ASTVผู้จัดการรายวัน-ชำแหละงบประมาณรายจ่ายปี 56 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาทวันแรก ฝ่ายค้านรุมถล่มรัฐบาลยับ "กรณ์"เปิดฉากอัดลดภาษีนิติบุคคล ทำให้รัฐสูญรายได้ 1.5แสนล้านบาท เปรียบลดการเก็บภาษีจากนายทุน แต่โยนภาระให้ประชาชน พร้อมยำ "โครงการจำนำข้าว" ซัดโกงกันแหลก ด้าน "ปู"ยันทำงบ โปร่งใส มีวินัย แต่ปัดตอบ "เติ้ง" ทวงงบที่ถูกตัด "เด็จพี่"ปัด "เจ๊ภาคเหนือ" แทรกแซงงบ
วานนี้ (15 ส.ค.) ที่ห้องประชุมรัฐสภา มีการอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ในวาระ 2 เรียงรายมาตรา วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท เป็นวันแรก
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล และนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฏร ชี้แจงถึงกรอบระยะเวลาในการหารือร่วมกับทางวิปฝ่ายค้าน โดยที่ประชุมมีความเห็นตรงกันในการอภิปรายงบประมาณวาระ2และลงมติวาระ3 โดยให้เวลาการอภิปราย 3 วันๆ ละ15 ชั่วโมง รวมเวลาอภิปรายประมาณ 45 ชั่วโมง
**"โต้ง"แจงงบ56 ปรับลด2.2หมื่นล้าน
ต่อมานายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ แถลงว่า กมธ.วิสามัญได้เริ่มพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ตั้งแต่ 28 พ.ค. จนแล้วเสร็จวันที่ 1 ส.ค. รวม 46 วัน ได้ปรับลดงบจำนวน 22,003,385,300 บาท โดยพิจารณาจากเป้าหมายผลดำเนินงานจริงระยะเวลาและความสามารถใช้จ่ายงบ
โดยในวงเงินที่ปรับลดดังกล่าว 1.จัดสรรเพิ่มให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน จำนวน 16,921,655,500 บาท 2.จัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4,751,729,800 บาท 3.จัดสรรให้หน่วยงานรัฐสภา ศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ จำนวน 330,000,000 บาท
จากนั้นเข้าสู่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ โดยเริ่มอภิปรายในมาตรา 3 เกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายฯ
โดย น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ ส.ส.ลพบุรี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย ได้สงวนความเห็นปรับลดร้อยละ 5 ของวงเงิน 2.4 ล้านลานบาท โดยอภิปรายว่า ตนมีข้อสังเกตการทำงบ 2.4 ล้านล้านบาท มีจุดอ่อน โดยคิดว่ารัฐบาลกู้เงินมากเกินไปและไม่ตั้งใจตั้งงบจ่ายหนี้สาธารณะ หลังจากดำเนินนโยบายใช้เงินกู้เมื่อปีที่ผ่านมา ที่จะต้องใช้หนี้ถึง 32 ปี ถึงจะหมดหนี้ อีกทั้งปีนี้เราไม่ได้ใช้หนี้เงินกู้ ทำให้เป็นภาระประเทศไทย และการจัดทำงบปีนี้ ไม่ตกผลึก ทำไปเปลี่ยนแปลงตลอด หลายโครงการไม่มีรายละเอียดชัดเจน
**ลดภาษีนิติบุคคลสูญรายได้1.5แสนล้าน
นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า งบประมาณรายจ่ายจำนวน 2.4 ล้านล้านบาท ถือเป็นงบที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ ส่วนประมาณการรายได้ 2.1 ล้านล้านบาท ที่มาจากการจัดเก็บภาษี ยังไม่ยุติธรรม โดยเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า รัฐบาลได้จัดเก็บภาษีต่ำกว่าเป้าที่กำหนดไว้ 36,000 ล้านบาท หลังจากรัฐบาลได้มีการใช้มาตรการลดภาษีนิติบุคคล จากที่เก็บ 30% เหลือ 23% จนกระทั่งมาอยู่ที่ 20% ทำให้รัฐสูญรายได้ไปแล้วกว่า 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งการปรับลดภาษีจะไม่ต้องทำเลย หากรัฐบาลทบทวนลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ก็ไม่จำเป็นต้องลดการจัดเก็บภาษี แต่การปรับลดภาษีดังกล่าวเป็นช่วยเหลือนายทุนแบบไม่มีเงื่อนไขถึง 1.5 แสนล้านบาท เมื่อนายทุนไม่ต้องเสียภาษี ประชาชนโดยรวมและผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ต้องมารับภาระแทน การจัดเก็บภาษีในอัตราต่ำเป็นเรื่องที่ดี เป็นการสะท้อนประสิทธิภาพการบริหารราชการ แต่เมื่อรัฐบาลยังเพิ่มค่าใช้จ่ายอยู่ รัฐบาลก็ต้องจัดเก็บภาษีจากประชาชนเพิ่มขึ้น
