เนื่องจากในช่วงนี้มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับรัฐบาลต้องการให้อเมริกาเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภา โดยอ้างว่าเพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ขององค์การอวกาศและการบินของเขา แต่คนที่ไม่โง่เง่าเข้าใจดีว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างบังหน้า จุดมุ่งหมายที่แท้จริงเป็นด้านการทหาร เรื่องนี้เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางในย่านกรุงวอชิงตันเนื่องจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์นำมาแฉไว้ในฉบับประจำวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา
อู่ตะเภาเป็นหนึ่งในฐานทัพเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อเมริกาต้องการกลับเข้ามาใช้หลังจากเข้าไปตั้งฐานปฏิบัติการใหม่สำหรับหน่วยนาวิกโยธินในออสเตรเลียเพื่อเสริมกำลังทางทหารซึ่งมีอยู่แล้วตามฐานทัพต่าง ๆ รวมทั้งในเกาหลี ญี่ปุ่นและเกาะกวม พฤติกรรมของอเมริกามองได้ว่าเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นตอนหนึ่งของการแผ่อำนาจเพื่อหวังจะครองโลกโดยสมบูรณ์หลังฝ่ายคอมมิวนิสต์แตกสลายจากการพ่ายแพ้สงครามเย็นเมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมาส่งผลให้อเมริกาเป็นอภิมหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
ย้อนไปเมื่อตอนฝ่ายคอมมิวนิสต์เพิ่งพ่ายแพ้ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศพากันคาดการณ์ไปต่างๆ นานาและมองว่าอเมริกาจะทำอะไรต่อไป หลายคนเขียนหนังสือออกมารวมทั้ง Samuel P. Huntington ซึ่งพิมพ์หนังสือชื่อ The Clash of Civilizations and the Remaking of World Order เมื่อปี 2539 ชื่อของหนังสือคงแปลตรงๆ ได้ว่า “การปะทะของอารยธรรมและการจัดระเบียบโลกใหม่” หนังสือเรื่องนี้ยังมีความทันสมัยในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะสำหรับผู้ต้องการใช้เป็นเทียนส่องทางเพื่ออ่านเหตุการณ์โลก เช่น ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างอเมริกากับโลกมุสลิมและยุทธศาสตร์การปิดล้อมจีนของอเมริกา จึงขอนำมาเล่าคร่าวๆ ดังนี้
เนื้อหาของหนังสือมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายมุมองที่ว่า โลกแห่งอนาคตจะถูกกำหนดด้วยวัฒนธรรมและอารยธรรมเนื่องจากอัตลักษณ์ทางอารยธรรมเป็นปัจจัยทั้งในการเชื่อมความผูกพันและในการก่อความแปลกแยกระหว่างสังคมมนุษย์ เนื้อหาแยกออกเป็น 5 ตอนเริ่มด้วย (1) การทบทวนวิวัฒนาการด้านอารยธรรมนำไปสู่ (2) การเปลี่ยนสมดุลระหว่างอารยธรรม ทำให้เกิด (3) การจัดระเบียบและ (4) การปะทะกันของอารยธรรมนำไปสู่ (5) อนาคตของโลก
ย้อนไปหลายพันปีมนุษย์มีอารยธรรมใหญ่ๆ อยู่ในหลายส่วนของโลก อารยธรรมเหล่านั้นติดต่อกันเพียงจำกัดจนกระทั่งเมื่อประมาณ 500 ปีที่ผ่านมาเมื่อความก้าวหน้าด้านการคมนาคมทำให้การติดต่อเป็นไปได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของรัฐต่างๆ เป็นไปใน 2 มิตินั่นคือ มิติแรกเกี่ยวกับอารยธรรมตะวันตกซึ่งครอบคลุมรัฐต่างๆ ของฝรั่งในยุโรปและอเมริกา รัฐเหล่านั้นมีทั้งการร่วมมือกัน การชิงดีชิงเด่นกันและการทำสงครามกัน มิติที่ 2 เกี่ยวกับการขยายตัวของรัฐในอารยธรรมตะวันตกไปรุกรานและยึดอารยธรรมอื่นเป็นเมืองขึ้นของตน การเมืองระหว่างประเทศเป็นไปในรูปของ 2 มิติดังกล่าวนี้จนกระทั่งถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามเย็นก่อตัวขึ้น
ในระหว่างสงครามเย็นโลกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนและ 2 ขั้วอำนาจ นั่นคือ ส่วนแรกเป็นประเทศที่รวมตัวกันเป็นขั้วอำนาจอันประกอบด้วยผู้ใช้ระบบประชาธิปไตยประกอบกับตลาดเสรีนำโดยอเมริกา ส่วนที่ 2 เป็นขั้วอำนาจของประเทศที่ใช้ระบบคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต สองขั้วอำนาจนี้แข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อหวังแผ่ขยายไปสู่โลกส่วนที่ 3 ซึ่งมักเป็นประเทศด้อยพัฒนาและประเทศเกิดใหม่ การแข่งขันนั้นบางครั้งนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในโลกส่วนที่ 3 ถึงขนาดต้องทำสงครามตัวแทนกัน และดำเนินไปเช่นนั้นจนกระทั่งไฟสงครามเย็นมอดลงเมื่อสหภาพโซเวียตแตกสลายในปี 2534
