xs
xsm
sm
md
lg

ฐาปนบินด่วนซื้อเบียร์ไทเกอร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ไม่ใช่แค่ลือ “ไทยเบฟเวอเรจ” ยอมรับยื่นข้อเสนอขอซื้อหุ้น “ เอฟแอนด์เอ็น” และ “เอพีบี” เจ้าของเบียร์ไทเกอร์จริง “ฐาปน”บินด่วนเข้าเจรจาดีลใหญ่มูลค่ากว่า 5หมื่นล้านบาทแล้ว แต่ด้าน “ไฮเนเก้น”คงไม่ยอมปล่อยแหล่งทอง คาดยื่นเสนอราคาสู้ ล่าสุด “ ไทยเบฟฯ” ปรับยุทธศาสตร์โลจิสติกครั้งใหญ่ ชูแผน 5ปี อัด 2,500 ล้านบาท ผุดศูนย์กระจายสินค้า 4 แห่ง ลดคลังสินค้าย่อย เดินเกมต่อยอดใช้ระบบขนส่งทางเรือ อากาศ รถไฟ ลดต้นทุน 10% รับการเปิดเออีซี

จากกรณีที่มีรายงานข่าวว่า กลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ยื่นข้อเสนอซื้อหุ้น เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) ผู้ดำเนินธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม อสังหาริมทรัพย์ และสิ่งพิมพ์ของสิงคโปร์ จากธนาคารโอเวอร์ซี- ไชนีสแบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น (โอซีบีซี) และ เกรทอีสต์เทิร์นโฮลดิงส์ บริษัทประกันใน เครือ รวมทั้งเสนอซื้อหุ้น 7.9% ในเอเชียแปซิฟิกบริวเวอรี่ (เอพีบี) ที่อยู่ในครอบครองของโอซีบีซี และเกรทอีสต์เทิร์นโฮลดิงส์นั้น
วานนี้ (18ก.ค.) นางชาลอต โทณวณิก ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผู้บริหารของบริษัทที่ สิงคโปร์ ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงจามที่เป็นข่าว โดยบริษัทได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวไปยังตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสิงคโปร์ ถึงข่าวการเข้าไปเจรจาซื้อหุ้นในเอฟแอนด์เอ็น ผู้ดำเนินธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม อสังหาริมทรัพย์และสิ่งพิมพ์ของสิงคโปร์ จากธนาคาร โอซีบีซี และเกรทอีสต์เทิร์น โฮลดิ้งค์ บริษัทที่ทำธุรกิจประกัน พร้อมทั้งสนใจเข้าไปซื้อหุ้นใน เอพีบี จากกลุ่ม โอซีบีซี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง เอฟแอนด์เอ็น และไฮเนเก้น เพื่อผลิตเบียร์ยี่ห้อ ไทเกอร์เบียร์ เช่นเดียวกัน
โดยการเข้าไปซื้อหุ้นในครั้งนี้จาก โอซีบีซี แบ่งเป็น การเข้าไปซื้อหุ้นใน เอฟแอนด์เอ็น สัดส่วน 18.2% และเข้าไปซื้อหุ้นใน เอพีบี สัดส่วน 7.9% คิดเป็นเม็ดเงินรวมประมาณ 1,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย ประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ได้เดินทางด่วนไปที่ประเทศสิงคโปร์ ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเจรจาในเรื่องดังกล่าวด้วย จากเดิมที่มีกำหนดการจะมาร่วมการเปิด คลังสินค้าที่ จ.นครราชสีมาวานนี้ (18ก.ค.)
ทั้งนี้ หากการเจรจาขอซื้อหุ้นดังกล่าวของกลุ่ม ไทยเบฟเวอเรจ ประสบความสำเร็จ จะส่งผลให้บริษัทกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของเอฟแอนด์เอ็น รองลงมาคือ คิริน โฮลดิงส์ ผู้ผลิตเบียร์ญี่ปุ่น และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับไฮเนเก้น ซึ่งมีหุ้น 42% ใน เอพีบี ขณะที่ เอฟแอนด์เอ็น ถือหุ้น 40% เช่นกัน
จากข้อมูลพบว่า เอฟแอนด์เอ็น เป็นเจ้าของเบียร์แบรนด์ดัง คือ เบียร์ไทเกอร์ และบริษัทลงทุนรายใหญ่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์สิงคโปร์ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทลูกที่ทำธุรกิจอื่นๆเชื่อมโยงอีกหลายธุรกิจ ซึ่งรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อ อย่าง เฟรเซอร์ เซนเตอร์พอยต์ และ ไทมส์ พับลิชชิ่ง โดย ปี 2554 เอฟแอนด์เอ็น มีสินทรัพย์สุทธิกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือกว่า 350,000 ล้านบาท มีพนักงานกว่า 17,000 คนใน 20 ประเทศ ขณะที่ เอพีบี มีโรงกลั่นเบียร์ 30 แห่ง ใน 12 ประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก และจำหน่ายเบียร์กว่า 120 ยี่ห้อ
อย่างไรก็ตาม บริษัทไฮเนเก้น ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ได้ประกาศเตือนว่า ไฮเนเก้นจะดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทางบริษัทในตลาดเอเชีย หลังจากบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เสนอซื้อหุ้นเอฟแอนด์เอ็น ของสิงคโปร์ ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นหุ้นส่วนของไฮเนเก้นในภูมิภาคนี้ โดยบริษัทกำลังพิจารณาทางเลือกต่างๆ และจะดำเนินการใดๆก็ตามที่เหมาะสมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท ทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นที่เชื่อว่า ยังไม่มีบทสรุปที่ลงตัว แม้ ไทยเบฟเวอเรจ จะมีศักยภาพมากพอในการระดมทุนซื้อหุ้นล็อตใหญ่ในครั้งนี้

