางบริษัทเองก็ต้องเช่าคลังทำให้เกิดต้นทุน ประกอบกับหากเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันในช่วงที่โรงกลั่นน้ำมันบางจากหยุดซ่อมบำรุงจากปัญหาไฟไหม้ และนโยบายยกเลิกเบน.ซิน91ต้องชะลอออกไป อาจทำให้มีปัญหาในกระบวนการผลิตน้ำมันพื้นฐาน ซึ่งต้องนำเข้าน้ำมันมาเพิ่มเติมในระยะยาว" นางพูนทรัพย์กล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทน้ำมันที่ได้ยื่นเรื่องขอผ่อนผันการเพิ่มสำรองน้ำมัน นอกจากโรงกลั่นน้ำมันเอสพีอาร์ซีแล้ว ยังมีเชลล์ และปตท. ที่ได้สอบถามถึงวิธีการผ่อนผัน เนื่องจากเป็นห่วงในเรื่องการจัดหาคลังน้ำมันเพื่อใช้เป็นที่สำรองน้ำมัน และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับต้นทุนการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-20 สต../ลิตร ซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้กรมธุรกิจพลังงานยังไม่ตัดสินใจออกประกาศการเพิ่มสำรองน้ำมันของภาคเอกชน
***ฉะรัฐบาลสมคบคิดกับ ปตท.
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการขึ้นราคาน้ำมันของ ปตท.ว่า มีความผิดปกติ โดยโครงสร้างราคาน้ำมันจะประกอบด้วย ราคาน้ำมันดิบ เงินเข้ากองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด ซึ่งทั้งหมดจะรวมเป็นราคาขายปลีก ไม่รวมเรื่องภาษี โดยในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2554 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประกาศชะลอการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน แต่พอถึงปลายธันวาคม 2554 ราคาน้ำมันสูงขึ้น 2 บาท ทั้งที่ไม่มีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในช่วงปลายธันวาคม ก็ถูกกว่าปลายสิงหาคม เท่ากับว่ารัฐบาลสมคบคิดกับ ปตท.ในการเอากองทุนน้ำมันเป็นเครื่องมือสร้างกำไรให้ปตท. ไม่ใช่ดูแลประชาชน ทั้งที่น้ำมันดิบตลาดโลกลดลง เงินเข้ากองทุนน้ำมันก็ไม่ได้เก็บ แต่กลับขายปลีกในราคาที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ในปี 2555 ช่วงกลางเดือนมิถุนายน พบว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง แต่ราคาขายปลีกไม่ลด เพราะมีการขึ้นค่าการตลาดน้ำมันทุกชนิดในจังหวะที่ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง ทำให้คนไทยไม่ได้ใช้น้ำมันราคาถูกในวันที่ราคาตลาดโลกลดลง โดยตลอดการบริหารของรัฐบาล จะใช้วิธีการลักษณะนี้คือ ปล่อยเอกชนขึ้นค่าการตลาด แต่รัฐเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันลดลง เป็นความสัมพันธ์ในเชิงผกผัน ค่าการตลาดเพิ่ม เก็บเงินเข้ากองทุนลด คือ เอาเงินกองทุนน้ำมันไปถลุง เพื่อประโยชน์ของเอกชน
นายชวนนท์ ยังแสดงความกังวลตัวเลขเศรษฐกิจครึ่งปี 2554 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีนี้ พบว่ามีผู้ว่างงานเพิ่มกว่า 1 แสนคน ธุรกิจปิดตัวมากกว่าปีที่แล้วเกือบ 2 พันราย และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 3.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง โดยรัฐบาลไปหวังพึ่งการส่งออกข้าวในอนาคต แต่ตนไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ โดยเฉพะกรณีที่นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พูดทำนองว่า ขายในราคาไม่ต่ำกว่าตลาดโลก แต่ล่าสุดยอมรับว่า คงไม่สามารถขายในราคาตลาดโลกได้ และไม่ยอมเปิดเผยว่าจะขายราคาเท่าไร ขายให้ใคร ตนจึงไม่เชื่อว่าจะขายได้ในราคาที่ต้องการ จากนโยบายเช่นนี้จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเสียหายหนักขึ้น ซึ่งในขณะนี้ก็มากกว่าปีที่แล้วถึง 12 เท่า สูงสุดเป็นประวัติการณ์
" รัฐบาลต้องรีบไปแก้ปัญหา ไม่ใช่ออกมาปล่อยไก่ซ้ำซาก การที่นายยรรยง พยายามพูดถึงการขายข้าวแบบจีทูจี และระบุว่า อินเดีย สหรัฐฯ เกิดภัยแล้งนั้น ขอให้ไปเรียนภูมิศาสตร์ใหม่ เพราะพื้นที่ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในอินเดียและสหรัฐฯนั้นเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพด ไม่ใช่ปลูกข้าว จึงไม่รู้แกล้งโง่ หรือโง่จริง อย่างไรก็ตาม เห็นว่ารัฐบาลควรจะไปแก้ไขปัญหา และเตรียมพร้อมสำหรับการตอบคำถามในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พ.ร.บ.งบประมาณ และการแถลงนโยบายดีกว่า" นายชวนนท์ กล่าว.