ในระหว่างสงครามเย็นนั้นชาวโลกแยกกันออกตามความแตกต่างของอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจ เมื่อระบบคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ ชาวโลกที่เคยนิยมอุดมการณ์แนวคอมมิวนิสต์มองหาสิ่งใหม่มาใช้เป็นกรอบอ้างอิงทางด้านอัตลักษณ์ของตน ยังผลให้ชาวโลกหันกลับไปใช้สิ่งที่พวกเขาเคยใช้มาในอดีต นั่นคือ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประเพณี เผ่าพันธุ์และแนวการดำเนินชีวิตซึ่งประกอบกันเป็นวัฒนธรรมและอารยธรรม เมื่อเป็นเช่นนั้น การเมืองระหว่างประเทศจึงดำเนินไปมิใช่เพื่อการแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ดังแต่ก่อนเท่านั้น หากยังเพื่อการเสริมสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มชนและรัฐให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วย หลังจากไฟสงครามเย็นมอดลงไม่นานชาวโลกก็แยกกันออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ๆ ตามแนววัฒนธรรมดังนี้
● วัฒนธรรมจีน ซึ่งมีประวัติยาวนานหลายพันปีและปัจจุบันนี้ประกอบด้วยจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ ชุมชนจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และวัฒนธรรมใกล้เคียงได้แก่เกาหลีและเวียดนาม
● วัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งแยกออกมาจากจีนเมื่อเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว
● วัฒนธรรมฮินดู ซึ่งมีประวัติประมาณ 4,000 ปีและครอบคลุมพื้นที่ในเอเชียใต้ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่อินเดีย
● วัฒนธรรมอิสลาม ซึ่งมีประวัติราว 1,400 ปีและมีศูนย์กลางอยู่ที่คาบสมุทรอาระเบียและแผ่ขยายไปถึงหลายทวีป
● วัฒนธรรมคริสต์ตะวันออก ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในรัสเซีย
● วัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเริ่มเมื่อราว 1,300 ปีที่แล้วและมีศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์เป็นหลักยึด ประกอบด้วยยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
● วัฒนธรรมละตินอเมริกา ซึ่งแยกออกมาจากยุโรปและมีศูนย์กลางอยู่ในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง
● วัฒนธรรมแอฟริกา ซึ่งครอบคลุมผืนที่ส่วนใหญ่ในทวีปนั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากไม่ยอมรับว่าแอฟริกาส่วนนี้มีความโดดเด่นจนสามารถจัดเป็นอารยธรรมได้
ในจำนวนกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ กลุ่มตะวันตกมีพลังทางเศรษฐกิจและทางทหารสูงที่สุด อย่างไรก็ตาม วิวัฒนาการในช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมาทำให้พลังทางเศรษฐกิจและทางทหารของกลุ่มนี้ในเชิงเปรียบเทียบกับของกลุ่มอื่นลดลงเพราะกลุ่มใหญ่ๆ เช่น จีนและอินเดียประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจสูงมาก นอกเหนือจากนั้น กลุ่มหลังนี้ยังเริ่มมีพลังทางทหารอันมีอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในครอบครองอีกด้วย ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่มีศาสนาอิสลามเป็นแกนนำมีความร่ำรวยมากจากการขายน้ำมันพร้อมกับการเพิ่มจำนวนของประชากรอย่างรวดเร็ว ความร่ำรวยและการเพิ่มขึ้นของประชากรก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจและทางสังคมอย่างใหญ่หลวงยังผลให้ประชาชนส่วนหนึ่งซึ่งต้องการหาที่พึ่งทางจิตใจหันไปยึดศาสนาเป็นหลักแบบตกขอบ
เนื่องจากอารยธรรมต่างๆ เป็นอารยธรรมเก่าแก่โดยเฉพาะจีน อินเดียและอิสลาม คนรุ่นหลังในอารยธรรมเหล่านี้ซึ่งมีความเข้าใจความเป็นไปในอารยธรรมตะวันตกอย่างถ่องแท้เริ่มมองเห็นว่า วัฒนธรรมของตนนั้นไม่ด้อยค่ากว่าของกลุ่มตะวันตกทั้งที่กลุ่มตะวันตกมีความก้าวหน้ากว่าในหลายด้าน นอกจากนั้น พวกเขายังมองอีกว่าบางด้านของวัฒนธรรมตะวันตกเป็นสิ่งชั่วร้าย ในขณะเดียวกัน บางส่วนของกลุ่มตะวันตกยังดึงดันที่จะบอกว่าวัฒนธรรมของตนนั้นเหนือกว่าของผู้อื่น ความเห็นที่ต่างกันนำไปสู่วิวัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งในแนวของการรอมชอมและแนวของการต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตกอย่างรุนแรงโดยเฉพาะจากบางส่วนของกลุ่มอิสลาม วิวัฒนาการเหล่านี้จะมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพของโลกแห่งอนาคต
วิวัฒนาการที่ผ่านมาชี้บ่งว่า ชุมชนและประเทศที่มีวัฒนธรรมคล้ายกันเริ่มเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนรอบแกนนำที่มีพลังทางทหารและเศรษฐกิจสูง กลุ่มของวัฒนธรรมตะวันตกแยกแกนนำออกเป็น 2 ขั้วซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่อเมริกาและที่ตลาดร่วมยุโรปอันมีเยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นหัวจักรพร้อมกับมีอังกฤษเป็นส่วนประกอบสำคัญของทั้งสองขั้ว กลุ่มอื่นที่มีแกนนำประเทศเดียวได้แก่จีน อินเดีย รัสเซียและญี่ปุ่น ส่วนอีก 3 กลุ่มที่ยังไม่มีแกนนำชัดเจนได้แก่กลุ่มอิสลาม ละตินอเมริกาและแอฟริกา