**ถามรีดภาษีตามเป้าจากไหน
นายกรณ์กล่าวว่า การที่รัฐบาลตั้งเป้าจะเก็บภาษีให้ได้ที่ 2.1 ล้านล้านบาท จะเก็บจากที่ไหน จากใคร โดยมองว่า รายจ่ายในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีการใช้จ่ายเงินที่ไม่คุ้มค่าและสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจ คือ ไม่ได้เพิ่มโอกาสให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น หรือเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศ
ส่วนเรื่องโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาล เห็นว่า ได้สร้างความเสียหายให้กับงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข้าว ทำให้ประเทศไทยเสียรายได้จากการส่งออกข้าวกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลควรที่จะทบทวนโครงการดังกล่าวโดยเร็ว และมีความน่าเป็นห่วงเกษตรกร เพราะนโยบายรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร แต่จากผลการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า เงินจากนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล 100 บาท ถึงมือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพียงแค่ 30 บาท เท่านั้น
***ยันจำนำข้าวเข้าข่ายผิดกฏค้าโลก
นายเกียรติ สิทธิอมร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ที่รัฐบาลระบุว่าการรับจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดจะทำให้ราคาตลาดโลกขยับสูงขึ้น ไม่เป็นความจริง เพราะราคาข้าวขึ้นอยู่กับระบบอุปสงค์และอุปทานโลก ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่ปลูกข้าวเพียง 6% ของโลก แล้วจะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นได้
“ขณะนี้เราถูกประจานจากทั่วโลก นิตยสาร economist ระบุว่านโยบายสร้างปัญหาให้เกษตรกรและรัฐบาลเสี่ยงขาดทุนสูงในการขายข้าว ด้านรอยเตอร์บอกว่านโยบายจำนำข้าวต้องใช้เงินสูงถึง 6 แสนล้านบาท และจะขายข้าวได้ยาก เพราะมีคู่แข่งอย่างอินเดียและเวียดนาม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โจมตีว่าล้มเหลว คอร์รัปชั่นสูง และส่งผลให้จีดีพีโตเพียง 1% ขณะที่กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ ยังชี้อีกว่าการจำนำข้าวอาจนำไปสู่หายนะของการส่งออกข้าวไทย”นายเกียรติกล่าว
ทั้งนี้ เป้าหมายของรัฐบาล คือ 1.5-2 หมื่นบาท แต่ตัวเลขของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นาตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย.2555 ระบุว่า ค่าข้าวเปลือกเจ้าชาวนาได้ราคาตั้งแต่ 9,600 บาทถึง 10,467 บาท ดังนั้น อยากถามว่า 5 พันบาทไปอยู่ในกระเป๋าใคร
นายเกียรติกล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวยังเสี่ยงต่อการขัดกติกาขององค์การค้าโลก (WTO) เพราะนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พูดเองว่าไทยมีสิทธิใช้งบประมาณจำนำไม่เกิน 1.9 หมื่นล้านบาท จากการลงนามตั้งแต่ปี 2537 กับ WTO ถ้าคำนวณจากค่าผลผลิตข้าวเปลือกของประเทศไทยทั้งประเทศ 33 ล้านตัน ขาดทุนตันละ 5 พันบาท เท่ากับขาดทุน 1.5 แสนล้านบาทต่อปี เกิน 1.9 หมื่นล้านไปเยอะ เมื่อกลับมาดูคำอธิบายของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลังที่ยืนยันว่าไม่ขาดทุน หากยังไม่ขายข้าว อยากบอกนายกิตติรัตน์ว่าข้าวไม่ใช่หุ้น หากเก็บไว้นานจะยิ่งเสื่อม ทั้งยังเสียค่าเก็บรักษาข้าว จ่ายค่าดอกเบี้ย โกดัง ไซโล เสียเป็นเงิน 4.1 หมื่นกว่าล้านบาท
