ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- ดูจะสมใจอยาก นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ในบทบาทองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และตระกูลชินวัตรยิ่งนัก เพราะการทำหน้าที่ดังกล่าวถ้าพูดอีกนัยหนึ่งก็ไม่ต่างจาก โฆษกประจำตระกูลชินวัตร แถมสามารถสร้างอัตลักษณ์ให้กับตนเองด้วยการโพสต์ข้อความลงในที่เฟซบุ๊กของตัวเอง (Oak Panthongtae Shinawatra) ตอบโต้แก้ต่างทุกกรณีทุกประเด็นที่พุ่งมาหารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมไปถึงทุกสิ่งอันที่พุ่งเป้าไปถึง นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเขา
ล่าสุด สดๆร้อนๆ นายพานทองแท้ ก็น่าจะปลาบปลื้มไม่น้อยเลยทีเดียว จากการออกมาให้สัมภาษณ์ ของ ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่แถลงข่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังได้เปิดแนวรบในโลกไซเบอร์ โดย ได้เชิญนักท่องอินเทอร์เน็ตที่มีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์กว่า 100 คน โดยมีแนวร่วมคนสำคัญ เช่น นายพานทองแท้ ชินวัตร ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในโลกออนไลน์ขณะนี้ และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด พร้อมด้วยนักวิชาการและกลุ่มนักเรียนนักศึกษาคนรุ่นใหม่ มาร่วมเป็นกองทัพนักรบไซเบอร์ของพรรค โดยเบื้องต้นจะเน้นการใช้ทวิตเตอร์เป็นเครื่องมือสื่อสารหลัก เพราะมีความรวดเร็วและครอบคลุม กลุ่มผู้รักประชาธิปไตยทั่วโลก การใช้ทวิตเตอร์จะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์
อย่างไรก็ตาม อย่ากระนั้นเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีตำแหน่งแห่งหนอย่างเป็นทางการให้กับนายพานทองแท้ ก็หาใช่ว่าเขาจะนั่งงอมืองอเท้า เหมือนลูกคุณหนูผู้ร่ำรวยแห่งตระกูลชินวัตร เฉกเช่นแต่ก่อนเสียเมื่อไหร่ เพราะทุกวันนี้เสี่ย โอ๊คทำตัวเสมือนกำลังจะถูกเสนอชิงรางวัลลูกดีเด่นอย่างไรอย่างนั้น เมื่อวันดีคืนดี โพสต์เฟซบุ๊กเอาใจแฟนเพจ จะจัดทัวร์พาบินไปหา นช.ทักษิณ ฟรี ! ในช่วงที่ นช.ทักษิณ ยังร่อนเร่เป็นสัมภเวสีเข้าประเทศไทยไม่ได้
นายพานทองแท้ระบุว่า สำหรับผู้ที่สนใจจะไปเยี่ยมคนแดนไกลให้หายคิดถึงกับผมนั้น ผมจะพาไปโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายครับ โดยจะจัดได้ครั้งละประมาณ 15-20 คน ก็ขอเอาเป็นเวลาที่คุณพ่อเดินทางมาประเทศที่ใกล้ๆ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ซึ่งไม่ต้องขอวีซ่า เพราะเดี๋ยวจะโดนเหมือนให้นาซาใช้อู่ตะเภาเพื่อแลกวีซ่าอีก เพียงขอให้ท่านมีพาสปอร์ตนะครับ ซึ่งครั้งต่อไปก็น่าจะประมาณอีก 3-4 อาทิตย์ข้างหน้านี้ บุคคลที่จะได้รับเลือกให้ไปด้วยกัน คร่าวๆ ก็จะคัดมาจาก 1 แฟนเพจที่คอมเมนต์แล้วเข้าตาทีมงาน ประมาณ 3-5 ท่าน 2.แฟนเพจที่แชร์และส่งข่าวให้เพื่อนๆอย่างสม่ำเสมอ 3-5 ท่าน 3.แฟนเพจที่เพื่อนแฟนเพจด้วยกันคอมเมนต์เชียร์ให้เป็นตัวแทนไป 3-5 ท่าน 4.จับสลากจากแฟนเพจทั้งหมดอีก 5 ท่าน คร่าวๆ ประมาณนี้นะครับ รายละเอียดต่างๆ จะให้ทีมงานไปตระเตรียม และจะโพสต์ให้ทราบเร็วๆ นี้ครับ”
