ASTVผู้จัดการรายวัน-รัชนก อินทนนท์ เกือบทำให้คนไทยทั้งประเทศได้เฮ หลังได้เซตแรกการแข่งขันแบดมินตัน หญิงเดี่ยวรอบก่อนรองชนะเลิศ ลอนดอนเกมส์ แต่ฝันมาสลายเมื่อจีนแก้เกมกลับมาเอาชนะไปในสองเซตหลัง ส่งผลให้ “น้องเมย์” หยุดผลงานใน โอลิมปิก 2012 ไว้ที่รอบ 8 คนสุดท้าย ขณะที่ ประเภทชายคู่ต้านความเก๋าของสองนักแบดมาเลเซียไว้ไม่อยู่พ่ายไปสองเซตรวดรอบก่อนรองชนะเลิศเช่นกัน ขณะที่มวยสากลสมัครเล่นรุ่น 52 กก. “โค้ชธง”พ.ต. ธง ทวีคูณ ยัน ฉัตรชัย บุตรดี มีดีที่ความเร็วเชื่อเอาตัวรอดชนะนักมวยพันธุ์ดุจากคิวบา รามิเรซ คาร์ราซาน่า โรไบซี่ย์ ทะลุรอบชิงเหรียญทองแดงได้
ทีมแบดมินตันไทยในลอนดอนเกมส์ไปไม่ถึงฝันหลังน้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ พ่ายให้กับนักแบดฯมือสองจากจีน 1-2 เซต (21-17, 18-21 และ 14-21 ) ขณะที่ชายคู่จอมเซอร์ไพรส์ “เอ-อาร์ต”มณีพงศ์ จงจิตร และ บดินทร์ อิสระ โชว์ฟอร์มร้อนไม่ออกพ่ายนักตบลูกขนไก่จากมาเลเซีย คู เคียน เคียต และ ตัน บูน ฮง ไปสองเซตรวด (16-21 และ 17-21)
โดยน้องเมย์ ที่พ่ายไปอย่างน่าเสียดายได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวโดยด้วยเสียงสั่นเครืองว่า “ในช่วงเซตที่สองนั้นพยายามจะเร่งเกมเพื่อปิดแมทช์ให้ได้ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขันนัดนี้เพราะเวลานั้นคู่ต่อสู้กำลังแก้เกมเราอยู่ ตอนนั้นก็เหมือนกดดันตนเองด้วย” ส่วนอาการบาดเจ็บในเซตที่สามนั้นน้องเมย์เผยว่า “เป็นอาการเจ็บที่ฝ่าเท้ารู้สึกแสบๆมาตั้งแต่ปลายเซตที่สองแต่ไม่ได้มีผลอะไรกับการแข่งขัน” ส่วนที่แผ่วในช่วงปลายเซตสามนั้นน้องเมย์กล่าวว่า “ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมย์ใส่อย่างเต็มที่ในเซตที่สองไม่ได้เพื่อแรงเอาไว้เล่นเซตสามเลยแผ่วปลายอย่างที่เห็น”
สำหรับอนาคตต่อจากนี้น้องเมย์เผยว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไร กลับเมืองไทยคงขอพักก่อนยอมรับว่าลงแข่งครั้งนี้ทำผลงานได้เกินความคาดหมายซึ่งประสบการณ์จากโอลิมปิกหนนี้ทำให้เมย์รู้ว่าต้องแก้ไขเรื่องสมาธิของตนเอง และวางแผนเกมการเล่นของตนเองไม่ใจร้อนจนทำให้เสียรูปเกมอย่างที่เป็นในครั้งนี้ “
ทั้งนี้น้องเมย์ ได้กล่าวขอบคุณชาวไทยที่ให้กำลังใจโดยกล่าวว่า “ขอบคุณชาวไทยที่ให้กำลังใจทุกท่านตอนนี้ทีมแบดฯไทยทำให้เห็นแล้วว่านักกีฬาของเรามีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลกโอลิมปิกหนนี้เมย์ ทำอย่างสุดความสามารถแล้วอีกสี่ปีข้างหน้าสัญญาว่าจะต้องเอาเหรียญมาให้ได้”