ผู้เขียนคาดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเหล่านี้จะเป็นไปในรูปของคู่ปรปักษ์มากกว่าความร่วมมืออย่างใกล้ชิดและจะนำไปสู่ความขัดแย้งในสองระดับคือ ระดับปลีกย่อย หรือระดับท้องถิ่นและระดับรวม ในระดับท้องถิ่น ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดจะเป็นความขัดแย้งที่ชุมชนมุสลิมทะเลาะกับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มตะวันตก กลุ่มรัสเซีย กลุ่มอินเดีย และกลุ่มแอฟริกา ความขัดแย้งอาจขยายกว้างขึ้นมากหากมหาอำนาจไม่พยายามยับยั้งแต่กลับเข้าถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ส่วนในระดับรวม ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดจะเกิดจากฝ่ายกลุ่มตะวันตกกับฝ่ายที่มีกลุ่มอื่นรวมกัน มันจะเป็นปัจจัยสำคัญของการเมืองระหว่างประเทศ
ปัจจัยที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่มตะวันตกกับกลุ่มอื่นได้แก่ความพยายามของกลุ่มตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกาที่จะแพร่ขยายวัฒนธรรมของตนออกไปครอบงำกลุ่มอื่น การเอาชนะระบบคอมมิวนิสต์ได้ทำให้อเมริกาคิดว่าอุดมการณ์ของตนมีค่าสูงสุดที่ผู้อื่นควรนำไปใช้ จริงอยู่ภายในกลุ่มอื่นทั้ง 7 กลุ่มมีคนส่วนหนึ่งเห็นด้วย แต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าวัฒนธรรมตะวันตกเหมาะสมสำหรับสังคมของตนและเห็นว่าอเมริกากำลังล่าอาณานิคมในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ชาวโลกที่เห็นเช่นนี้ชี้ว่าอเมริกามักพูดอย่างทำอย่างเสมอ เช่น พยายามผลักดันให้บางประเทศใช้ระบบประชาธิปไตยแต่ไม่ยอมผลักดันประเทศที่มีน้ำมันมากๆ เช่น ซาอุดีอาระเบียให้ทำเช่นนั้น หรือต้องการประชาธิปไตยตราบใดที่ผู้ปฏิบัติตามศาสนาอิสลามแบบตกขอบไม่ชนะการเลือกตั้ง หรืออิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์ได้แต่ห้ามมิให้อิหร่านมี หรือผลักดันการค้าเสรีแต่ไม่ยอมเปิดตลาดสินค้าเกษตรของตนให้แก่ประเทศอื่น
ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่มตะวันตกกับกลุ่มอื่นที่สำคัญที่สุดจะเป็นความขัดแย้งกับกลุ่มอิสลามและจีน ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มตะวันตกกับอิสลามมีประวัติมาตั้งแต่ครั้งศาสนาอิสลามเริ่มแพร่ขยายออกไปจากคาบสมุทรอาระเบียเมื่อราว 1,300 ปีที่แล้ว ชาวมุสลิมยกทัพบุกเข้าไปในยุโรปของชาวคริสต์และยึดครองเนื้อที่ซึ่งเป็นประเทศสเปนในปัจจุบันอยู่เป็นเวลานาน หลังจากนั้นชาวคริสต์ก็ตอบโต้จนเกิดสงครามศาสนา โดยเฉพาะการยกทัพของชาวยุโรปไปรุกรานในย่านตะวันออกกลางในนามของ “สงคราครูเสด” หลายต่อหลายครั้ง
หลังจากนั้น ชาวคริสต์ต่อสู้กับอาณาจักรออตโตมานซึ่งนับถือศาสนาอิสลามจนกระทั่งถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่ออาณาจักรออตโตมานพ่ายแพ้แก่กลุ่มตะวันตกส่งผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศสและอิตาลีเข้าไปยึดครองแผ่นดินในย่านตะวันออกกลางของชาวมุสลิม ความขัดแย้งรุนแรงนี้มีรากเหง้ามาจากความเชื่อของทั้งสองฝ่ายว่าศาสนาและวัฒนธรรมของตนนั้นเหนือชั้นกว่าศาสนาและวัฒนธรรมของคนอื่น และในปัจจุบันแสดงออกมาในรูปต่างๆ กันอันเป็นการกระทำของกลุ่มตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ เช่น การกดดันให้ใช้ระบบประชาธิปไตยในดินแดนมุสลิม การเข้าไปยึดครองทรัพยากรน้ำมัน และการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในกิจการภายในของสังคมอื่น ทางฝ่ายอิสลามพยายามตอบโต้ด้วยการก่อการร้าย
ทางด้านความสัมพันธ์และความขัดแย้งกับจีนนั้นมีรากฐานมาจากจีนเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่และมีความเชื่อมั่นในวัฒนธรรมของตนสูงมาก หลังจากซบเซามาเป็นเวลาหลายร้อยปี จีนสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนได้และต้องการขยายอิทธิพลของตนออกไปครอบงำสังคมอื่นโดยเฉพาะในย่านเอเชียตะวันออก นอกเหนือจากนั้น จีนยังต้องการแสวงหาทรัพยากรไปป้อนเศรษฐกิจของตนซึ่งขยายตัวในอัตราสูงที่สุดในโลกมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว เนื่องจากจีนมีประชากรเกิน 1,200 ล้านคน ความต้องการของจีนจึงมีจำนวนมหาศาล แม้ทั้งสองฝ่ายจะค้าขายแลกเปลี่ยนกันอย่างเปิดเผย แต่ลึกๆ แล้วทั้งคู่ไม่ไว้ใจกันและถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือปรปักษ์สำคัญในอนาคต
หลังจากพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ จะวิวัฒน์ไปทางไหนได้บ้าง ผู้เขียนสรุปว่า กลุ่มตะวันตกจะมีความสัมพันธ์ในขั้นขัดแย้งรุนแรงสูงสุดกับจีนและกลุ่มอิสลาม จีนจะมีความขัดแย้งในขั้นรุนแรงสูงสุดกับอินเดียและกลุ่มตะวันตก กลุ่มอิสลามจะขัดแย้งในขั้นรุนแรงสูงสุดกับกลุ่มตะวันตก อินเดีย รัสเซียและกลุ่มแอฟริกา ส่วนรัสเซียจะมีความขัดแย้งขั้นรุนแรงสูงสุดกับญี่ปุ่น ความขัดแย้งขั้นรุนแรงเหล่านี้จะเป็นฐานของการแสวงหาพันธมิตรกับกลุ่มอื่นไว้เป็นฝ่ายของตนทำให้การเมืองระหว่างประเทศวิวัฒน์ไปอย่างสลับซับซ้อนมากขึ้นกว่าในสมัยสงครามเย็นที่ผ่านมา
