ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สาธารณชนได้อะไรจากการจัดเวทีการเมืองของกลุ่มต่างๆ ในเวลานี้ โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง อายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จันทบุรี ลพบุรี ปทุมธานี ชลบุรี แพร่ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครพนม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุดรธานี ขอนแก่น กระบี่ นราธิวาสและสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,136 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 4 – 7 ก.ค. พบว่า
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 72.1 ระบุเป็นประเด็นการสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลุ่มหนึ่ง แต่อีกกลุ่มหนึ่งไม่สนับสนุน รองลงมาคือ ร้อยละ 59.2 ระบุเป็นเรื่องที่กลุ่มหนึ่งสนับสนุน พ.ร.บ.ปรองดอง แต่อีกกลุ่มหนึ่งไม่สนับสนุน ในขณะที่ร้อยละ 57.7 ระบุเป็นเรื่องที่กลุ่มหนึ่งมีจุดยืนจะเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอีกกลุ่มหนึ่งไม่เอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ร้อยละ 55.0 ระบุเป็นเรื่องการนิรโทษกรรมในทุกคดี แต่อีกกลุ่มหนึ่งต่อต้านการนิรโทษกรรม และร้อยละ 54.2 ระบุ เป็นเรื่องที่กลุ่มหนึ่งต่อต้านการปฏิวัติยึดอำนาจ แต่อีกกลุ่มหนึ่งมีท่าทีสนับสนุน
นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 77.2 เห็นว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ในเวลานี้ เป็นการแย่งชิงอำนาจ ในขณะที่ ร้อยละ 22.8 ไม่คิดเช่นนั้น
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อสอบถามว่า ประเด็นสำคัญที่รับทราบว่ามีการพูดถึงในการจัดเวทีการเมืองของกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นนโยบายสาธารณะ ให้ผลประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ พบว่า ประชาชนส่วนน้อย หรือเพียงร้อยละ 25.1 เท่านั้น ทราบว่ามีการพูดถึงการป้องกัน แก้ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ร้อยละ 12.2 ระบุว่า มีการพูดถึงสวัสดิการด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ ร้อยละ 9.9 ระบุว่า พูดถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม ร้อยละ 6.7 ระบุว่ามีการพูดถึงแนวทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และ เพียงร้อยละ 6.1 เท่านั้น ที่ใส่ใจพูดถึงกรรมสิทธิ์ของชาวบ้านในที่ดินทำกิน
ที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.5 ระบุ การจัดเวทีเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำกันไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้อง ในขณะที่เพียงร้อยละ 25.5 ระบุ เพื่อประโยชน์ของคนทั้งประเทศ
ส่วนประเด็นคลิปเสียงของประธานสภา จะทำให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย หรือไม่ พบว่า เกินครึ่งหรือ ร้อยละ 53.5 คิดว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้ง แต่อีกร้อยละ 46.5 ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งอะไร
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า การจัดเวทีปราศรัยของฝ่ายการเมืองกลุ่มต่างๆ ในขณะนี้ยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ของประเทศเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในเชิงนโยบายสาธารณะต่อคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่กลับเห็นว่า เป็นเพียงกลยุทธทางการเมือง เพื่อแย่งชิงอำนาจ ฉวยโอกาสสร้างกระแสความได้เปรียบ และความอยู่รอดของตนเองหรือพวกพ้องเท่านั้น จึงน่าเป็นห่วงในสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า อาจทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่จุดตั้งต้นของการแสวงหากลุ่มผู้วางกรอบกติกาของบ้านเมือง ซ้ำซากจนอาจทำให้ “การเมือง” กลายเป็นแพะรับบาป ก่อให้เกิดความรังเกียจของสาธารณชนต่อกลุ่มนักการเมือง ทั้งๆ ที่ “การเมือง” เป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้สาธารณชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ลดความขัดแย้งและนำไปสู่ความเจริญ และประเทศไทยในปัจจุบัน ก็ได้พัฒนามาไกลมากเกินกว่าที่จะถอยหลัง หรือหยุดชะงัก จึงเสนอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเวลานี้ และประชาชนทุกคนลองพิจารณาสถานการณ์จำลองและข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
ประการแรก สถานการณ์จำลอง ที่เป็นไปได้ส่วนหนึ่งคือ การจัดเวทีการเมืองของกลุ่มต่างๆ เวลานี้มีแต่ประเด็นหลักๆไม่กี่ประเด็น เช่น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือไม่แก้ไข เรื่องหนุนการนิรโทษกรรมหรือไม่หนุน เรื่องต้องยึดตัวบทกฎหมายเอาคนผิดมาลงโทษหรือต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ เรื่องให้มีการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง หรือไม่
จึงจะเห็นได้ว่า วาระสำคัญของแต่ละกลุ่มการเมืองมีแต่เรื่องเชิงอำนาจ และความอยู่รอดของคนเฉพาะกลุ่ม แต่ไม่เห็นเวทีการเมืองใดที่จะสามารถสร้างกระแสให้สาธารณชนถกเถียงกันเรื่องเชิงนโยบายสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของชาวบ้านโดยส่วนใหญ่ทั้งประเทศ
ประการที่สอง ฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจฝ่ายต่างๆ น่าจะ “ลด” ระดับการปลุกระดม ให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ประชาชนลง แต่ “เพิ่ม” ระดับของการปลุกกระแสผ่านการจัดเวทีการเมือง ให้สาธารณชนหันมาพูดคุยเชิงเหตุผล เรื่องนโยบายสาธารณะ เช่น ควรจะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถออกกฎหมายเองได้หรือไม่ ในเรื่อง การเงินการธนาคาร การบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่นของตนเอง กรรมสิทธิ์ของชาวบ้านในเรื่องที่ทำกิน การจับปรับผู้ฝ่าฝืนทำผิดกฎจราจรในชุมชน เป็นต้น เมื่อประเด็นเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นกระแสที่สาธารณชนสนใจก็จะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมวิพากษ์วิจารณ์และหาเหตุผลสนับสนุนฝ่ายการเมืองของกลุ่มต่างๆ ตามระบอบประชาธิปไตยต่อไป
ประการที่สาม ฝ่ายรัฐบาล หน่วยงานราชการ และองค์กรอิสระ น่าจะหันมาเอาจริงเอาจังในการปฏิรูปปัญหาสำคัญของประเทศในเวลานี้ หันมาสร้าง “เสาหลัก” ของบ้านเมืองให้เป็นที่ไว้วางใจของสาธารณชนต่อ ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าคุ้มทุนงบประมาณภาษีของประชาชนในการพัฒนาประเทศ และการวางตัวบุคคลที่เป็น รัฐมนตรี ข้าราชการหัวหน้าหน่วย และเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงของแต่ละหน่วยราชการและองค์กรอิสระที่สามารถตอบสนองความต้องการและป้องกันแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของสาธารณชนได้ เป็นที่ยอมรับในความรับผิดชอบและความน่าเชื่อถือในความเป็นผู้นำแต่ละสถานการณ์ปัญหาของบ้านเมือง และทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใสให้สาธารณชนสามารถตรวจสอบแกะรอยเม็ดเงินงบประมาณจากส่วนกลางสู่มือประชาชนแต่ละท้องถิ่นได้อย่างเปิดเผย
ประการที่สี่ ศูนย์บำบัดฟื้นฟูผู้เสพติดอำนาจทางการเมือง น่าจะกลายเป็นพื้นที่ที่จำเป็นสำหรับสังคมเครือข่ายนักการเมืองไทยในเวลานี้ เพื่อให้กลุ่มนักการเมืองหรือผู้เตรียมตัวเป็นนักการเมืองได้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมผลิตนักการเมืองที่ดีให้กับบ้านเมืองด้วย “ตัวยาและเครื่องมือทางการเมืองแพทย์การเมืองที่ทันสมัย” โดยตัวยาสำคัญได้แก่เนื้อหาสาระของความเป็นผู้นำ นวัตกรรมการบริหารจัดการเชิงนโยบาย การกำหนดนโยบายสาธารณะ การประยุกต์ใช้จริยธรรมทางการเมือง และการติดตามประเมินผล ในขณะที่เครื่องมือทางการแพทย์คือการสร้างแบบจำลองสถานการณ์ทางการเมือง และการเข้าร่วมศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อทำให้ผู้ที่กำลังเสพติดอำนาจทางการเมืองกลายเป็นนักการเมืองที่ดีมีคุณภาพทำเพื่อความสุขในอุดมการณ์ของตนเองและประโยชน์สุขของสาธารณชนในระบอบประชาธิปไตยต่อไป
