ครบรอบ 80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา กลุ่มแนวร่วม นปช.หรือพวกลัทธิเสื้อแดงได้ออกมาชุมนุมและจัดกิจกรรมทางการเมืองที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน อ้างว่าเพื่อจัดงานรำลึกถึงเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร ที่นำโดย นายปรีดี พนมยงค์ และคณะ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมั่วเอาว่าการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามเจตนารมณ์ของคณะผู้ก่อการครั้งนั้นว่า เป็นอุดมการณ์เดียวกัน
หรือเป็นเจตนารมณ์เดียวกันกับการต่อสู้ของพวกเสื้อแดง ทั้งๆ ที่วีรกรรมอันสามานย์ของการต่อสู้ที่พวกเสื้อแดงได้กระทำต่อประเทศและสังคมไทยเป็นพฤติกรรมที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน นรกกับสวรรค์ของพวกเสื้อแดงกับคณะราษฎร โดยบังอาจแอบอ้างเอาพฤติกรรมการป่วนประเทศ ก่อสงครามการเมือง เผาบ้านเมือง เผาประเทศ ก่อจลาจล ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของเอกชนและทางราชการจนย่อยยับ ทำลายภาพลักษณ์ประเทศเสียหายอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มาเทียบเคียงหรือยกฐานะการต่อสู้ของตนเอง ซึ่งเป็นการทำลายประชาธิปไตยทั้งสิ้น โดยยกตนให้เสมอเหมือนการปฏิวัติสยามของคณะราษฎรอย่างไร้ยางอาย
นอกจากนี้พวกเขายังเสนอหน้ามาตั้งคำถามว่า “80 ปี ไม่มีประชาธิปไตย” แล้วโยนความผิดไปให้ผู้อื่น หรืออำมาตย์ อันส่อเจตนาให้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นตัวขัดขวางและทำให้ไม่มีระบอบประชาธิปไตยอย่างที่พวกเขาต้องการ ความเป็นจริงและความเป็นมาของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็นอย่างที่พวกเขาพยายามโพนทะนา ป่าวร้องหรือไม่ และความเป็นจริงประเทศไทยไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงเพราะใครกันแน่
หากพิจารณาตามข้อเท็จจริง นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมา อำนาจการปกครองประเทศที่ถูกเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจปกครองแผ่นดิน ตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองโดยราษฎร หรือประชาชนมีอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนั้น ความเป็นจริงแล้วประชาชนทั้งหลายหาได้มีอำนาจและมีส่วนร่วมในการปกครองแผ่นดินแต่อย่างใดไม่ ซึ่งหากจะพิจารณาโดยเคารพต่อความจริงก็จะเห็นว่า อำนาจการปกครองแผ่นดินตกอยู่ในกำมือของคณะบุคคล ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ยุค คือ
1. นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 - 2490 รวมระยะเวลา 15 ปี อำนาจการปกครองแผ่นดิน ก็ตกอยู่ในกำมือของคณะราษฎร ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนและแย่งชิงอำนาจกันเอง มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากคณะราษฎรรวม 7 คน คือ พระยามโนปกรณ์ นิติธาดา, พลเอกพระยาพหลพล พยุหเสนา, จอมพล ป. พิบูลสงคราม, พันตรีควง อภัยวงศ์, นายทวี บุณยเกตุ, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช, นายปรีดี พนมยงค์, พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งตลอดระยะเวลา 15 ปี ก็มิได้สร้างประชาธิปไตยให้ตกถึงมือประชาชนโดยแท้จริงแต่อย่างใด
2. นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 - 2516, 2519 - 2526, 2534 - 2535 รวมระยะเวลา 34 ปี บ้านเมืองก็ตกเข้าสู่ยุคเผด็จการทหาร สลับกับการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย โดยเริ่มต้นจาก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งแยกตัวมาจากคณะราษฎร ด้วยปัญหาความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจทางการเมืองกับกลุ่มของ นายปรีดี พนมยงค์ นับแต่การรัฐประหารปี 2490 เป็นต้นมา ประเทศไทยก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของคณะทหารโดยการยึดอำนาจเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2526 นายกรัฐมนตรีของไทยในช่วงเวลาดังกล่าวจึงมาจากนายทหารหรือบุคคลที่ทหารให้การสนับสนุนอันได้แก่ นายควง อภัยวงศ์, จอมพล ป. พิบูลสงคราม, นายพจน์ สารสิน, จอมพลถนอม กิตติขจร, จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, นายธานินทร์ กรัยวิเชียร, พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์, พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
โดยมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญมาคั่นกลางระหว่างปี 2516 - 2519 และ 2524 - 2533 โดยมี นายสัญญา ธรรมศักดิ์, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนเกิดรัฐประหารโดยคณะ รสช.เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 นำโดย พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ และพลเอกสุจินดา คราประยูร ทำให้ทหารคือพลเอกสุจินดา คราประยูร เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
3. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 - 2555 รวมระยะเวลา 20 ปี อำนาจการปกครองบ้านเมืองก็ตกอยู่ในกำมือของพรรคการเมือง และนักการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ นายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จึงล้วนแต่เป็นพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ได้แก่ นายชวน หลีกภัย, นายบรรหาร ศิลปอาชา, พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, นายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งหมดเป็นตัวแทนของกลุ่มและพรรคการเมืองของนายทุนเจ้าของพรรคทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงระยะเวลาปัจจุบัน กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่นำโดย ทักษิณ ชินวัตร ได้อาศัยช่องทางตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเข้ามาสร้างอำนาจทางการเมืองให้กับตนเอง แม้รัฐธรรมนูญปี 2540 จะพยายามร่างขึ้นเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประชาธิปไตย แต่ก็ถูกทักษิณกับพวกฉีกทิ้งและทำลายหลักการประชาธิปไตยจนหมดสิ้น ดังที่ นายคณิน บุญสุวรรณ ที่ได้แปรพักตร์จากนักประชาธิปไตยมาเป็นสมุนรับใช้ทุนสามานย์ ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ “รัฐธรรมนูญตายแล้ว” โดยได้เปลือยและเผยให้เห็นถึงพฤติกรรมอันสามานย์ในทางการเมืองที่ทักษิณกระทำย่ำยีกับรัฐธรรมนูญของประเทศ
80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถ้าจะถามว่าประเทศไทยไม่มีประชาธิปไตยแท้จริงเพราะใคร คำตอบย่อมชัดเจนอยู่แล้วว่าคน 3 กลุ่มนี้เท่านั้น คือ คณะราษฎร, เผด็จการทหาร และพรรคการเมือง นักการเมืองตัวแทนของกลุ่มทุนสามานย์ทั้งหลายเหล่านี้ คือต้นตอของปัญหาและเป็นผู้ทำลายระบอบประชาธิปไตยของไทย แต่สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ พฤติกรรมของพรรคการเมืองที่ถืออำนาจและปกครองประเทศอยู่ในขณะนี้ ไม่เพียงทำให้รัฐธรรมนูญตาย ทำลายหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ พวกเขายังทำลายล้มล้าง และทำให้ระบอบประชาธิปไตยของไทยต้องตายลงอย่างสนิท นำพาประเทศเข้าสู่ยุคอันธพาลการเมือง โดยชูป้ายประชาธิปไตยบังหน้า เข้าปล้นอำนาจประชาชน ปล้นเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นของตน และพวกพ้องพรรคการเมือง
พฤติกรรมยุคทักษิณครองเมือง จึงกลายเป็นระบอบการเมืองที่ป่าเถื่อน คือ 1. ใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ โกงสารพัดวิธี ซื้อเสียงทุกรูปแบบ 2. ใช้รัฐธรรมนูญเป็นข้ออ้าง เป็นช่องทางหาประโยชน์ และรวบอำนาจ 3. เอารัฐสภาเป็นตรายาง สร้างกฎหมายตามหลักนิติกู ทำลายนิติรัฐ ส.ส.เป็นเพียงลูกจ้าง บริษัทพรรคการเมือง 4. พฤติกรรม ส.ส.ในสภาถ่อย เถื่อน กุ๊ย และสามานย์ เยี่ยงนักเลงอันธพาล 5. ครม.ไม่ต้องมีความรู้ ความสามารถ ขอให้โกงเป็น และสอพลอรับใช้เจ้าของพรรค
6. นายทุนเจ้าของพรรคสั่งการเหนือรัฐบาลได้ทุกเรื่อง 7. ทำลายศาล ทำลายองค์กรอิสระทั้งหลาย ไม่ให้สามารถตรวจสอบนักการเมือง 8. สร้างมวลชนและกองกำลังส่วนตัวไว้ข่มขู่ คุกคาม เล่นงานทุกคน ทุกองค์กรที่ไม่ยอมก้มหัวให้ 9. ติดสินบนสื่อ ชุบเลี้ยงนักวิชาการไว้เป็นเครื่องมือ และกระบอกเสียง 10. บิดเบือนและกล่าวหาผู้อื่น หรืออำมาตย์ว่าเป็นผู้ทำลายประชาธิปไตย
80 ปีของประชาธิปไตย ประเทศไทยจึงได้ระบอบประชาธิปไตยแบบอันธพาลครองเมือง ทุนสามานย์เจ้าของพรรค มีอำนาจอธิปไตยเหนือทุกคนในแผ่นดิน ประชาธิปไตยของไทยตายหมดแล้วจริงๆ