ณ วันนี้ แม้กลุ่มวัฒนธรรมตะวันตกจะมีพลังทางเศรษฐกิจและทางทหารมากที่สุด แต่พลังนั้นลดลงไปในเชิงเปรียบเทียบกับของกลุ่มอื่นเพราะฝ่ายหลังกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากประวัติศาสตร์บ่งว่าไม่มีมหาอำนาจไหนอยู่ได้ค้ำฟ้า ฉะนั้น หากยึดประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์ กลุ่มตะวันตกจะเสื่อมลงและมีกลุ่มอื่นขึ้นมาแทน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้มีชาวตะวันตกส่วนหนึ่งมองว่า วิวัฒนาการเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกและกลุ่มตะวันตกจะสามารถเอาชนะกลุ่มอื่นได้และอยู่ไปชั่วนิรันดร์ แต่ผู้เขียนเห็นว่า ถ้ากลุ่มตะวันตกดำเนินนโยบายไปตามแนวคิดนั้นโลกจะมีปัญหาหนักหนาสาหัส เขาเห็นว่าทางออกมีทางเดียว นั่นคือ กลุ่มตะวันตกจะต้องป้องกันความเสื่อมทางสังคมของตนซึ่งกำลังกำเริบอยู่ในขณะนี้มิให้เลวร้ายขึ้นไปอีกและยอมรับความสำคัญของวัฒนธรรมอื่น พร้อมกันนั้นกลุ่มอื่นก็จะต้องยอมรับความสำคัญของวัฒนธรรมตะวันตกเช่นกัน
วิวัฒนาการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 15 ปีหลังจากหนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกมาคงแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดแล้วว่า มุมมองและข้อเสนอของผู้เขียนมีตรรกะที่ดีแต่ไม่มีใครให้ความใส่ใจและนำไปใช้เป็นแนวฏิบัติ เราจึงเห็นเหตุการณ์ใหญ่ ๆ เกิดขึ้น เช่น ชาวมุสลิมจี้เครื่องบินโดยสารเพื่อใช้เป็นอาวุธถล่มตึกใหญ่ๆ ในอเมริกาเมื่อวันวันที่ 11 กันยายน 2544 และใช้การก่อการร้ายเป็นอาวุธทำลายผลประโยชน์ของกลุ่มตะวันตกเป็นระยะๆ อเมริกาใช้ข้ออ้างซึ่งปราศจากฐานความเป็นจริงพาพรรคพวกยกกองทัพไปบุกและยึดครองอิรัก และยังพยายามเพิ่มแสนยานุภาพต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สมาชิกในกลุ่มอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน การเพิ่มกำลังทางทหารอย่างไม่หยุดยั้งเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้เขียนอ่านสถานการณ์ถูก นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ส่วนใหญ่จะวิวัฒน์ไปในรูปของความขัดแย้งมากกว่าความเป็นมิตร
สิ่งที่ควรแก่การสังเกตอีกด้านหนึ่งซึ่งมองเห็นได้ยากได้แก่ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมจรรยาอย่างต่อเนื่องของฝ่ายตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกา ประเด็นนี้ โจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นรางวัลโนเบล ชี้ให้เห็นอย่างแจ้งชัดในหนังสือล่าสุดของเขาสองเล่มชื่อ Freefall: America, Free Markets, and the Sinking of the World Economy ซึ่งพิมพ์เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2553 และชื่อ The Price of Inequality: How Today’s Divided Society Endangers Our Future ซึ่งพิมพ์เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2555 ในเล่มแรกเขาตราอเมริกาว่าเป็นสังคมที่ “ขาดดุลทางศีลธรรมจรรยา” (moral deficit) พอมาถึงเล่มหลัง เขาตราว่าอเมริกาเลวกว่านั้นอีกเพราะเป็นสังคมซึ่ง “ขาด” หรือ “สูญสิ้น” ศีลธรรมจรรยา (moral deprivation)
เมื่อผู้มีกำลังทางทหารสูงสุดเป็นสังคมซึ่งขาดศีลธรรมจรรยา จึงไม่แปลกใจว่าเพราะอะไรเขาจึงจะกลับเข้ามาใช้สนามบินเช่นอู่ตะเภาเพื่อการรุกรานและการปิดกั้นจีน หากเมืองไทยยอมให้เขาใช้ก็หมายความว่าเราเข้าข้างอันธพาลผู้ขาดซึ่งศีลธรรมจรรยาแต่มีอาวุธทำลายล้างสูง
ทางฝ่ายจีนนั้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดว่ากำลังเพิ่มพลังทางทหารอย่างเร่งด่วน ฉะนั้น จึงพออนุมานได้ว่า จีนจะพยายามรักษาผลประโยชน์ของตนอย่างแข็งขันโดยเฉพาะในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นเสมือนหลังบ้านของตน เมื่ออเมริกาส่งกำลังทางทหารกลับเข้ามาในย่านนี้ จีนย่อมมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างเท่าเทียมกัน นั่นจะเป็นการเป่าไฟสงครามเย็นให้ลุกโพลงขึ้นมาอีกครั้งหลังจากมอดไปเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ
ในสภาพเช่นนี้ ประเทศเล็กๆ ที่กำลังเป็นเป้าของการตั้งกองกำลังทางทหารของอเมริกาจะทำอย่างไร นั่นเป็นการบ้านที่สังคมไทยต้องขบคิดด้วย เรื่องทำนองนี้เรามีเหตุการณ์ในอดีตเป็นบทเรียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกหลังจากเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้พวกเขามีพลังทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหารเพิ่มขึ้น แต่เหตุการณ์ในช่วงนี้บ่งชี้อย่างแจ้งชัดว่า รัฐบาลไทยไม่มีความตระหนักหรือใส่ใจในวิวัฒนาการโลกและบทเรียนดังกล่าวซึ่งอาจเป็นเพราะความโง่เง่าของหัวหน้ารัฐบาล และคณะรัฐมนตรีซึ่งมีเฉพาะผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นฐานของการบริหารประเทศ