นายเกียรติกล่าว่าว ของแพงเพราะนโยบายผิดพลาด เมื่อช่วงตั้งแต่ 1 ก.ค.-10ส.ค.2555 รัฐบาลปล่อยให้มีการขึ้นราคาน้ำมันถึง 10 ครั้ง ทั้งที่ตลาดโลกไม่ได้ขึ้น โดยเฉพาะเบนซิน 91 และ 95 รวม 4.80 บาท/ลิตร รัฐบาลคงไม่รู้ว่ามีเกษตรกรยังใช้เบนซินเติมเครื่องมือทำเกษตรถึง 1 ล้านครัวเรือน มีจักรยานยนต์ของคนจนๆ ในต่างจังหัวดใช้เบนซินอีก2.5 ล้านคัน
**หมอวรงค์ซัดโกงข้าวใช้ 3 รูปแบบ
น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายว่า พบว่าการโกงมี 3 รูปแบบ คือ โกงความชื้น ทั้งๆ ที่คณะกรรมการกำกับติดตามโครงการจำนำข้าวที่มีบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน มีมติชัดเจนเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2554 กำหนดว่าถ้าความชื้นสูงเกินไป ให้คิดความชื้นสูงสุดเพียง 30% แต่ชาวนาหลายรายถูกโกงความชื้นที่ตัวเลข 34-37% และยังพบว่ามีการโกงตาชั่ง เมื่อชั่งน้ำหนักได้ 10 ตัน แต่เมื่อลงข้อมูลน้ำหนักเบื้องต้นในใบประทวน กลับเขียนตาชั่งเริ่มต้นที่ 8 ตัน และยังมีการโกงสิ่งเจือปนที่พบในพื้นที่ภาคอีสานจำนวนมาก
“ผู้ที่ถูกโกงใน 3 กรณีนี้ ทางการต้องรื้อใบประทวนให้หมด คืนความเป็นธรรมให้ชาวนา”
น.พ.วรงค์กล่าวว่า ที่หนักข้อที่สุด คือ พบว่าโครงการนี้ มีการเปิดเสรีทุจริตจำนวนมากจากการสวมสิทธิครั้งมโหฬาร เห็นได้จากการที่นักวิชาการได้ชี้ว่าข้าวนอกระบบโผล่เพิ่มถึง 3 ล้านตัน จ.ร้อยเอ็ด มีข้าวที่มาจำนำเกินกว่าที่ผลิตได้ถึง176% จ.มหาสารคาม 112% จ.กำแพงเพชร 223% จ.เชียงใหม่ 185% จ.พิษณุโลก 144% จ.พิจิตร 142% จ.เชียงราย 135% ทำให้โรงสีแต่ละแห่งโกยรายได้หลักร้อยล้านถึงพันล้าน จะดูกล้องวงจรปิด ก็ดูไม่ได้ จอดำหมด
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำเอาข้าวมาเวียนเทียน คือ เอาข้าวที่ไปประมูลมาเปลี่ยนกระสอบใหม่ และเวียนไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าโกดังของรัฐบาล จึงมีแต่ข้าวเสีย เพราะข้าวดีถูกเอาไปขายหมด และยังพบอีกว่าอำนาจในการตรวจสอบคุณภาพข้าวของรัฐทั้งหมดตกอยู่กับบริษัทเซอเวย์เยอร์ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าว ซึ่งชาวบ้านแจ้งมาว่ามีกระบวนการเก็บหัวคิวจากบริษัทเซเวย์เยอร์จากรถที่เอาข้าวมาเก็บในโกดังของรัฐบาล ถ้าข้าวดีตรงมาตรฐานเก็บ 7 บาท ซึ่งจะมีการเก็บหัวคิวจาก 7 บาท ถึง 100 บาทเป็นอย่างน้อย ถ้าข้าวเสื่อมสภาพก็เก็บแพงขึ้น ถ้าเป็นหอมมะลิจะสูงถึง 200 บาท
**องอาจ"พบทุจริตฟื้นฟูน้ำท่วม
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามการทุจริต แต่ให้งบป้องกันและปราบปรามทุจริตแค่ 420 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งที่มีการทุจริตเพิ่มขึ้นตลอด และเป็นเรื่องที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลแก้ไข การทุจริตที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายถึง 2-3 แสนล้านบาทต่อปี เทียบไม่ได้กับงบปราบทุจริตที่ได้เพียง 420 ล้านบาท หลายโครงการในงบประมาณ 56 ก็มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่
"เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา มีผลการสำรวจจากโพลหลายสำนักเห็นตรงกันว่าปัญหาคอรัปชั่นเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่ง แต่ที่ร้ายแรงสุด คือ มีรายงานเรียกรับเงินในโครงการฟื้นฟูน้ำท่วมถึง 35% และบางโครงการทุจริตกัน 100% คือ ไปถ่ายรูปโครงการอื่นๆ ที่ดำเนินการไปแล้ว แล้วนำมาตั้งเรื่องเบิกงบจ่ายเงินทำเป็นโครงการที่ไม่ต้องขุดดินเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งอยากเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญและมีความจริงใจกับการแก้ปัญหาคอรัปชั่นมากกว่านี้ "นายองอาจกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงบ่ายก็ยังคงอภิปรายในมาตรา 3 เกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายฯ และสิ้นสุดการอภิปรายวันแรกในเวลา 24.00 น.