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 72.1 ระบุเป็นประเด็นการสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลุ่มหนึ่ง แต่อีกกลุ่มหนึ่งไม่สนับสนุน รองลงมาคือ ร้อยละ 59.2 ระบุเป็นเรื่องที่กลุ่มหนึ่งสนับสนุน พ.ร.บ.ปรองดอง แต่อีกกลุ่มหนึ่งไม่สนับสนุน ในขณะที่ร้อยละ 57.7 ระบุเป็นเรื่องที่กลุ่มหนึ่งมีจุดยืนจะเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอีกกลุ่มหนึ่งไม่เอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ร้อยละ 55.0 ระบุเป็นเรื่องการนิรโทษกรรมในทุกคดี แต่อีกกลุ่มหนึ่งต่อต้านการนิรโทษกรรม และร้อยละ 54.2 ระบุ เป็นเรื่องที่กลุ่มหนึ่งต่อต้านการปฏิวัติยึดอำนาจ แต่อีกกลุ่มหนึ่งมีท่าทีสนับสนุน
นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 77.2 เห็นว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ในเวลานี้ เป็นการแย่งชิงอำนาจ ในขณะที่ ร้อยละ 22.8 ไม่คิดเช่นนั้น
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อสอบถามว่า ประเด็นสำคัญที่รับทราบว่ามีการพูดถึงในการจัดเวทีการเมืองของกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นนโยบายสาธารณะ ให้ผลประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ พบว่า ประชาชนส่วนน้อย หรือเพียงร้อยละ 25.1 เท่านั้น ทราบว่ามีการพูดถึงการป้องกัน แก้ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ร้อยละ 12.2 ระบุว่า มีการพูดถึงสวัสดิการด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ ร้อยละ 9.9 ระบุว่า พูดถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม ร้อยละ 6.7 ระบุว่ามีการพูดถึงแนวทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และ เพียงร้อยละ 6.1 เท่านั้น ที่ใส่ใจพูดถึงกรรมสิทธิ์ของชาวบ้านในที่ดินทำกิน
ที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.5 ระบุ การจัดเวทีเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำกันไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้อง ในขณะที่เพียงร้อยละ 25.5 ระบุ เพื่อประโยชน์ของคนทั้งประเทศ
ส่วนประเด็นคลิปเสียงของประธานสภา จะทำให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย หรือไม่ พบว่า เกินครึ่งหรือ ร้อยละ 53.5 คิดว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้ง แต่อีกร้อยละ 46.5 ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งอะไร
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า การจัดเวทีปราศรัยของฝ่ายการเมืองกลุ่มต่างๆ ในขณะนี้ยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ของประเทศเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในเชิงนโยบายสาธารณะต่อคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่กลับเห็นว่า เป็นเพียงกลยุทธทางการเมือง เพื่อแย่งชิงอำนาจ ฉวยโอกาสสร้างกระแสความได้เปรียบ และความอยู่รอดของตนเองหรือพวกพ้องเท่านั้น จึงน่าเป็นห่วงในสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า อาจทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่จุดตั้งต้นของการแสวงหากลุ่มผู้วางกรอบกติกาของบ้านเมือง ซ้ำซากจนอาจทำให้ “การเมือง” กลายเป็นแพะรับบาป ก่อให้เกิดความรังเกียจของสาธารณชนต่อกลุ่มนักการเมือง ทั้งๆ ที่ “การเมือง” เป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้สาธารณชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ลดความขัดแย้งและนำไปสู่ความเจริญ และประเทศไทยในปัจจุบัน ก็ได้พัฒนามาไกลมากเกินกว่าที่จะถอยหลัง หรือหยุดชะงัก จึงเสนอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเวลานี้ และประชาชนทุกคนลองพิจารณาสถานการณ์จำลองและข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