อู่ตะเภาเป็นหนึ่งในฐานทัพเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อเมริกาต้องการกลับเข้ามาใช้หลังจากเข้าไปตั้งฐานปฏิบัติการใหม่สำหรับหน่วยนาวิกโยธินในออสเตรเลียเพื่อเสริมกำลังทางทหารซึ่งมีอยู่แล้วตามฐานทัพต่าง ๆ รวมทั้งในเกาหลี ญี่ปุ่นและเกาะกวม พฤติกรรมของอเมริกามองได้ว่าเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นตอนหนึ่งของการแผ่อำนาจเพื่อหวังจะครองโลกโดยสมบูรณ์หลังฝ่ายคอมมิวนิสต์แตกสลายจากการพ่ายแพ้สงครามเย็นเมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมาส่งผลให้อเมริกาเป็นอภิมหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
ย้อนไปเมื่อตอนฝ่ายคอมมิวนิสต์เพิ่งพ่ายแพ้ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศพากันคาดการณ์ไปต่างๆ นานาและมองว่าอเมริกาจะทำอะไรต่อไป หลายคนเขียนหนังสือออกมารวมทั้ง Samuel P. Huntington ซึ่งพิมพ์หนังสือชื่อ The Clash of Civilizations and the Remaking of World Order เมื่อปี 2539 ชื่อของหนังสือคงแปลตรงๆ ได้ว่า “การปะทะของอารยธรรมและการจัดระเบียบโลกใหม่” หนังสือเรื่องนี้ยังมีความทันสมัยในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะสำหรับผู้ต้องการใช้เป็นเทียนส่องทางเพื่ออ่านเหตุการณ์โลก เช่น ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างอเมริกากับโลกมุสลิมและยุทธศาสตร์การปิดล้อมจีนของอเมริกา จึงขอนำมาเล่าคร่าวๆ ดังนี้
เนื้อหาของหนังสือมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายมุมองที่ว่า โลกแห่งอนาคตจะถูกกำหนดด้วยวัฒนธรรมและอารยธรรมเนื่องจากอัตลักษณ์ทางอารยธรรมเป็นปัจจัยทั้งในการเชื่อมความผูกพันและในการก่อความแปลกแยกระหว่างสังคมมนุษย์ เนื้อหาแยกออกเป็น 5 ตอนเริ่มด้วย (1) การทบทวนวิวัฒนาการด้านอารยธรรมนำไปสู่ (2) การเปลี่ยนสมดุลระหว่างอารยธรรม ทำให้เกิด (3) การจัดระเบียบและ (4) การปะทะกันของอารยธรรมนำไปสู่ (5) อนาคตของโลก
ย้อนไปหลายพันปีมนุษย์มีอารยธรรมใหญ่ๆ อยู่ในหลายส่วนของโลก อารยธรรมเหล่านั้นติดต่อกันเพียงจำกัดจนกระทั่งเมื่อประมาณ 500 ปีที่ผ่านมาเมื่อความก้าวหน้าด้านการคมนาคมทำให้การติดต่อเป็นไปได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของรัฐต่างๆ เป็นไปใน 2 มิตินั่นคือ มิติแรกเกี่ยวกับอารยธรรมตะวันตกซึ่งครอบคลุมรัฐต่างๆ ของฝรั่งในยุโรปและอเมริกา รัฐเหล่านั้นมีทั้งการร่วมมือกัน การชิงดีชิงเด่นกันและการทำสงครามกัน มิติที่ 2 เกี่ยวกับการขยายตัวของรัฐในอารยธรรมตะวันตกไปรุกรานและยึดอารยธรรมอื่นเป็นเมืองขึ้นของตน การเมืองระหว่างประเทศเป็นไปในรูปของ 2 มิติดังกล่าวนี้จนกระทั่งถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามเย็นก่อตัวขึ้น
ในระหว่างสงครามเย็นโลกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนและ 2 ขั้วอำนาจ นั่นคือ ส่วนแรกเป็นประเทศที่รวมตัวกันเป็นขั้วอำนาจอันประกอบด้วยผู้ใช้ระบบประชาธิปไตยประกอบกับตลาดเสรีนำโดยอเมริกา ส่วนที่ 2 เป็นขั้วอำนาจของประเทศที่ใช้ระบบคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต สองขั้วอำนาจนี้แข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อหวังแผ่ขยายไปสู่โลกส่วนที่ 3 ซึ่งมักเป็นประเทศด้อยพัฒนาและประเทศเกิดใหม่ การแข่งขันนั้นบางครั้งนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในโลกส่วนที่ 3 ถึงขนาดต้องทำสงครามตัวแทนกัน และดำเนินไปเช่นนั้นจนกระทั่งไฟสงครามเย็นมอดลงเมื่อสหภาพโซเวียตแตกสลายในปี 2534
ในระหว่างสงครามเย็นนั้นชาวโลกแยกกันออกตามความแตกต่างของอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจ เมื่อระบบคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ ชาวโลกที่เคยนิยมอุดมการณ์แนวคอมมิวนิสต์มองหาสิ่งใหม่มาใช้เป็นกรอบอ้างอิงทางด้านอัตลักษณ์ของตน ยังผลให้ชาวโลกหันกลับไปใช้สิ่งที่พวกเขาเคยใช้มาในอดีต นั่นคือ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประเพณี เผ่าพันธุ์และแนวการดำเนินชีวิตซึ่งประกอบกันเป็นวัฒนธรรมและอารยธรรม เมื่อเป็นเช่นนั้น การเมืองระหว่างประเทศจึงดำเนินไปมิใช่เพื่อการแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ดังแต่ก่อนเท่านั้น หากยังเพื่อการเสริมสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มชนและรัฐให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วย หลังจากไฟสงครามเย็นมอดลงไม่นานชาวโลกก็แยกกันออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ๆ ตามแนววัฒนธรรมดังนี้