**“ปู” ยันงบปี 56 โปร่งใส มีวินัย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมสภา ซึ่งก่อนหน้ามีข่าวว่าจะตรวจพื้นที่น้ำท่วม และได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านติงเรื่องการจัดทำงบประมาณปี 56 ที่มีการกู้เงินมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลังว่า ยืนยันว่าการจัดทำงบประมาณเป็นไปอย่างโปร่งใส ได้วางแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และอีกส่วนเตรียมไว้สำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต แต่เน้นไปที่เรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก เพราะต้องปรับปรุงประเทศเพื่อเตรียมรับการก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะเห็นได้ว่าจากการสำรวจ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศเราอยู่ในอันดับท้ายๆ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เราจึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณส่วนหนึ่งในการลงทุนเพื่ออนาคต และเพื่อให้เราสามารถแข่งขันได้
"เราจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ด้วยความระมัดระวัง ที่สำคัญคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง โดยมีการขาดดุลงบประมาณที่ลดลง"
ส่วนแนวทางการหารายได้เพิ่มนั้น มาทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เราได้ดำเนินการไป ซึ่งหวังให้มีการใช้จ่ายในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้มีรายได้กลับมา โดยเฉพาะด้านการส่งออก ได้พยายามมองหาช่องทางอื่นแทนตลาดยุโรปที่มีปัญหาให้มากขึ้น เช่นตลาดใหญ่อย่างอาเซียน เพื่อเป็นอีกช่องทางในการหารายได้เข้าประเทศ
**ปัดตอบ“เติ้ง”ทวงถูกตัด320 ล้าน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมาทวงงบการบริหารจัดการน้ำในส่วนของกรมชลประทานที่ถูกตัดออกไป 320 ล้านบาท และมาตรการลอยตัวก๊าซหุงต้ม นายกฯ ปฎิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมกับรีบเดินเข้าไปเซ็นชื่อเข้าร่วมประชุมสภาในทันที
**พท.ปัด “เจ๊ภาคเหนือ”แทรกงบ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวทำนองมีแกนนำพรรคเพื่อไทยในภาคเหนือบงการรัฐมนตรีคนพิเศษแล้วไปครอบงำกรรมาธิการงบประมาณ หวังจะนำงบมาลงพื้นที่ตัวเองนั้น เป็นเพียงการจินตนาการเอาเองว่า มีเจ๊หรือแกนนำพรรคเพื่อไทยมาสั่งรัฐมนตรีได้ ทางพรรคเพื่อไทยขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง อีกทั้งกรรมาธิการแต่ละคนล้วนมีเกียรติ ศักดิ์ศรี คงไปล่อยให้ใครมาชี้นำหรือครอบงำให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายได้ นายศุภชัย ใจสมุทร ที่กล่าวหาแกนนำภาคเหนือบีบงบผ่านรัฐมนตรีคนพิเศษ หากมีหลักฐานขอให้นำแสดง ไม่ใช่พูดปากเปล่า หรือจะนำข้อมูลไปให้ปปช.ตรวจสอบ หรือจะนำเรื่องเข้าคณะกรรมาธิการป.ป.ช.ของสภาฯ ที่ทั้งนายศุภชัยและตน เป็นคณะกรรมาธิการ ให้ตรวจสอบก็ได้
"ส่วนตัวไม่อยากให้โฆษกพรรคภูมิใจไทยมองโลกในแง่ร้าย กล่าวหาสมาชิกพรรคเพื่อไทยโดยไม่มีเหตุผล และจะตรวจสอบประเด็นข้อกฎหมายว่ากรณีเข้าข่ายการหมิ่นประมาทหรือไม่ หากผิดก็อาจมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการต่อไป อีกทั้งไม่อยากเห็นการกุข่าวทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาลโดยอ้างข้อมูลลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานแล้วทำให้คนอื่นเสียหาย สร้างความสับสนให้ประชาชน"
วานนี้ (15 ส.ค.) ที่ห้องประชุมรัฐสภา มีการอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ในวาระ 2 เรียงรายมาตรา วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท เป็นวันแรก