แน่นอน ถ้าหากจะเปรียบเทียบประเด็นดังกล่าว ก็ไม่เห็นว่าประชาชนทั่วไปจะได้ประโยชน์อันใดจากทัวร์พาเยี่ยมนักโทษชาย พ่อของนายพานทองแท้เลยแม้แต่น้อย และไม่ว่าจะคิดในมุมไหน ก็ไม่เห็นจะเกิดผลดีต่อประเทศไทยแต่อย่างใดเลยด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ บทบาทอันโดดเด่นของพานทองแท้ที่เห็นเด่นชัดในระยะเวลาอันใกล้นี้ก็คือการเปิดศึกทางการเมืองในโลกออนไลน์ในเรื่องประเด็นอู่ตะเภา โดยเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. นายพานทองแท้ ชินวัตร ได้เผยแพร่บทความผ่านทางเฟซบุ๊ก "Oak Panthongtae Shinawatra" โดยเทียบกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาคัดค้านให้สหรัฐฯใช้อู่ตะเภา เพราะเกรงว่าจะเป็นการจารกรรมสอดแนม จนกระทั่งทำให้โครงการสำรวจภูมิอากาศต้องล้มเลิกไปในที่สุด ซึ่งไม่ต่างจากกรณีเด็กชายปลาบู่ ทำนายว่าเขื่อนจะแตก สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คน
ประโยคทีเด็ดของนาย พานทองแท้โพสต์ ก็คือ "อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ประเมินเป็นมูลค่ามิได้ ก็คือมีการให้ข่าวว่าโครงการสำรวจภูมิอากาศขององค์การนาซ่านั้น อาจมีการจารกรรมสอดแนมของกองทัพสหรัฐฯ จนกระทั่งเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ไปทั่วประเทศ ทำให้การอนุมัติโครงการฯนี้ต้องล่าช้าไปจนทำให้ ในที่สุด องค์การนาซ่าต้องยกเลิกโครงการไปเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2555
“แน่นอนครับว่าในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่ "เด็กชายปลาบู่" ที่ออกมาทำนาย แต่บังเอิญว่าชื่อและสมญานามพ้องกัน และผู้ที่ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวนี้ ก็ไม่ใช่ลุงทองใบ คำสี ที่เขียนถึงผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน แต่เป็นหัวหน้าพรรค ปชป.ที่ให้เหตุผลคล้ายกับ ลุงทองใบ ในการคัดค้านตอบโต้ รมว.กห.ว่า รักประเทศต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ส่วนความเสียหายนั้น ก็ไม่ใช่ 4 - 500ล้าน เหมือนที่จ.ตากนะครับ ถ้าหากการสำรวจครั้งนี้สามารถ แก้ปัญหา หรือผ่อนหนักเป็นเบา หรือแม้แต่เพียงแจ้งเตือนได้อย่างแม่นยำ ในเรื่องของภัยพิบัติที่เกิดในบ้านเราถี่ขึ้นทุกวันๆได้จริง ผมว่าโอกาสที่เราเสียไปนั้นประเมินเป็นมูลค่ามิได้ครับ”
อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องถามกลับไปยังนายพานทองแท้ เหมือนกันว่าไม่ทราบว่าจะไปเดือดร้อนแทนกับประเทศสหรัฐอเมริกา ทำไมก็ไม่ทราบได้