● วัฒนธรรมจีน ซึ่งมีประวัติยาวนานหลายพันปีและปัจจุบันนี้ประกอบด้วยจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ ชุมชนจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และวัฒนธรรมใกล้เคียงได้แก่เกาหลีและเวียดนาม
● วัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งแยกออกมาจากจีนเมื่อเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว
● วัฒนธรรมฮินดู ซึ่งมีประวัติประมาณ 4,000 ปีและครอบคลุมพื้นที่ในเอเชียใต้ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่อินเดีย
● วัฒนธรรมอิสลาม ซึ่งมีประวัติราว 1,400 ปีและมีศูนย์กลางอยู่ที่คาบสมุทรอาระเบียและแผ่ขยายไปถึงหลายทวีป
● วัฒนธรรมคริสต์ตะวันออก ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในรัสเซีย
● วัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเริ่มเมื่อราว 1,300 ปีที่แล้วและมีศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์เป็นหลักยึด ประกอบด้วยยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
● วัฒนธรรมละตินอเมริกา ซึ่งแยกออกมาจากยุโรปและมีศูนย์กลางอยู่ในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง
● วัฒนธรรมแอฟริกา ซึ่งครอบคลุมผืนที่ส่วนใหญ่ในทวีปนั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากไม่ยอมรับว่าแอฟริกาส่วนนี้มีความโดดเด่นจนสามารถจัดเป็นอารยธรรมได้
ในจำนวนกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ กลุ่มตะวันตกมีพลังทางเศรษฐกิจและทางทหารสูงที่สุด อย่างไรก็ตาม วิวัฒนาการในช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมาทำให้พลังทางเศรษฐกิจและทางทหารของกลุ่มนี้ในเชิงเปรียบเทียบกับของกลุ่มอื่นลดลงเพราะกลุ่มใหญ่ๆ เช่น จีนและอินเดียประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจสูงมาก นอกเหนือจากนั้น กลุ่มหลังนี้ยังเริ่มมีพลังทางทหารอันมีอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในครอบครองอีกด้วย ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่มีศาสนาอิสลามเป็นแกนนำมีความร่ำรวยมากจากการขายน้ำมันพร้อมกับการเพิ่มจำนวนของประชากรอย่างรวดเร็ว ความร่ำรวยและการเพิ่มขึ้นของประชากรก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจและทางสังคมอย่างใหญ่หลวงยังผลให้ประชาชนส่วนหนึ่งซึ่งต้องการหาที่พึ่งทางจิตใจหันไปยึดศาสนาเป็นหลักแบบตกขอบ
เนื่องจากอารยธรรมต่างๆ เป็นอารยธรรมเก่าแก่โดยเฉพาะจีน อินเดียและอิสลาม คนรุ่นหลังในอารยธรรมเหล่านี้ซึ่งมีความเข้าใจความเป็นไปในอารยธรรมตะวันตกอย่างถ่องแท้เริ่มมองเห็นว่า วัฒนธรรมของตนนั้นไม่ด้อยค่ากว่าของกลุ่มตะวันตกทั้งที่กลุ่มตะวันตกมีความก้าวหน้ากว่าในหลายด้าน นอกจากนั้น พวกเขายังมองอีกว่าบางด้านของวัฒนธรรมตะวันตกเป็นสิ่งชั่วร้าย ในขณะเดียวกัน บางส่วนของกลุ่มตะวันตกยังดึงดันที่จะบอกว่าวัฒนธรรมของตนนั้นเหนือกว่าของผู้อื่น ความเห็นที่ต่างกันนำไปสู่วิวัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งในแนวของการรอมชอมและแนวของการต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตกอย่างรุนแรงโดยเฉพาะจากบางส่วนของกลุ่มอิสลาม วิวัฒนาการเหล่านี้จะมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพของโลกแห่งอนาคต
วิวัฒนาการที่ผ่านมาชี้บ่งว่า ชุมชนและประเทศที่มีวัฒนธรรมคล้ายกันเริ่มเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนรอบแกนนำที่มีพลังทางทหารและเศรษฐกิจสูง กลุ่มของวัฒนธรรมตะวันตกแยกแกนนำออกเป็น 2 ขั้วซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่อเมริกาและที่ตลาดร่วมยุโรปอันมีเยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นหัวจักรพร้อมกับมีอังกฤษเป็นส่วนประกอบสำคัญของทั้งสองขั้ว กลุ่มอื่นที่มีแกนนำประเทศเดียวได้แก่จีน อินเดีย รัสเซียและญี่ปุ่น ส่วนอีก 3 กลุ่มที่ยังไม่มีแกนนำชัดเจนได้แก่กลุ่มอิสลาม ละตินอเมริกาและแอฟริกา
ผู้เขียนคาดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเหล่านี้จะเป็นไปในรูปของคู่ปรปักษ์มากกว่าความร่วมมืออย่างใกล้ชิดและจะนำไปสู่ความขัดแย้งในสองระดับคือ ระดับปลีกย่อย หรือระดับท้องถิ่นและระดับรวม ในระดับท้องถิ่น ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดจะเป็นความขัดแย้งที่ชุมชนมุสลิมทะเลาะกับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มตะวันตก กลุ่มรัสเซีย กลุ่มอินเดีย และกลุ่มแอฟริกา ความขัดแย้งอาจขยายกว้างขึ้นมากหากมหาอำนาจไม่พยายามยับยั้งแต่กลับเข้าถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ส่วนในระดับรวม ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดจะเกิดจากฝ่ายกลุ่มตะวันตกกับฝ่ายที่มีกลุ่มอื่นรวมกัน มันจะเป็นปัจจัยสำคัญของการเมืองระหว่างประเทศ