ส่วนในประเภทชายคู่นั้นหลังจบการแข่งขัน เอ-มณีพงศ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าถึงเกมที่ผ่านมาว่า "เกมรอบนี้เล่นหน้าเนตได้ไม่ดีพลาดเยอะลูกไม่น่าเสียเราก็ไปเสีย อย่างในเซตแรกถูกทิ้งแต้มห่างไปหน่อยก็พยายามจะทำคะแนนกลับคืนมา ซึ่งก็เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วแต่คู่มาเลเซียเขาอาศัยจังหวะที่ดีวางลูกหน้าเนตได้ดีกว่า" เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าที่เล่นไม่ได้ดีอย่างที่ตั้งใจนั้นเป็นเพราะกดดันเนื่องจากลงสนามรอบก่อนรองชนะเลิศในโอลิมปิกเป็นครั้งแรกหรือเปล่า เพราะในช่วงเซตที่สองนั้น "เอ" ถึงกับตะโกนเพื่อเรียกสมาธิให้กับตนเองโดยเจ้าตัวเผยว่า "ก่อนลงสนามไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร แต่พอลงแข่งใจก็คิดไปว่าต้องทำให้ได้ ต้องผ่านคู่แข่งจากมาเลเซียคู่นี้ให้ได้ ซึ่งทำให้เราตั้งใจมากเกินไปจนเสียลูกง่ายๆ อย่างในเซตที่สองนั้นเราถูกนำห่างพอเริ่มทำคะแนนไล่เขามาเรื่อยๆก็คิดว่าน่าจะตามทันแต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายไปในที่สุด"
สำหรับอนาคตต่อจากนี้ “เอ-มณีพงศ์” เผยว่า "ต่อจากนี้ยังคงลงสนามคู่กับอาร์ตต่อไปเพราะเราเข้ากันได้ดีและหลังจากนี้ อันดับโลกน่าจะปรับมาอยู่ในท้อป 15 ของโลกแต่ส่วนตัวแล้วตั้งความหวัง เวลานี้ไม่มีอาการบาดเจ็บมารบกวน ซึ่งเราสองคนเข้าใจดีว่าเป็นพวกที่เล่นเกม หนัก ดังนั้นต้องรักษาสภาพร่างกายเอาไว้ให้ดีที่สุด ส่วนอันดับโลกนั้นตั้งเป้าเอาไว้ว่าปีหน้าจะต้องอยู่ในท้อป 5 ให้ได้" ถึงตรงนี้ ผู้สื่อข่าวให้ เอ-มณีพงษ์ ได้ฝากข้อความถึงพี่น้องชาวไทยที่คอยให้กำลังใจนักแบดฯหนุ่มวัย 21 ปีกล่าวว่า "ผมขอขอบคุณทุกกำลังใจที่คนไทยมอบให้ในการลงสนามโอลิมปิกหนนี้ และ ต้องขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง จากนี้จะตั้งใจทำผลงานต่อไปและพยายามไปอยู่ในท้อป 5 ของโลกให้ได้"
ทางด้าน อาร์ต- บดินทร์ ซึ่งมีสีหน้าเสียใจกับผลงานที่เพิ่งพ่ายให้กับนักแบดมาเลเซีย กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงเกมการเล่นที่ผ่านมาว่า "ในช่วงที่ถูกนำห่างนั้นผมคิดว่าเรายังสู้เขาได้ไม่คิดถอดใจถ้าเกมยังไม่จบผมไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน แต่ต้องยอมรับว่าวันนี้คู่ คู เคียน เคียต กับ ตัน บูน ฮง นั้นเล่นได้ดีโดยเฉพาะเกมหน้าเนต ขณะที่เราก็พลาดในจุดเล็กๆอย่างที่เอ บอก" เมื่อถูกถามว่ากดดันหรือไม่ก่อนลงสนาม หนุ่มอาร์ตเผยว่า "ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เพราะผ่านสนามการแข่งขันมาเยอะแล้ว แต่น่าจะเป็นเพราะอยากทำผลงานให้ดีที่สุดอยากจะตามคู่ต่อสู้ให้ทัน ก็เลยกลายเป็นว่าเราเล่นเกร็งไป" ส่วนอันดับโลกที่คู่หู เอ-มณีพงษ์ บอกว่าจะพยายามติดท้อป 5 ของโลกให้ได้ภายในปีหน้านั้น อาร์ต เผยว่า "ผมก็ตั้งใจแบบเดียวกับ "เอ" เพราะตอนนี้เราสองคนทุ่มให้กับการแข่งขันอย่างเต็มที่และจะพยายามทำผลงานให้ดีที่สุด"
นอกจากนี้แล้วยังมีความเคลื่อนไหวของทีมกำปั้นไทยเมื่อโค้ชธง พ.ต. ธง ทวีคูณมั่นใจว่า ฉัตรชัย ยังมีดีพอที่จะเอาชนะนักมวยจากคิวบาได้ โดยโค้ชธงให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวก่อนที่ “เจ้าสด” ฉัตรชัย บุตรดี จะขึ้นชกรอบ 16 คนโดยจะพบกับ รามิเรซ คาร์ราซาน่า โรไบซี่ย์ในวันที่ 3 ส.ค.นี้ เวลา 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่ของประเทศอังกฤษซึ่งตรงกับเวลาในเมืองไทยประมาณ 03.00 น.ของวันที่ 4 ส.ค. ตามเวลาประเทศไทย
โดย “โค้ชธง”เผยถึงความพร้อมของ “เจ้าสด”ว่า "สภาพร่างกายของฉัตรชัยอยู่ในขั้นสมบูรณ์เต็มร้อย ไม่มีอาการบาดเจ็บหรือป่วยใดๆ ขณะเดียวกันสภาพจิตใจก็ยอดเยี่ยมไม่มีอาการกังวลใดๆ โดยช่วง 2 วันที่ผ่านมาเจ้าตัวก็ทำการบ้านอย่างหนักด้วยการดูวีดีโอศึกษาสไตล์การชกของรามิเรซ" ขณะเดียวกันหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมกำปั้นไทยยังพูดถึงความเร็วของ รามิเรซ ที่หลายคนเป็นกังวลหลังไล่ถลุงคาซูเอกิ ซูซะ 19-7 แต้มในการชกรอบแรกว่า "หลายคนดูแมตช์ที่รามิเรซเอาชนะญี่ปุ่นอาจจะมองว่านักมวยรายนี้เร็วมาก แต่หากเทียบกันจริงๆแล้วฉัตรชัยของเราก็ไม่ได้เป็นรอง และดูจะเหนือกว่าด้วยซ้ำที่สำคัญประสบการณ์ของเราเหนือกว่ามาก ซึ่งผมยังมั่นใจว่านักชกไทยจะผ่านคู่แข่งเข้าไปในรอบชิงเหรียญทองแดงได้แน่นอน"
ด้านฉัตรชัย ว่าที่นักชกพ่อลูกอ่อน เผยก่อนขึ้นชกในวันที่ 3 ส.ค.นี้ว่า "จากการศึกษาข้อมูลของมวยคิวบารายนี้ต้องยอมรับว่าเป็นมวยฝีมือ และเป็นมวยซ้ายด้วยกัน แต่ผมเองก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ โดยเราจะต้องพยายามใช้ความเร็วต่อยบนสลับล่างและอาศัยจังหวะปล่อยซ้ายตรงเล่นงาน อย่างไรก็ดีก็จะวางแผนชกอย่างรัดกุมและไม่ประมาทแน่นอน"
สำหรับ ฉัตรชัย บุตรดี หากสร้างผลงานทะลุเข้าไปคว้าเหรียญทองในการชกรุ่น 52 กก.ชายได้สำเร็จ ก็จะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับทีมกำปั้นไทยเป็นชาติที่สองที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์รุ่นดังกล่าวได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ต่อจากฮังการี ที่ทำได้ในโอลิมปิกเกมส์ 1928 และ 1932 โดยเมื่อ 4 ปีที่แล้วไทยสามารถคว้าเหรียญทองในการชกรุ่นนี้จาก สมจิตร จงจอหอ