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน เข้าหารือเป็นการส่วนตัวในวันนี้ (14 ส.ค.) เพื่อหาข้อยุติร่วมกันถึงการปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่งและเอ็นจีวีที่ครบกำหนดตรึงราคามา 3 เดือนในวันที่ 16 ส.ค.นี้ว่าจะมีการปรับขึ้นหรือไม่อย่างไรซึ่งเบื้องต้นกระทรวงพลังงานเสนอการปรับขึ้นแอลพีจีภาคขนส่งไปก่อน 1 เดือนคือ 16ส.ค.-15ก.ย.55หลังจากนั้นจะพิจารณาตามราคาโลกอีกครั้ง ส่วนเอ็นจีวีก็ให้ตรึงราคาเดิมไปจนกว่าจะมีข้อสรุปร่วมกันของต้นทุนราคาโดยเฉพาะผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
" เดิมนั้นแอลพีจีขนส่งรัฐให้ปรับขึ้นเดือนละ 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม(กก.) แต่ต่อมาได้ให้ตรึงไว้ที่ 21.13 บาทต่อกก. 3 เดือนดังนั้นมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นส่วนนี้ต่อไปแต่อัตราการขึ้นคาดว่าจะลดต่ำลงจากของเดิมโดยวันที่ 16 ส.ค.อาจขึ้นเพียง 10-30 สตางค์ต่อกก.แต่จะขึ้นเท่าใดแน่นายกฯจะเป็นผู้ตัดสินใจซึ่งที่ต้องปรับขึ้นเนื่องจากแอลพีจีนำเข้าสูงมากทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีภาระชดเชยสูงขึ้น ประกอบกับรายได้กองทุนน้ำมันฯขณะนี้เริ่มติดลบจากการที่ต้องลดการเก็บเงินดีเซลล่าสุดจนเป็นศูนย์"แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับแอลพีจีภาคครัวเรือนนั้นมติเดิมให้ตรึงราคาถึงสิ้นปีที่ 18.13 บาทต่อกก.อยู่แล้ว แต่เอ็นจีวีรัฐให้ทยอยขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อกก.เป็นเวลา 12 เดือนแต่ต่อมาให้ตรึงราคาเพื่อลดค่าครองชีพ 3 เดือนทำให้ราคามาอยู่ที่ 10.50 บาทต่อกก.ซึ่ง ในงวดวันที่16ส.ค.-15ก.ย. นี้ จะยังไม่มีการปรับขึ้นราคา เพราะ ผลการศึกษาต้นทุนราคาเอ็นจีวีระหว่างบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)กับผู้ประกอบการขนส่ง ยังไม่ได้ข้อยุติ และยังมีเวลาอีกระยะหนึ่งที่สามารถยืดเวลาการปรับขึ้นราคาออกไปได้
นางพูนทรัพย์ สกุณี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวถึงนโยบายการเพิ่มสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ของประเทศว่า กรมฯยังไม่สามารถออกประกาศการเพิ่มสำรองน้ำมันตามกฏหมายของผู้ค้ามาตรา 7 ได้ตามที่กำหนดในเดือนก.ค.ที่ผ่านมาดังนั้นจึงคงต้องเลื่อนการประกาศเพิ่มสำรองออกไปในช่วงปลายปีเนื่องจากพบว่ายังมีบริษัทน้ำมันหลายรายยังไม่สามารถปฏิบัติได้ทันตามระเบียบที่จะออกมาเพราะต้องเพิ่มการสำรองน้ำมันจาก 5% เป็น 6% ของปริมาณการจำหน่าย หรือเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองจาก 36 วัน เป็น 43 วัน
"กรมฯได้ให้เอกชนยื่นขอผ่อนผันซึ่งพบว่าส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องสถานที่จัดเก็บน้ำมันมีไม่เพียงพอ เพราะบางบริษัทเองก็ต้องเช่าคลังทำให้เกิดต้นทุน ประกอบกับหากเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันในช่วงที่โรงกลั่นน้ำมันบางจากหยุดซ่อมบำรุงจากปัญหาไฟไหม้ และนโยบายยกเลิกเบน.ซิน91ต้องชะลอออกไป อาจทำให้มีปัญหาในกระบวนการผลิตน้ำมันพื้นฐาน ซึ่งต้องนำเข้าน้ำมันมาเพิ่มเติมในระยะยาว" นางพูนทรัพย์กล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทน้ำมันที่ได้ยื่นเรื่องขอผ่อนผันการเพิ่มสำรองน้ำมัน นอกจากโรงกลั่นน้ำมันเอสพีอาร์ซีแล้ว ยังมีเชลล์ และปตท. ที่ได้สอบถามถึงวิธีการผ่อนผัน เนื่องจากเป็นห่วงในเรื่องการจัดหาคลังน้ำมันเพื่อใช้เป็นที่สำรองน้ำมัน และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับต้นทุนการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-20 สต../ลิตร ซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้กรมธุรกิจพลังงานยังไม่ตัดสินใจออกประกาศการเพิ่มสำรองน้ำมันของภาคเอกชน