ดังนั้นแล้ว นายพานทองแท้ ควรจะดีใจกับประเทศไทยเสียมากกว่า ที่สามารถปกป้องดูแลความมั่นคงของประเทศได้ ไม่ปล่อยให้สหรัฐอเมริกา หลอกใช้ประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติในการใช้ประเทศไทยเพื่อแพร่อำนาจทางทหาร เพื่อต่อสู้กับคานอำนาจกับประเทศจีน ยิ่งถ้านายพานทองแท้พอจะมีเวลามากกว่านี้ก็ควรไปศึกษาให้ท่องแท้ถึงยุทธศาสตร์ที่แท้จริงของสหรัฐอเมริกา เพราะนอกจากที่หวังผลรุกคืบประเทศไทย อเมริกาก็มีแผนที่วางไว้ในเอเชียอาคเนย์ ยังมีโครงการเยี่ยมเยียนทางทะเล ในประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังเคยที่จะรุกคืบประเทศพม่า ด้วยการส่งทูตพิเศษเข้ามาตรวจดูการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการครั้งที่ผ่านมาอีกด้วย
ทั้งนี้ นายพานทองแท้ อย่าได้โทษใครเลยหากโครงการสำรวจภูมิอากาศขององค์การนาซ่า จะต้องพับเก็บไป ถ้านายพานทองแท้สติดีอยู่ ก็น่าจะหันกลับไปด่าบรรดาตัวใหญ่ ตัวเล็กของรัฐบาลที่ไม่แม้กระทั่งอธิบายได้ถึงรายละเอียดต่างๆในโครงการนี้ได้เลยว่าจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และคงต้องถามกลับไปยังนายพานทองแท้ว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยในการร่วมมือที่สุ่มเสี่ยง ตนเองจะออกมารับผิดชอบหรือ และถ้าจะแก้ตัวว่า ทำประเทศไทยเสียโอกาสแก้ปัญหาภัยพิบัติ นายพานทองแท้ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันจะช่วยได้มาก น้อย อย่างไร จะดีก็แต่พูดตีกินทางการเมืองไปวันๆ เท่านั้น
ขณะเดียวกัน หากยังจำกันได้ ไม่นานมานี้เขาก็ได้แสดงผลงานโชห่วยอันลือลั่น ด้วยการสวมวิญญาณเป็น “โอ๊ค ชวนชิม” ปฏิบัติการกู้หน้าความไม่เอาอ่าวของรัฐบาลปูนิ่ม ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ปล่อยให้สินค้าอุปโภคบริโภคดาหน้าขึ้นราคาจนชาวบ้านทั่วบ้านทั่วเมืองขนานนามให้ว่าเป็นยุคแพงทั้งแผ่นดิน โดยนายพานทองแท้ โชว์รอยหยักในสมองอันน้อยนิดของตัวเอง ด้วยการตระเวนทัวร์ไปกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 บาท ถึงจังหวัดเชียงใหม่
นี่ก็คงบ่งบอกได้ดีถึงสติปัญญาของ นายพานทองแท้ ว่ามีมากน้อยเพียงใดได้เป็นอย่างดี และอย่ากระนั้นเลย ถ้ามันง่ายอย่างนั้นจริง ทำไมกระทรวงพาณิชย์ ต้องลงทุนลงแรงเข้ามาควบคุมราคาอาหารจานด่วนให้มันวุ่นวายเสียให้ยุ่งยาก ก็เพราะทนเสียงด่าของชาวบ้านทั่วทั้งแผ่นดินไม่ไหวนั้นเอง
ทั้งนี้ จะว่าไปแล้วการตั้งนายพานทองแท้ เป็นเสมือนแม่ทัพโลกออนไลน์ นับเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ที่หันมาให้น้ำหนักยุทธศาสตร์ การสื่อสารมากยิ่งขึ้น โดยมีหัวเรือใหญ่อย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นต้นคิดและเข้ามาดูแลด้วยตัวเอง ร่วมกับทีมงานฝ่ายการเมืองลูกหลานชินวัตร และหนึ่งในนั้นมี โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายคนโตทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นหนึ่งในวอร์รูมด้วย