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล และนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฏร ชี้แจงถึงกรอบระยะเวลาในการหารือร่วมกับทางวิปฝ่ายค้าน โดยที่ประชุมมีความเห็นตรงกันในการอภิปรายงบประมาณวาระ2และลงมติวาระ3 โดยให้เวลาการอภิปราย 3 วันๆ ละ15 ชั่วโมง รวมเวลาอภิปรายประมาณ 45 ชั่วโมง
**"โต้ง"แจงงบ56 ปรับลด2.2หมื่นล้าน
ต่อมานายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ แถลงว่า กมธ.วิสามัญได้เริ่มพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ตั้งแต่ 28 พ.ค. จนแล้วเสร็จวันที่ 1 ส.ค. รวม 46 วัน ได้ปรับลดงบจำนวน 22,003,385,300 บาท โดยพิจารณาจากเป้าหมายผลดำเนินงานจริงระยะเวลาและความสามารถใช้จ่ายงบ
โดยในวงเงินที่ปรับลดดังกล่าว 1.จัดสรรเพิ่มให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน จำนวน 16,921,655,500 บาท 2.จัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4,751,729,800 บาท 3.จัดสรรให้หน่วยงานรัฐสภา ศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ จำนวน 330,000,000 บาท
จากนั้นเข้าสู่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ โดยเริ่มอภิปรายในมาตรา 3 เกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายฯ
โดย น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ ส.ส.ลพบุรี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย ได้สงวนความเห็นปรับลดร้อยละ 5 ของวงเงิน 2.4 ล้านลานบาท โดยอภิปรายว่า ตนมีข้อสังเกตการทำงบ 2.4 ล้านล้านบาท มีจุดอ่อน โดยคิดว่ารัฐบาลกู้เงินมากเกินไปและไม่ตั้งใจตั้งงบจ่ายหนี้สาธารณะ หลังจากดำเนินนโยบายใช้เงินกู้เมื่อปีที่ผ่านมา ที่จะต้องใช้หนี้ถึง 32 ปี ถึงจะหมดหนี้ อีกทั้งปีนี้เราไม่ได้ใช้หนี้เงินกู้ ทำให้เป็นภาระประเทศไทย และการจัดทำงบปีนี้ ไม่ตกผลึก ทำไปเปลี่ยนแปลงตลอด หลายโครงการไม่มีรายละเอียดชัดเจน
**ลดภาษีนิติบุคคลสูญรายได้1.5แสนล้าน
นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า งบประมาณรายจ่ายจำนวน 2.4 ล้านล้านบาท ถือเป็นงบที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ ส่วนประมาณการรายได้ 2.1 ล้านล้านบาท ที่มาจากการจัดเก็บภาษี ยังไม่ยุติธรรม โดยเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า รัฐบาลได้จัดเก็บภาษีต่ำกว่าเป้าที่กำหนดไว้ 36,000 ล้านบาท หลังจากรัฐบาลได้มีการใช้มาตรการลดภาษีนิติบุคคล จากที่เก็บ 30% เหลือ 23% จนกระทั่งมาอยู่ที่ 20% ทำให้รัฐสูญรายได้ไปแล้วกว่า 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งการปรับลดภาษีจะไม่ต้องทำเลย หากรัฐบาลทบทวนลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ก็ไม่จำเป็นต้องลดการจัดเก็บภาษี แต่การปรับลดภาษีดังกล่าวเป็นช่วยเหลือนายทุนแบบไม่มีเงื่อนไขถึง 1.5 แสนล้านบาท เมื่อนายทุนไม่ต้องเสียภาษี ประชาชนโดยรวมและผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ต้องมารับภาระแทน การจัดเก็บภาษีในอัตราต่ำเป็นเรื่องที่ดี เป็นการสะท้อนประสิทธิภาพการบริหารราชการ แต่เมื่อรัฐบาลยังเพิ่มค่าใช้จ่ายอยู่ รัฐบาลก็ต้องจัดเก็บภาษีจากประชาชนเพิ่มขึ้น
**ถามรีดภาษีตามเป้าจากไหน
นายกรณ์กล่าวว่า การที่รัฐบาลตั้งเป้าจะเก็บภาษีให้ได้ที่ 2.1 ล้านล้านบาท จะเก็บจากที่ไหน จากใคร โดยมองว่า รายจ่ายในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีการใช้จ่ายเงินที่ไม่คุ้มค่าและสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจ คือ ไม่ได้เพิ่มโอกาสให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น หรือเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศ
ส่วนเรื่องโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาล เห็นว่า ได้สร้างความเสียหายให้กับงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข้าว ทำให้ประเทศไทยเสียรายได้จากการส่งออกข้าวกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลควรที่จะทบทวนโครงการดังกล่าวโดยเร็ว และมีความน่าเป็นห่วงเกษตรกร เพราะนโยบายรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร แต่จากผลการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า เงินจากนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล 100 บาท ถึงมือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพียงแค่ 30 บาท เท่านั้น
***ยันจำนำข้าวเข้าข่ายผิดกฏค้าโลก
นายเกียรติ สิทธิอมร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ที่รัฐบาลระบุว่าการรับจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดจะทำให้ราคาตลาดโลกขยับสูงขึ้น ไม่เป็นความจริง เพราะราคาข้าวขึ้นอยู่กับระบบอุปสงค์และอุปทานโลก ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่ปลูกข้าวเพียง 6% ของโลก แล้วจะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นได้
“ขณะนี้เราถูกประจานจากทั่วโลก นิตยสาร economist ระบุว่านโยบายสร้างปัญหาให้เกษตรกรและรัฐบาลเสี่ยงขาดทุนสูงในการขายข้าว ด้านรอยเตอร์บอกว่านโยบายจำนำข้าวต้องใช้เงินสูงถึง 6 แสนล้านบาท และจะขายข้าวได้ยาก เพราะมีคู่แข่งอย่างอินเดียและเวียดนาม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โจมตีว่าล้มเหลว คอร์รัปชั่นสูง และส่งผลให้จีดีพีโตเพียง 1% ขณะที่กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ ยังชี้อีกว่าการจำนำข้าวอาจนำไปสู่หายนะของการส่งออกข้าวไทย”นายเกียรติกล่าว
ทั้งนี้ เป้าหมายของรัฐบาล คือ 1.5-2 หมื่นบาท แต่ตัวเลขของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นาตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย.2555 ระบุว่า ค่าข้าวเปลือกเจ้าชาวนาได้ราคาตั้งแต่ 9,600 บาทถึง 10,467 บาท ดังนั้น อยากถามว่า 5 พันบาทไปอยู่ในกระเป๋าใคร
นายเกียรติกล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวยังเสี่ยงต่อการขัดกติกาขององค์การค้าโลก (WTO) เพราะนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พูดเองว่าไทยมีสิทธิใช้งบประมาณจำนำไม่เกิน 1.9 หมื่นล้านบาท จากการลงนามตั้งแต่ปี 2537 กับ WTO ถ้าคำนวณจากค่าผลผลิตข้าวเปลือกของประเทศไทยทั้งประเทศ 33 ล้านตัน ขาดทุนตันละ 5 พันบาท เท่ากับขาดทุน 1.5 แสนล้านบาทต่อปี เกิน 1.9 หมื่นล้านไปเยอะ เมื่อกลับมาดูคำอธิบายของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลังที่ยืนยันว่าไม่ขาดทุน หากยังไม่ขายข้าว อยากบอกนายกิตติรัตน์ว่าข้าวไม่ใช่หุ้น หากเก็บไว้นานจะยิ่งเสื่อม ทั้งยังเสียค่าเก็บรักษาข้าว จ่ายค่าดอกเบี้ย โกดัง ไซโล เสียเป็นเงิน 4.1 หมื่นกว่าล้านบาท
นายเกียรติกล่าว่าว ของแพงเพราะนโยบายผิดพลาด เมื่อช่วงตั้งแต่ 1 ก.ค.-10ส.ค.2555 รัฐบาลปล่อยให้มีการขึ้นราคาน้ำมันถึง 10 ครั้ง ทั้งที่ตลาดโลกไม่ได้ขึ้น โดยเฉพาะเบนซิน 91 และ 95 รวม 4.80 บาท/ลิตร รัฐบาลคงไม่รู้ว่ามีเกษตรกรยังใช้เบนซินเติมเครื่องมือทำเกษตรถึง 1 ล้านครัวเรือน มีจักรยานยนต์ของคนจนๆ ในต่างจังหัวดใช้เบนซินอีก2.5 ล้านคัน