***ฉะรัฐบาลสมคบคิดกับ ปตท.
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการขึ้นราคาน้ำมันของ ปตท.ว่า มีความผิดปกติ โดยโครงสร้างราคาน้ำมันจะประกอบด้วย ราคาน้ำมันดิบ เงินเข้ากองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด ซึ่งทั้งหมดจะรวมเป็นราคาขายปลีก ไม่รวมเรื่องภาษี โดยในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2554 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประกาศชะลอการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน แต่พอถึงปลายธันวาคม 2554 ราคาน้ำมันสูงขึ้น 2 บาท ทั้งที่ไม่มีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในช่วงปลายธันวาคม ก็ถูกกว่าปลายสิงหาคม เท่ากับว่ารัฐบาลสมคบคิดกับ ปตท.ในการเอากองทุนน้ำมันเป็นเครื่องมือสร้างกำไรให้ปตท. ไม่ใช่ดูแลประชาชน ทั้งที่น้ำมันดิบตลาดโลกลดลง เงินเข้ากองทุนน้ำมันก็ไม่ได้เก็บ แต่กลับขายปลีกในราคาที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ในปี 2555 ช่วงกลางเดือนมิถุนายน พบว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง แต่ราคาขายปลีกไม่ลด เพราะมีการขึ้นค่าการตลาดน้ำมันทุกชนิดในจังหวะที่ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง ทำให้คนไทยไม่ได้ใช้น้ำมันราคาถูกในวันที่ราคาตลาดโลกลดลง โดยตลอดการบริหารของรัฐบาล จะใช้วิธีการลักษณะนี้คือ ปล่อยเอกชนขึ้นค่าการตลาด แต่รัฐเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันลดลง เป็นความสัมพันธ์ในเชิงผกผัน ค่าการตลาดเพิ่ม เก็บเงินเข้ากองทุนลด คือ เอาเงินกองทุนน้ำมันไปถลุง เพื่อประโยชน์ของเอกชน
นายชวนนท์ ยังแสดงความกังวลตัวเลขเศรษฐกิจครึ่งปี 2554 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีนี้ พบว่ามีผู้ว่างงานเพิ่มกว่า 1 แสนคน ธุรกิจปิดตัวมากกว่าปีที่แล้วเกือบ 2 พันราย และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 3.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง โดยรัฐบาลไปหวังพึ่งการส่งออกข้าวในอนาคต แต่ตนไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ โดยเฉพะกรณีที่นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พูดทำนองว่า ขายในราคาไม่ต่ำกว่าตลาดโลก แต่ล่าสุดยอมรับว่า คงไม่สามารถขายในราคาตลาดโลกได้ และไม่ยอมเปิดเผยว่าจะขายราคาเท่าไร ขายให้ใคร ตนจึงไม่เชื่อว่าจะขายได้ในราคาที่ต้องการ จากนโยบายเช่นนี้จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเสียหายหนักขึ้น ซึ่งในขณะนี้ก็มากกว่าปีที่แล้วถึง 12 เท่า สูงสุดเป็นประวัติการณ์
" รัฐบาลต้องรีบไปแก้ปัญหา ไม่ใช่ออกมาปล่อยไก่ซ้ำซาก การที่นายยรรยง พยายามพูดถึงการขายข้าวแบบจีทูจี และระบุว่า อินเดีย สหรัฐฯ เกิดภัยแล้งนั้น ขอให้ไปเรียนภูมิศาสตร์ใหม่ เพราะพื้นที่ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในอินเดียและสหรัฐฯนั้นเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพด ไม่ใช่ปลูกข้าว จึงไม่รู้แกล้งโง่ หรือโง่จริง อย่างไรก็ตาม เห็นว่ารัฐบาลควรจะไปแก้ไขปัญหา และเตรียมพร้อมสำหรับการตอบคำถามในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พ.ร.บ.งบประมาณ และการแถลงนโยบายดีกว่า" นายชวนนท์ กล่าว.