ปตท.เดินหน้าขยายคลังก๊าซ “เขาบ่อยา” ชลบุรี เพื่อรองรับการนำเข้า “แอลพีจี” ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ คาดแล้วเสร็จในปี 58
นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ได้ลงนามในสัญญาว่าจ้างบริษัท ฟอสเตอร์ วีลเลอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมการขยายความสามารถในการรับจ่ายแอลพีจี ระยะที่ 1 เพื่อการขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าที่คลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นท่าเรือสำหรับรับเรือนำเข้าแอลพีจีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ให้มีกำลังนำเข้าก๊าซสูงสุด 250,000 ตันต่อเดือน จากเดิม 132,000 ตันต่อเดือน และทาง ปตท.จะดำเนินการขยายระบบคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะ รวมถึงคลังก๊าซภูมิภาคให้มีความสามารถเพิ่มขึ้นให้เพียงพอต่อความต้องการแอลพีจีของประเทศ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2558
ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่เห็นชอบให้ ปตท.เพิ่มขีดความสามารถกักเก็บและกระจายก๊าซหุงต้ม หรือแอลพีจี (LPG Facility) เพื่อรองรับปริมาณการใช้แอลพีจีที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ส่วนการดำเนินงานในระยะที่ 2 จะเป็นการก่อสร้างคลังและท่าเรือนำเข้าแห่งใหม่ ด้วยกำลังนำเข้าก๊าซสูงสุด 250,000 ตันต่อเดือน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561 ทำให้มีกำลังการนำเข้าสูงสุดรวมกว่า 500,000 ตันต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการดำเนินงานครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ แต่สิ่งที่คนไทยทุกคนจะต้องตระหนัก คือ การรู้จักใช้พลังงานอย่างประหยัดและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า
“ทุกวันนี้รัฐยังคงนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาอุดหนุนราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน และขนส่ง โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใช้เงินในการอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจีตั้งแต่ปี 2551 ถึงปัจจุบันไปแล้วประมาณ 95,000 ล้านบาท จนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบอยู่กว่า 23,000 ล้านบาท”
นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องกู้เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกเพื่อมาใช้ในการชดเชยราคาพลังงาน ดังนั้น การยอมรับราคาที่เป็นจริงจะทำให้คนไทยทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการดูแลเรื่องการใช้พลังงานอย่างเท่าเทียม และเป็นธรรมทั่วกันทั้งประเทศ