ปัจจัยที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่มตะวันตกกับกลุ่มอื่นได้แก่ความพยายามของกลุ่มตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกาที่จะแพร่ขยายวัฒนธรรมของตนออกไปครอบงำกลุ่มอื่น การเอาชนะระบบคอมมิวนิสต์ได้ทำให้อเมริกาคิดว่าอุดมการณ์ของตนมีค่าสูงสุดที่ผู้อื่นควรนำไปใช้ จริงอยู่ภายในกลุ่มอื่นทั้ง 7 กลุ่มมีคนส่วนหนึ่งเห็นด้วย แต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าวัฒนธรรมตะวันตกเหมาะสมสำหรับสังคมของตนและเห็นว่าอเมริกากำลังล่าอาณานิคมในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ชาวโลกที่เห็นเช่นนี้ชี้ว่าอเมริกามักพูดอย่างทำอย่างเสมอ เช่น พยายามผลักดันให้บางประเทศใช้ระบบประชาธิปไตยแต่ไม่ยอมผลักดันประเทศที่มีน้ำมันมากๆ เช่น ซาอุดีอาระเบียให้ทำเช่นนั้น หรือต้องการประชาธิปไตยตราบใดที่ผู้ปฏิบัติตามศาสนาอิสลามแบบตกขอบไม่ชนะการเลือกตั้ง หรืออิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์ได้แต่ห้ามมิให้อิหร่านมี หรือผลักดันการค้าเสรีแต่ไม่ยอมเปิดตลาดสินค้าเกษตรของตนให้แก่ประเทศอื่น
ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่มตะวันตกกับกลุ่มอื่นที่สำคัญที่สุดจะเป็นความขัดแย้งกับกลุ่มอิสลามและจีน ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มตะวันตกกับอิสลามมีประวัติมาตั้งแต่ครั้งศาสนาอิสลามเริ่มแพร่ขยายออกไปจากคาบสมุทรอาระเบียเมื่อราว 1,300 ปีที่แล้ว ชาวมุสลิมยกทัพบุกเข้าไปในยุโรปของชาวคริสต์และยึดครองเนื้อที่ซึ่งเป็นประเทศสเปนในปัจจุบันอยู่เป็นเวลานาน หลังจากนั้นชาวคริสต์ก็ตอบโต้จนเกิดสงครามศาสนา โดยเฉพาะการยกทัพของชาวยุโรปไปรุกรานในย่านตะวันออกกลางในนามของ “สงคราครูเสด” หลายต่อหลายครั้ง
หลังจากนั้น ชาวคริสต์ต่อสู้กับอาณาจักรออตโตมานซึ่งนับถือศาสนาอิสลามจนกระทั่งถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่ออาณาจักรออตโตมานพ่ายแพ้แก่กลุ่มตะวันตกส่งผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศสและอิตาลีเข้าไปยึดครองแผ่นดินในย่านตะวันออกกลางของชาวมุสลิม ความขัดแย้งรุนแรงนี้มีรากเหง้ามาจากความเชื่อของทั้งสองฝ่ายว่าศาสนาและวัฒนธรรมของตนนั้นเหนือชั้นกว่าศาสนาและวัฒนธรรมของคนอื่น และในปัจจุบันแสดงออกมาในรูปต่างๆ กันอันเป็นการกระทำของกลุ่มตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ เช่น การกดดันให้ใช้ระบบประชาธิปไตยในดินแดนมุสลิม การเข้าไปยึดครองทรัพยากรน้ำมัน และการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในกิจการภายในของสังคมอื่น ทางฝ่ายอิสลามพยายามตอบโต้ด้วยการก่อการร้าย
ทางด้านความสัมพันธ์และความขัดแย้งกับจีนนั้นมีรากฐานมาจากจีนเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่และมีความเชื่อมั่นในวัฒนธรรมของตนสูงมาก หลังจากซบเซามาเป็นเวลาหลายร้อยปี จีนสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนได้และต้องการขยายอิทธิพลของตนออกไปครอบงำสังคมอื่นโดยเฉพาะในย่านเอเชียตะวันออก นอกเหนือจากนั้น จีนยังต้องการแสวงหาทรัพยากรไปป้อนเศรษฐกิจของตนซึ่งขยายตัวในอัตราสูงที่สุดในโลกมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว เนื่องจากจีนมีประชากรเกิน 1,200 ล้านคน ความต้องการของจีนจึงมีจำนวนมหาศาล แม้ทั้งสองฝ่ายจะค้าขายแลกเปลี่ยนกันอย่างเปิดเผย แต่ลึกๆ แล้วทั้งคู่ไม่ไว้ใจกันและถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือปรปักษ์สำคัญในอนาคต
หลังจากพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ จะวิวัฒน์ไปทางไหนได้บ้าง ผู้เขียนสรุปว่า กลุ่มตะวันตกจะมีความสัมพันธ์ในขั้นขัดแย้งรุนแรงสูงสุดกับจีนและกลุ่มอิสลาม จีนจะมีความขัดแย้งในขั้นรุนแรงสูงสุดกับอินเดียและกลุ่มตะวันตก กลุ่มอิสลามจะขัดแย้งในขั้นรุนแรงสูงสุดกับกลุ่มตะวันตก อินเดีย รัสเซียและกลุ่มแอฟริกา ส่วนรัสเซียจะมีความขัดแย้งขั้นรุนแรงสูงสุดกับญี่ปุ่น ความขัดแย้งขั้นรุนแรงเหล่านี้จะเป็นฐานของการแสวงหาพันธมิตรกับกลุ่มอื่นไว้เป็นฝ่ายของตนทำให้การเมืองระหว่างประเทศวิวัฒน์ไปอย่างสลับซับซ้อนมากขึ้นกว่าในสมัยสงครามเย็นที่ผ่านมา