ทางด้าน “ฮีโร่โอลิมปิก” คนล่าสุด พิมศิริ ศิริแก้ว นั้นเมื่อช่วงเช้าของวันพฤหัสที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมาได้ออกจากหมู่บ้านนักกีฬาพร้อมเพื่อนร่วมทีมและ “เสธ.ยอด” พลตรี อินทรัตน์ ยอดบางเตย เดินทางท่องเที่ยวกรุงลอนดอนโดยนั่งรถไฟใต้ดินที่สถานีสเตรทฟอร์ด จากหมู่บ้านนักกีฬาเข้ามาย่าน ลอนดอน โบโร่ เพื่อชมความงามของ ลอนดอน ทาวเวอร์ บริดจ์ ก่อนจะชมทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเธมส์ ผ่าน “อายออฟลอนดอน” ทั้งนี้ “น้องแต้ว” มีสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาเผยกับผู้สื่อข่าว “อยากมาทาวเวอร์บริดจ ตั้งแต่มาถึงกรุงลอนดอนแล้วเพราะเห็นในภาพถ่ายแล้วสวยมาก”เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้ไปช้อปปิ้บ้างหรือยัง เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิกคนล่าสุดเผยว่า “วันพุธที่ผ่านมาได้ไปเดินซื้อของกับเพื่อนร่วมทีมและโค้ชหันที่ ศูนย์สรรพสินค้า “เวสต์ฟีลด์” ซึ่งอยู่ภายในโอลิมปิกพาร์คมาแล้วมีซื้อถุงเท้าไปฝากเพื่อนนักกีฬายกน้ำหนัก และอีกสองสามชิ้นฝากที่บ้านส่วนวันนี้ถ้ามีโอกาสอาจจะซื้อของฝากคนอื่นเพิ่มเติมเหมือนกัน”
ทั้งนี้ “น้องแต้ว” และทีมยกน้ำหนักไทยจะเดินทางกลับเมืองไทยพร้อมกันในวันที่ 4 สิงหาคม โดยสายการบินไทยเที่ยวบินที่ ทีจี 917 ถึงเมืองไทยวันที่ 5 สิงหาคม เวลาประมาณ 15.05 น.
ทีมแบดมินตันไทยในลอนดอนเกมส์ไปไม่ถึงฝันหลังน้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ พ่ายให้กับนักแบดฯมือสองจากจีน 1-2 เซต (21-17, 18-21 และ 14-21 ) ขณะที่ชายคู่จอมเซอร์ไพรส์ “เอ-อาร์ต”มณีพงศ์ จงจิตร และ บดินทร์ อิสระ โชว์ฟอร์มร้อนไม่ออกพ่ายนักตบลูกขนไก่จากมาเลเซีย คู เคียน เคียต และ ตัน บูน ฮง ไปสองเซตรวด (16-21 และ 17-21)
โดยน้องเมย์ ที่พ่ายไปอย่างน่าเสียดายได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวโดยด้วยเสียงสั่นเครืองว่า “ในช่วงเซตที่สองนั้นพยายามจะเร่งเกมเพื่อปิดแมทช์ให้ได้ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขันนัดนี้เพราะเวลานั้นคู่ต่อสู้กำลังแก้เกมเราอยู่ ตอนนั้นก็เหมือนกดดันตนเองด้วย” ส่วนอาการบาดเจ็บในเซตที่สามนั้นน้องเมย์เผยว่า “เป็นอาการเจ็บที่ฝ่าเท้ารู้สึกแสบๆมาตั้งแต่ปลายเซตที่สองแต่ไม่ได้มีผลอะไรกับการแข่งขัน” ส่วนที่แผ่วในช่วงปลายเซตสามนั้นน้องเมย์กล่าวว่า “ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมย์ใส่อย่างเต็มที่ในเซตที่สองไม่ได้เพื่อแรงเอาไว้เล่นเซตสามเลยแผ่วปลายอย่างที่เห็น”