ประการแรก สถานการณ์จำลอง ที่เป็นไปได้ส่วนหนึ่งคือ การจัดเวทีการเมืองของกลุ่มต่างๆ เวลานี้มีแต่ประเด็นหลักๆไม่กี่ประเด็น เช่น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือไม่แก้ไข เรื่องหนุนการนิรโทษกรรมหรือไม่หนุน เรื่องต้องยึดตัวบทกฎหมายเอาคนผิดมาลงโทษหรือต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ เรื่องให้มีการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง หรือไม่
จึงจะเห็นได้ว่า วาระสำคัญของแต่ละกลุ่มการเมืองมีแต่เรื่องเชิงอำนาจ และความอยู่รอดของคนเฉพาะกลุ่ม แต่ไม่เห็นเวทีการเมืองใดที่จะสามารถสร้างกระแสให้สาธารณชนถกเถียงกันเรื่องเชิงนโยบายสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของชาวบ้านโดยส่วนใหญ่ทั้งประเทศ
ประการที่สอง ฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจฝ่ายต่างๆ น่าจะ “ลด” ระดับการปลุกระดม ให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ประชาชนลง แต่ “เพิ่ม” ระดับของการปลุกกระแสผ่านการจัดเวทีการเมือง ให้สาธารณชนหันมาพูดคุยเชิงเหตุผล เรื่องนโยบายสาธารณะ เช่น ควรจะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถออกกฎหมายเองได้หรือไม่ ในเรื่อง การเงินการธนาคาร การบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่นของตนเอง กรรมสิทธิ์ของชาวบ้านในเรื่องที่ทำกิน การจับปรับผู้ฝ่าฝืนทำผิดกฎจราจรในชุมชน เป็นต้น เมื่อประเด็นเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นกระแสที่สาธารณชนสนใจก็จะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมวิพากษ์วิจารณ์และหาเหตุผลสนับสนุนฝ่ายการเมืองของกลุ่มต่างๆ ตามระบอบประชาธิปไตยต่อไป
ประการที่สาม ฝ่ายรัฐบาล หน่วยงานราชการ และองค์กรอิสระ น่าจะหันมาเอาจริงเอาจังในการปฏิรูปปัญหาสำคัญของประเทศในเวลานี้ หันมาสร้าง “เสาหลัก” ของบ้านเมืองให้เป็นที่ไว้วางใจของสาธารณชนต่อ ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าคุ้มทุนงบประมาณภาษีของประชาชนในการพัฒนาประเทศ และการวางตัวบุคคลที่เป็น รัฐมนตรี ข้าราชการหัวหน้าหน่วย และเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงของแต่ละหน่วยราชการและองค์กรอิสระที่สามารถตอบสนองความต้องการและป้องกันแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของสาธารณชนได้ เป็นที่ยอมรับในความรับผิดชอบและความน่าเชื่อถือในความเป็นผู้นำแต่ละสถานการณ์ปัญหาของบ้านเมือง และทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใสให้สาธารณชนสามารถตรวจสอบแกะรอยเม็ดเงินงบประมาณจากส่วนกลางสู่มือประชาชนแต่ละท้องถิ่นได้อย่างเปิดเผย
ประการที่สี่ ศูนย์บำบัดฟื้นฟูผู้เสพติดอำนาจทางการเมือง น่าจะกลายเป็นพื้นที่ที่จำเป็นสำหรับสังคมเครือข่ายนักการเมืองไทยในเวลานี้ เพื่อให้กลุ่มนักการเมืองหรือผู้เตรียมตัวเป็นนักการเมืองได้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมผลิตนักการเมืองที่ดีให้กับบ้านเมืองด้วย “ตัวยาและเครื่องมือทางการเมืองแพทย์การเมืองที่ทันสมัย” โดยตัวยาสำคัญได้แก่เนื้อหาสาระของความเป็นผู้นำ นวัตกรรมการบริหารจัดการเชิงนโยบาย การกำหนดนโยบายสาธารณะ การประยุกต์ใช้จริยธรรมทางการเมือง และการติดตามประเมินผล ในขณะที่เครื่องมือทางการแพทย์คือการสร้างแบบจำลองสถานการณ์ทางการเมือง และการเข้าร่วมศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อทำให้ผู้ที่กำลังเสพติดอำนาจทางการเมืองกลายเป็นนักการเมืองที่ดีมีคุณภาพทำเพื่อความสุขในอุดมการณ์ของตนเองและประโยชน์สุขของสาธารณชนในระบอบประชาธิปไตยต่อไป