**หมอวรงค์ซัดโกงข้าวใช้ 3 รูปแบบ
น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายว่า พบว่าการโกงมี 3 รูปแบบ คือ โกงความชื้น ทั้งๆ ที่คณะกรรมการกำกับติดตามโครงการจำนำข้าวที่มีบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน มีมติชัดเจนเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2554 กำหนดว่าถ้าความชื้นสูงเกินไป ให้คิดความชื้นสูงสุดเพียง 30% แต่ชาวนาหลายรายถูกโกงความชื้นที่ตัวเลข 34-37% และยังพบว่ามีการโกงตาชั่ง เมื่อชั่งน้ำหนักได้ 10 ตัน แต่เมื่อลงข้อมูลน้ำหนักเบื้องต้นในใบประทวน กลับเขียนตาชั่งเริ่มต้นที่ 8 ตัน และยังมีการโกงสิ่งเจือปนที่พบในพื้นที่ภาคอีสานจำนวนมาก
“ผู้ที่ถูกโกงใน 3 กรณีนี้ ทางการต้องรื้อใบประทวนให้หมด คืนความเป็นธรรมให้ชาวนา”
น.พ.วรงค์กล่าวว่า ที่หนักข้อที่สุด คือ พบว่าโครงการนี้ มีการเปิดเสรีทุจริตจำนวนมากจากการสวมสิทธิครั้งมโหฬาร เห็นได้จากการที่นักวิชาการได้ชี้ว่าข้าวนอกระบบโผล่เพิ่มถึง 3 ล้านตัน จ.ร้อยเอ็ด มีข้าวที่มาจำนำเกินกว่าที่ผลิตได้ถึง176% จ.มหาสารคาม 112% จ.กำแพงเพชร 223% จ.เชียงใหม่ 185% จ.พิษณุโลก 144% จ.พิจิตร 142% จ.เชียงราย 135% ทำให้โรงสีแต่ละแห่งโกยรายได้หลักร้อยล้านถึงพันล้าน จะดูกล้องวงจรปิด ก็ดูไม่ได้ จอดำหมด
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำเอาข้าวมาเวียนเทียน คือ เอาข้าวที่ไปประมูลมาเปลี่ยนกระสอบใหม่ และเวียนไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าโกดังของรัฐบาล จึงมีแต่ข้าวเสีย เพราะข้าวดีถูกเอาไปขายหมด และยังพบอีกว่าอำนาจในการตรวจสอบคุณภาพข้าวของรัฐทั้งหมดตกอยู่กับบริษัทเซอเวย์เยอร์ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าว ซึ่งชาวบ้านแจ้งมาว่ามีกระบวนการเก็บหัวคิวจากบริษัทเซเวย์เยอร์จากรถที่เอาข้าวมาเก็บในโกดังของรัฐบาล ถ้าข้าวดีตรงมาตรฐานเก็บ 7 บาท ซึ่งจะมีการเก็บหัวคิวจาก 7 บาท ถึง 100 บาทเป็นอย่างน้อย ถ้าข้าวเสื่อมสภาพก็เก็บแพงขึ้น ถ้าเป็นหอมมะลิจะสูงถึง 200 บาท
**องอาจ"พบทุจริตฟื้นฟูน้ำท่วม
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามการทุจริต แต่ให้งบป้องกันและปราบปรามทุจริตแค่ 420 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งที่มีการทุจริตเพิ่มขึ้นตลอด และเป็นเรื่องที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลแก้ไข การทุจริตที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายถึง 2-3 แสนล้านบาทต่อปี เทียบไม่ได้กับงบปราบทุจริตที่ได้เพียง 420 ล้านบาท หลายโครงการในงบประมาณ 56 ก็มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่
"เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา มีผลการสำรวจจากโพลหลายสำนักเห็นตรงกันว่าปัญหาคอรัปชั่นเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่ง แต่ที่ร้ายแรงสุด คือ มีรายงานเรียกรับเงินในโครงการฟื้นฟูน้ำท่วมถึง 35% และบางโครงการทุจริตกัน 100% คือ ไปถ่ายรูปโครงการอื่นๆ ที่ดำเนินการไปแล้ว แล้วนำมาตั้งเรื่องเบิกงบจ่ายเงินทำเป็นโครงการที่ไม่ต้องขุดดินเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งอยากเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญและมีความจริงใจกับการแก้ปัญหาคอรัปชั่นมากกว่านี้ "นายองอาจกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงบ่ายก็ยังคงอภิปรายในมาตรา 3 เกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายฯ และสิ้นสุดการอภิปรายวันแรกในเวลา 24.00 น.