สำหรับอนาคตต่อจากนี้น้องเมย์เผยว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไร กลับเมืองไทยคงขอพักก่อนยอมรับว่าลงแข่งครั้งนี้ทำผลงานได้เกินความคาดหมายซึ่งประสบการณ์จากโอลิมปิกหนนี้ทำให้เมย์รู้ว่าต้องแก้ไขเรื่องสมาธิของตนเอง และวางแผนเกมการเล่นของตนเองไม่ใจร้อนจนทำให้เสียรูปเกมอย่างที่เป็นในครั้งนี้ “
ทั้งนี้น้องเมย์ ได้กล่าวขอบคุณชาวไทยที่ให้กำลังใจโดยกล่าวว่า “ขอบคุณชาวไทยที่ให้กำลังใจทุกท่านตอนนี้ทีมแบดฯไทยทำให้เห็นแล้วว่านักกีฬาของเรามีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลกโอลิมปิกหนนี้เมย์ ทำอย่างสุดความสามารถแล้วอีกสี่ปีข้างหน้าสัญญาว่าจะต้องเอาเหรียญมาให้ได้”
ส่วนในประเภทชายคู่นั้นหลังจบการแข่งขัน เอ-มณีพงศ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าถึงเกมที่ผ่านมาว่า "เกมรอบนี้เล่นหน้าเนตได้ไม่ดีพลาดเยอะลูกไม่น่าเสียเราก็ไปเสีย อย่างในเซตแรกถูกทิ้งแต้มห่างไปหน่อยก็พยายามจะทำคะแนนกลับคืนมา ซึ่งก็เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วแต่คู่มาเลเซียเขาอาศัยจังหวะที่ดีวางลูกหน้าเนตได้ดีกว่า" เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าที่เล่นไม่ได้ดีอย่างที่ตั้งใจนั้นเป็นเพราะกดดันเนื่องจากลงสนามรอบก่อนรองชนะเลิศในโอลิมปิกเป็นครั้งแรกหรือเปล่า เพราะในช่วงเซตที่สองนั้น "เอ" ถึงกับตะโกนเพื่อเรียกสมาธิให้กับตนเองโดยเจ้าตัวเผยว่า "ก่อนลงสนามไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร แต่พอลงแข่งใจก็คิดไปว่าต้องทำให้ได้ ต้องผ่านคู่แข่งจากมาเลเซียคู่นี้ให้ได้ ซึ่งทำให้เราตั้งใจมากเกินไปจนเสียลูกง่ายๆ อย่างในเซตที่สองนั้นเราถูกนำห่างพอเริ่มทำคะแนนไล่เขามาเรื่อยๆก็คิดว่าน่าจะตามทันแต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายไปในที่สุด"
สำหรับอนาคตต่อจากนี้ “เอ-มณีพงศ์” เผยว่า "ต่อจากนี้ยังคงลงสนามคู่กับอาร์ตต่อไปเพราะเราเข้ากันได้ดีและหลังจากนี้ อันดับโลกน่าจะปรับมาอยู่ในท้อป 15 ของโลกแต่ส่วนตัวแล้วตั้งความหวัง เวลานี้ไม่มีอาการบาดเจ็บมารบกวน ซึ่งเราสองคนเข้าใจดีว่าเป็นพวกที่เล่นเกม หนัก ดังนั้นต้องรักษาสภาพร่างกายเอาไว้ให้ดีที่สุด ส่วนอันดับโลกนั้นตั้งเป้าเอาไว้ว่าปีหน้าจะต้องอยู่ในท้อป 5 ให้ได้" ถึงตรงนี้ ผู้สื่อข่าวให้ เอ-มณีพงษ์ ได้ฝากข้อความถึงพี่น้องชาวไทยที่คอยให้กำลังใจนักแบดฯหนุ่มวัย 21 ปีกล่าวว่า "ผมขอขอบคุณทุกกำลังใจที่คนไทยมอบให้ในการลงสนามโอลิมปิกหนนี้ และ ต้องขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง จากนี้จะตั้งใจทำผลงานต่อไปและพยายามไปอยู่ในท้อป 5 ของโลกให้ได้"