ว่ากันว่าเหตุที่ พรรคเพื่อไทย ต้องขยับรุกทางกลไกช่องทางนี้มากขึ้น ก็เพราะว่าคงรู้ตัวดีเป็นจุดอ่อนทางด้านนี้อยู่หากเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่สังเกตได้ว่าจะมีช่องทางรุกในทวิตเตอร์-เฟซบุ๊ก ที่มีประเด็นที่นำเสนอ โดยเฉพาะการรวบรวมข้อเท็จจริง และบ่อยครั้งมีหลักฐานประกอบ ดูจะได้ใจหนุ่มสาวโลกไซเบอร์ ในแง่ความน่าเชื่อถือไปไม่น้อย โดยแว่วมาว่าที่ประชุมพรรคเพื่อไทยก็ยอมรับโดยดุษฎีว่าทวิตเตอร์ของนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีคนติดตามจำนวนมาก อีกทั้งการทวีตมีความถี่และจับประเด็นทางการเมืองเพื่อโจมตีรัฐบาลได้รวดเร็วและสร้างผลกระทบออกไปเป็นวงกว้าง ผิดกับทางฝั่งพรรคเพื่อไทย ที่จะมีจุดเด่นตรงการเกณฑ์มวลชนเสื้อแดง โดยอาศัยแกนนำคนเสื้อแดงเสียมากกว่า
ทำให้ เพื่อไทย-ทักษิณ ต้องหันมาสนใจในด้านนี้มากยิ่งขึ้น ไม่ต้องแปลกใจพักหลัง "พานทองแท้" ขยันโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองถี่ยิบยิ่งกว่าโฆษกรัฐบาล ซึ่งอีกด้านหนึ่งว่ากันว่าเป็นการเบนเป้า ช่วยตอบโต้ ไม่ต้องให้ “นายกฯปูนิ่ม” เข้ามาชนกับการเมืองอย่างไม่จำเป็นอีกทางหนึ่ง
ยิ่งเมื่อฟังนายนายภูมิธรรม ซึ่งถือว่าเป็นเสมือนมันสมองของ นช.ทักษิณมาเสมอพูดแล้วก็ดูจะเข้าเค้าด้วยประการทั้งปวง โดยได้กล่าวตอนหนึ่งว่า พรรคเพื่อไทยมีแนวคิดในการส่งเสริมให้คนไทยเป็นนักคิด นักเขียน นักอ่าน มีอิสรภาพทางความคิด และแสดงออกทางความคิดอย่างสร้างสรรค์ผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ทั้งนี้ พรรคการเมืองต้องปรับตัวกับสังคมออนไลน์ พรรคเพื่อไทยก็ต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงในวิวัฒนาการสื่อออนไลน์ทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก
และการที่พรรคเพื่อไทย มีมติตั้ง "เสี่ยอ้วน" ภูมิธรรม เวชยชัย อดีต รมช.คมนาคม นั่งผู้อำนวยการพรรคแทน ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ ทันทีที่เข้ามารับตำแหน่ง "เสี่ยอ้วน" ก็เริ่มงานมวลชนตามถนัดในแนวใหม่ ด้วยการจับมือกับ "โอ๊ค พานทองแท้" สร้างวอร์รูม นักรบไซเบอร์ดันทวีตเตอร์-เฟซบุ๊คของนายพานทองแท้ หวังสร้างกระแสผ่านสังคมออนไลน์สู้กับฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์แบบเต็มตัว
... แต่ก็ไม่รู้ว่างานนี้พรรคเพื่อไทยจะคิดถูกหรือคิดผิด ที่จะตั้งนายพานทองแท้ ขึ้นมาเป็นหัวหอกในเรื่องนี้เต็มตัว ยิ่งหากย้อนไปดูเรื่องขุดข้อมูลซุกหุ้นของพ่อตัวเองคือตัวนช.ทักษิณ ที่เรื่องเงียบหายไปนานแต่ดันทำให้เกิดเป็นประเด็นขึ้นมาอีกได้แล้วละก็ สงสัยงานนี้ต้องขุนกันอีกนานทีเดียวเชียว