**“ปู” ยันงบปี 56 โปร่งใส มีวินัย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมสภา ซึ่งก่อนหน้ามีข่าวว่าจะตรวจพื้นที่น้ำท่วม และได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านติงเรื่องการจัดทำงบประมาณปี 56 ที่มีการกู้เงินมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลังว่า ยืนยันว่าการจัดทำงบประมาณเป็นไปอย่างโปร่งใส ได้วางแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และอีกส่วนเตรียมไว้สำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต แต่เน้นไปที่เรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก เพราะต้องปรับปรุงประเทศเพื่อเตรียมรับการก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะเห็นได้ว่าจากการสำรวจ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศเราอยู่ในอันดับท้ายๆ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เราจึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณส่วนหนึ่งในการลงทุนเพื่ออนาคต และเพื่อให้เราสามารถแข่งขันได้
"เราจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ด้วยความระมัดระวัง ที่สำคัญคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง โดยมีการขาดดุลงบประมาณที่ลดลง"
ส่วนแนวทางการหารายได้เพิ่มนั้น มาทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เราได้ดำเนินการไป ซึ่งหวังให้มีการใช้จ่ายในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้มีรายได้กลับมา โดยเฉพาะด้านการส่งออก ได้พยายามมองหาช่องทางอื่นแทนตลาดยุโรปที่มีปัญหาให้มากขึ้น เช่นตลาดใหญ่อย่างอาเซียน เพื่อเป็นอีกช่องทางในการหารายได้เข้าประเทศ
**ปัดตอบ“เติ้ง”ทวงถูกตัด320 ล้าน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมาทวงงบการบริหารจัดการน้ำในส่วนของกรมชลประทานที่ถูกตัดออกไป 320 ล้านบาท และมาตรการลอยตัวก๊าซหุงต้ม นายกฯ ปฎิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมกับรีบเดินเข้าไปเซ็นชื่อเข้าร่วมประชุมสภาในทันที
**พท.ปัด “เจ๊ภาคเหนือ”แทรกงบ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวทำนองมีแกนนำพรรคเพื่อไทยในภาคเหนือบงการรัฐมนตรีคนพิเศษแล้วไปครอบงำกรรมาธิการงบประมาณ หวังจะนำงบมาลงพื้นที่ตัวเองนั้น เป็นเพียงการจินตนาการเอาเองว่า มีเจ๊หรือแกนนำพรรคเพื่อไทยมาสั่งรัฐมนตรีได้ ทางพรรคเพื่อไทยขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง อีกทั้งกรรมาธิการแต่ละคนล้วนมีเกียรติ ศักดิ์ศรี คงไปล่อยให้ใครมาชี้นำหรือครอบงำให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายได้ นายศุภชัย ใจสมุทร ที่กล่าวหาแกนนำภาคเหนือบีบงบผ่านรัฐมนตรีคนพิเศษ หากมีหลักฐานขอให้นำแสดง ไม่ใช่พูดปากเปล่า หรือจะนำข้อมูลไปให้ปปช.ตรวจสอบ หรือจะนำเรื่องเข้าคณะกรรมาธิการป.ป.ช.ของสภาฯ ที่ทั้งนายศุภชัยและตน เป็นคณะกรรมาธิการ ให้ตรวจสอบก็ได้
"ส่วนตัวไม่อยากให้โฆษกพรรคภูมิใจไทยมองโลกในแง่ร้าย กล่าวหาสมาชิกพรรคเพื่อไทยโดยไม่มีเหตุผล และจะตรวจสอบประเด็นข้อกฎหมายว่ากรณีเข้าข่ายการหมิ่นประมาทหรือไม่ หากผิดก็อาจมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการต่อไป อีกทั้งไม่อยากเห็นการกุข่าวทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาลโดยอ้างข้อมูลลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานแล้วทำให้คนอื่นเสียหาย สร้างความสับสนให้ประชาชน"