ณ วันนี้ แม้กลุ่มวัฒนธรรมตะวันตกจะมีพลังทางเศรษฐกิจและทางทหารมากที่สุด แต่พลังนั้นลดลงไปในเชิงเปรียบเทียบกับของกลุ่มอื่นเพราะฝ่ายหลังกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากประวัติศาสตร์บ่งว่าไม่มีมหาอำนาจไหนอยู่ได้ค้ำฟ้า ฉะนั้น หากยึดประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์ กลุ่มตะวันตกจะเสื่อมลงและมีกลุ่มอื่นขึ้นมาแทน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้มีชาวตะวันตกส่วนหนึ่งมองว่า วิวัฒนาการเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกและกลุ่มตะวันตกจะสามารถเอาชนะกลุ่มอื่นได้และอยู่ไปชั่วนิรันดร์ แต่ผู้เขียนเห็นว่า ถ้ากลุ่มตะวันตกดำเนินนโยบายไปตามแนวคิดนั้นโลกจะมีปัญหาหนักหนาสาหัส เขาเห็นว่าทางออกมีทางเดียว นั่นคือ กลุ่มตะวันตกจะต้องป้องกันความเสื่อมทางสังคมของตนซึ่งกำลังกำเริบอยู่ในขณะนี้มิให้เลวร้ายขึ้นไปอีกและยอมรับความสำคัญของวัฒนธรรมอื่น พร้อมกันนั้นกลุ่มอื่นก็จะต้องยอมรับความสำคัญของวัฒนธรรมตะวันตกเช่นกัน
วิวัฒนาการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 15 ปีหลังจากหนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกมาคงแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดแล้วว่า มุมมองและข้อเสนอของผู้เขียนมีตรรกะที่ดีแต่ไม่มีใครให้ความใส่ใจและนำไปใช้เป็นแนวฏิบัติ เราจึงเห็นเหตุการณ์ใหญ่ ๆ เกิดขึ้น เช่น ชาวมุสลิมจี้เครื่องบินโดยสารเพื่อใช้เป็นอาวุธถล่มตึกใหญ่ๆ ในอเมริกาเมื่อวันวันที่ 11 กันยายน 2544 และใช้การก่อการร้ายเป็นอาวุธทำลายผลประโยชน์ของกลุ่มตะวันตกเป็นระยะๆ อเมริกาใช้ข้ออ้างซึ่งปราศจากฐานความเป็นจริงพาพรรคพวกยกกองทัพไปบุกและยึดครองอิรัก และยังพยายามเพิ่มแสนยานุภาพต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สมาชิกในกลุ่มอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน การเพิ่มกำลังทางทหารอย่างไม่หยุดยั้งเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้เขียนอ่านสถานการณ์ถูก นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ส่วนใหญ่จะวิวัฒน์ไปในรูปของความขัดแย้งมากกว่าความเป็นมิตร
สิ่งที่ควรแก่การสังเกตอีกด้านหนึ่งซึ่งมองเห็นได้ยากได้แก่ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมจรรยาอย่างต่อเนื่องของฝ่ายตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกา ประเด็นนี้ โจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นรางวัลโนเบล ชี้ให้เห็นอย่างแจ้งชัดในหนังสือล่าสุดของเขาสองเล่มชื่อ Freefall: America, Free Markets, and the Sinking of the World Economy ซึ่งพิมพ์เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2553 และชื่อ The Price of Inequality: How Today’s Divided Society Endangers Our Future ซึ่งพิมพ์เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2555 ในเล่มแรกเขาตราอเมริกาว่าเป็นสังคมที่ “ขาดดุลทางศีลธรรมจรรยา” (moral deficit) พอมาถึงเล่มหลัง เขาตราว่าอเมริกาเลวกว่านั้นอีกเพราะเป็นสังคมซึ่ง “ขาด” หรือ “สูญสิ้น” ศีลธรรมจรรยา (moral deprivation)
เมื่อผู้มีกำลังทางทหารสูงสุดเป็นสังคมซึ่งขาดศีลธรรมจรรยา จึงไม่แปลกใจว่าเพราะอะไรเขาจึงจะกลับเข้ามาใช้สนามบินเช่นอู่ตะเภาเพื่อการรุกรานและการปิดกั้นจีน หากเมืองไทยยอมให้เขาใช้ก็หมายความว่าเราเข้าข้างอันธพาลผู้ขาดซึ่งศีลธรรมจรรยาแต่มีอาวุธทำลายล้างสูง
ทางฝ่ายจีนนั้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดว่ากำลังเพิ่มพลังทางทหารอย่างเร่งด่วน ฉะนั้น จึงพออนุมานได้ว่า จีนจะพยายามรักษาผลประโยชน์ของตนอย่างแข็งขันโดยเฉพาะในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นเสมือนหลังบ้านของตน เมื่ออเมริกาส่งกำลังทางทหารกลับเข้ามาในย่านนี้ จีนย่อมมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างเท่าเทียมกัน นั่นจะเป็นการเป่าไฟสงครามเย็นให้ลุกโพลงขึ้นมาอีกครั้งหลังจากมอดไปเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ
ในสภาพเช่นนี้ ประเทศเล็กๆ ที่กำลังเป็นเป้าของการตั้งกองกำลังทางทหารของอเมริกาจะทำอย่างไร นั่นเป็นการบ้านที่สังคมไทยต้องขบคิดด้วย เรื่องทำนองนี้เรามีเหตุการณ์ในอดีตเป็นบทเรียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกหลังจากเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้พวกเขามีพลังทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหารเพิ่มขึ้น แต่เหตุการณ์ในช่วงนี้บ่งชี้อย่างแจ้งชัดว่า รัฐบาลไทยไม่มีความตระหนักหรือใส่ใจในวิวัฒนาการโลกและบทเรียนดังกล่าวซึ่งอาจเป็นเพราะความโง่เง่าของหัวหน้ารัฐบาล และคณะรัฐมนตรีซึ่งมีเฉพาะผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นฐานของการบริหารประเทศ