ทางด้าน อาร์ต- บดินทร์ ซึ่งมีสีหน้าเสียใจกับผลงานที่เพิ่งพ่ายให้กับนักแบดมาเลเซีย กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงเกมการเล่นที่ผ่านมาว่า "ในช่วงที่ถูกนำห่างนั้นผมคิดว่าเรายังสู้เขาได้ไม่คิดถอดใจถ้าเกมยังไม่จบผมไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน แต่ต้องยอมรับว่าวันนี้คู่ คู เคียน เคียต กับ ตัน บูน ฮง นั้นเล่นได้ดีโดยเฉพาะเกมหน้าเนต ขณะที่เราก็พลาดในจุดเล็กๆอย่างที่เอ บอก" เมื่อถูกถามว่ากดดันหรือไม่ก่อนลงสนาม หนุ่มอาร์ตเผยว่า "ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เพราะผ่านสนามการแข่งขันมาเยอะแล้ว แต่น่าจะเป็นเพราะอยากทำผลงานให้ดีที่สุดอยากจะตามคู่ต่อสู้ให้ทัน ก็เลยกลายเป็นว่าเราเล่นเกร็งไป" ส่วนอันดับโลกที่คู่หู เอ-มณีพงษ์ บอกว่าจะพยายามติดท้อป 5 ของโลกให้ได้ภายในปีหน้านั้น อาร์ต เผยว่า "ผมก็ตั้งใจแบบเดียวกับ "เอ" เพราะตอนนี้เราสองคนทุ่มให้กับการแข่งขันอย่างเต็มที่และจะพยายามทำผลงานให้ดีที่สุด"
นอกจากนี้แล้วยังมีความเคลื่อนไหวของทีมกำปั้นไทยเมื่อโค้ชธง พ.ต. ธง ทวีคูณมั่นใจว่า ฉัตรชัย ยังมีดีพอที่จะเอาชนะนักมวยจากคิวบาได้ โดยโค้ชธงให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวก่อนที่ “เจ้าสด” ฉัตรชัย บุตรดี จะขึ้นชกรอบ 16 คนโดยจะพบกับ รามิเรซ คาร์ราซาน่า โรไบซี่ย์ในวันที่ 3 ส.ค.นี้ เวลา 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่ของประเทศอังกฤษซึ่งตรงกับเวลาในเมืองไทยประมาณ 03.00 น.ของวันที่ 4 ส.ค. ตามเวลาประเทศไทย
โดย “โค้ชธง”เผยถึงความพร้อมของ “เจ้าสด”ว่า "สภาพร่างกายของฉัตรชัยอยู่ในขั้นสมบูรณ์เต็มร้อย ไม่มีอาการบาดเจ็บหรือป่วยใดๆ ขณะเดียวกันสภาพจิตใจก็ยอดเยี่ยมไม่มีอาการกังวลใดๆ โดยช่วง 2 วันที่ผ่านมาเจ้าตัวก็ทำการบ้านอย่างหนักด้วยการดูวีดีโอศึกษาสไตล์การชกของรามิเรซ" ขณะเดียวกันหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมกำปั้นไทยยังพูดถึงความเร็วของ รามิเรซ ที่หลายคนเป็นกังวลหลังไล่ถลุงคาซูเอกิ ซูซะ 19-7 แต้มในการชกรอบแรกว่า "หลายคนดูแมตช์ที่รามิเรซเอาชนะญี่ปุ่นอาจจะมองว่านักมวยรายนี้เร็วมาก แต่หากเทียบกันจริงๆแล้วฉัตรชัยของเราก็ไม่ได้เป็นรอง และดูจะเหนือกว่าด้วยซ้ำที่สำคัญประสบการณ์ของเราเหนือกว่ามาก ซึ่งผมยังมั่นใจว่านักชกไทยจะผ่านคู่แข่งเข้าไปในรอบชิงเหรียญทองแดงได้แน่นอน"