***ไทยเบฟยกเครื่องโลจิสติกส์
นายวันชัย ศารทูลทัต ประธานกรรมการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติก จำกัด  ผู้จัดจำหน่ายสินค้าในเครือบริษัทไทยเบฟฯ เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับยุทธศาสตร์ระบบศูนย์กระจายสินค้าครั้งใหญ่ โดยวางแผนในระยะ 5 ปี (ปี 2551-2556) ปรับจากการที่มีระบบเอเยนต์หรือการมีคลังสินค้า 80 แห่ง ให้เหลือลดลง พร้อมกับการผุดศูนย์กระสินค้าขนาดใหญ่  ด้วยการทุ่มงบลงทุน 2,500 ล้านบาท สร้างศูนย์กระจายสินค้า 4 แห่ง

ในเบื้องต้น 3 ปีที่ผ่านมา ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าแล้ว 3 แห่ง ภายใต้งบ 1,400 ล้านบาท ได้แก่ ที่จังหวัดนครราชสีมา บนพื้นที่ 400ไร่ พื้นที่คลังสินค้า 1หมื่นตรม. เพื่อรองรับการกระจายสินค้าภาคอีสาน จังหวัดชลบุรี พื้นที่ 66ไร่ พื้นที่คลังสินค้า 7,800 ตรม. รองรับการขนส่งในภูมิภาคตะวันออก และศูนย์กระจายสินค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี รองรับการกระจายสินค้าในภาคใต้ 

ส่วนงบอีก 1,100 ล้านบาท จะผุดศูนย์กระจายสินค้าที่ภาคเหนือ 1-2แห่ง  ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน  จากปัจจุบันในส่วนของภาคเหนือได้มีคลังสินค้าอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร และยังได้ซื้อรถจำนวนหกล้อและยี่สิบสองล้อ จำนวน 90 คัน จากเดิมมีรถจำนวนทั้งหมด 1,800คัน รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ

ขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความสำคัญกับระบบการกระจายสินค้าประเภทอื่นๆ ได้แก่ การขนส่งทางเรือ ซึ่งระบบดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงกับเสริมสุข  มีระบบขนส่งทางเรือที่แข็งแกรง ระบบขนส่งทางรถไฟ โดยได้จับมือร่วมกับการรถไฟ ขณะนี้ได้ทดลองขนส่งไปภาคเหนือ อีสาน และใต้ และคาดว่าจะร่วมมือขนส่งเป็นตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้ปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น และในอนาคตบริษัทยังมองถึงการผุดศูนย์กระจายสินค้าในตลาดต่างประเทศ เพื่อรองรับกับการเปิดเขตเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน หรือเออีซี

ทั้งนี้บริษัทไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติก เป็นผู้กระจายสินค้าในเครือ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเบียร์ กลุ่มสุรา และกลุ่มเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ สัดส่วน 80% และอีก 20% ได้เตรียมจัดตั้งเป็นสำนักธุรกิจขนส่งต่อเนื่อง อาทิ สินค้าน้ำตาล อ้อย ปุ๋ย ฯลฯ  โดยมีมูลค่าร่วมแสนล้านบาท โดยการปรับระบบโลจิสติกในครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนได้ 10% ลดการใช้พลังงานและลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนจากเส้นทางการกระจายสินค้า โดยคำนึงให้สอดคล้องกับฝ่ายขาย ขณะเดียวกันส่งผลให้การกระจายสินค้ามีความรวดเร็วมากขึ้น จาก 3วัน ต่อครั้ง เป็นเหลือ 1วันต่อครั้ง อย่างไรก็ตามหลังจากการเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทเสริมสุข ซึ่งจะมีผลในเดือนพฤศจิกายน นี้ ทำให้อาจจะต้องมีการจัดสรรระบบกระจายสินค้าใหม่อีกครั้ง

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ไทยเบฟ โลจิสติก มุ่งเป็นผู้นำกระจายสินค้ากลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มในอีก 2 ปี ข้างหน้านี้หรือประมาณปี 2557 บริษัทจะดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพและมีต้นทุนต่ำ พร้อมทั้งพัฒนาศูนย์ขนส่งประจำเฉพาะโรงงานเหล้าขาวและพัฒนาให้มีศูนย์กระจายสินค้า ระดับภูมิภาคพัฒนาศูนย์ขนส่งและศูนย์กระจายสินค้าให้มีมาตรฐานในทุกภูมิภาค เพื่อรองรับกับในปี 2558 วางแผนส่งออกสินค้าทั้งกลุ่มแอลกอฮอล์และนอนแอลกอฮอล์ไปในอาเซียน

ทั้งนี้ในแต่ละปีบริษัทมีต้นทุนการบริหารจัดการค่าโลจิสติก 2,500 -2,600 ล้านบาท หรือในเชิงปริมาณ 1,600-1,700 ล้านลิตร  และหลังจากที่บริษัทปรับระบบการกระจายสินค้าใหม่จะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง 10% หรือ 250 ล้านบาท  และในอนาคตบริษัทหวังให้ไทยเบฟ ฯ โลจิสติกเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่สร้างรายได้ด้วยตัวเอง เพื่อผลักดันการผุดศูนย์กระจายสินค้าในต่างประเทศจากปัจจุบันบริษัทที่เน้นการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ
กำลังโหลดความคิดเห็น