ด้านฉัตรชัย ว่าที่นักชกพ่อลูกอ่อน เผยก่อนขึ้นชกในวันที่ 3 ส.ค.นี้ว่า "จากการศึกษาข้อมูลของมวยคิวบารายนี้ต้องยอมรับว่าเป็นมวยฝีมือ และเป็นมวยซ้ายด้วยกัน แต่ผมเองก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ โดยเราจะต้องพยายามใช้ความเร็วต่อยบนสลับล่างและอาศัยจังหวะปล่อยซ้ายตรงเล่นงาน อย่างไรก็ดีก็จะวางแผนชกอย่างรัดกุมและไม่ประมาทแน่นอน"
สำหรับ ฉัตรชัย บุตรดี หากสร้างผลงานทะลุเข้าไปคว้าเหรียญทองในการชกรุ่น 52 กก.ชายได้สำเร็จ ก็จะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับทีมกำปั้นไทยเป็นชาติที่สองที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์รุ่นดังกล่าวได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ต่อจากฮังการี ที่ทำได้ในโอลิมปิกเกมส์ 1928 และ 1932 โดยเมื่อ 4 ปีที่แล้วไทยสามารถคว้าเหรียญทองในการชกรุ่นนี้จาก สมจิตร จงจอหอ
ทางด้าน “ฮีโร่โอลิมปิก” คนล่าสุด พิมศิริ ศิริแก้ว นั้นเมื่อช่วงเช้าของวันพฤหัสที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมาได้ออกจากหมู่บ้านนักกีฬาพร้อมเพื่อนร่วมทีมและ “เสธ.ยอด” พลตรี อินทรัตน์ ยอดบางเตย เดินทางท่องเที่ยวกรุงลอนดอนโดยนั่งรถไฟใต้ดินที่สถานีสเตรทฟอร์ด จากหมู่บ้านนักกีฬาเข้ามาย่าน ลอนดอน โบโร่ เพื่อชมความงามของ ลอนดอน ทาวเวอร์ บริดจ์ ก่อนจะชมทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเธมส์ ผ่าน “อายออฟลอนดอน” ทั้งนี้ “น้องแต้ว” มีสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาเผยกับผู้สื่อข่าว “อยากมาทาวเวอร์บริดจ ตั้งแต่มาถึงกรุงลอนดอนแล้วเพราะเห็นในภาพถ่ายแล้วสวยมาก”เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้ไปช้อปปิ้บ้างหรือยัง เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิกคนล่าสุดเผยว่า “วันพุธที่ผ่านมาได้ไปเดินซื้อของกับเพื่อนร่วมทีมและโค้ชหันที่ ศูนย์สรรพสินค้า “เวสต์ฟีลด์” ซึ่งอยู่ภายในโอลิมปิกพาร์คมาแล้วมีซื้อถุงเท้าไปฝากเพื่อนนักกีฬายกน้ำหนัก และอีกสองสามชิ้นฝากที่บ้านส่วนวันนี้ถ้ามีโอกาสอาจจะซื้อของฝากคนอื่นเพิ่มเติมเหมือนกัน”
ทั้งนี้ “น้องแต้ว” และทีมยกน้ำหนักไทยจะเดินทางกลับเมืองไทยพร้อมกันในวันที่ 4 สิงหาคม โดยสายการบินไทยเที่ยวบินที่ ทีจี 917 ถึงเมืองไทยวันที่ 5 สิงหาคม เวลาประมาณ 15.05 น.