หรือเป็นเจตนารมณ์เดียวกันกับการต่อสู้ของพวกเสื้อแดง ทั้งๆ ที่วีรกรรมอันสามานย์ของการต่อสู้ที่พวกเสื้อแดงได้กระทำต่อประเทศและสังคมไทยเป็นพฤติกรรมที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน นรกกับสวรรค์ของพวกเสื้อแดงกับคณะราษฎร โดยบังอาจแอบอ้างเอาพฤติกรรมการป่วนประเทศ ก่อสงครามการเมือง เผาบ้านเมือง เผาประเทศ ก่อจลาจล ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของเอกชนและทางราชการจนย่อยยับ ทำลายภาพลักษณ์ประเทศเสียหายอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มาเทียบเคียงหรือยกฐานะการต่อสู้ของตนเอง ซึ่งเป็นการทำลายประชาธิปไตยทั้งสิ้น โดยยกตนให้เสมอเหมือนการปฏิวัติสยามของคณะราษฎรอย่างไร้ยางอาย
นอกจากนี้พวกเขายังเสนอหน้ามาตั้งคำถามว่า “80 ปี ไม่มีประชาธิปไตย” แล้วโยนความผิดไปให้ผู้อื่น หรืออำมาตย์ อันส่อเจตนาให้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นตัวขัดขวางและทำให้ไม่มีระบอบประชาธิปไตยอย่างที่พวกเขาต้องการ ความเป็นจริงและความเป็นมาของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็นอย่างที่พวกเขาพยายามโพนทะนา ป่าวร้องหรือไม่ และความเป็นจริงประเทศไทยไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงเพราะใครกันแน่
หากพิจารณาตามข้อเท็จจริง นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมา อำนาจการปกครองประเทศที่ถูกเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจปกครองแผ่นดิน ตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองโดยราษฎร หรือประชาชนมีอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนั้น ความเป็นจริงแล้วประชาชนทั้งหลายหาได้มีอำนาจและมีส่วนร่วมในการปกครองแผ่นดินแต่อย่างใดไม่ ซึ่งหากจะพิจารณาโดยเคารพต่อความจริงก็จะเห็นว่า อำนาจการปกครองแผ่นดินตกอยู่ในกำมือของคณะบุคคล ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ยุค คือ
1. นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 - 2490 รวมระยะเวลา 15 ปี อำนาจการปกครองแผ่นดิน ก็ตกอยู่ในกำมือของคณะราษฎร ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนและแย่งชิงอำนาจกันเอง มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากคณะราษฎรรวม 7 คน คือ พระยามโนปกรณ์ นิติธาดา, พลเอกพระยาพหลพล พยุหเสนา, จอมพล ป. พิบูลสงคราม, พันตรีควง อภัยวงศ์, นายทวี บุณยเกตุ, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช, นายปรีดี พนมยงค์, พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งตลอดระยะเวลา 15 ปี ก็มิได้สร้างประชาธิปไตยให้ตกถึงมือประชาชนโดยแท้จริงแต่อย่างใด
2. นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 - 2516, 2519 - 2526, 2534 - 2535 รวมระยะเวลา 34 ปี บ้านเมืองก็ตกเข้าสู่ยุคเผด็จการทหาร สลับกับการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย โดยเริ่มต้นจาก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งแยกตัวมาจากคณะราษฎร ด้วยปัญหาความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจทางการเมืองกับกลุ่มของ นายปรีดี พนมยงค์ นับแต่การรัฐประหารปี 2490 เป็นต้นมา ประเทศไทยก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของคณะทหารโดยการยึดอำนาจเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2526 นายกรัฐมนตรีของไทยในช่วงเวลาดังกล่าวจึงมาจากนายทหารหรือบุคคลที่ทหารให้การสนับสนุนอันได้แก่ นายควง อภัยวงศ์, จอมพล ป. พิบูลสงคราม, นายพจน์ สารสิน, จอมพลถนอม กิตติขจร, จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, นายธานินทร์ กรัยวิเชียร, พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์, พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
โดยมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญมาคั่นกลางระหว่างปี 2516 - 2519 และ 2524 - 2533 โดยมี นายสัญญา ธรรมศักดิ์, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนเกิดรัฐประหารโดยคณะ รสช.เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 นำโดย พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ และพลเอกสุจินดา คราประยูร ทำให้ทหารคือพลเอกสุจินดา คราประยูร เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
3. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 - 2555 รวมระยะเวลา 20 ปี อำนาจการปกครองบ้านเมืองก็ตกอยู่ในกำมือของพรรคการเมือง และนักการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ นายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จึงล้วนแต่เป็นพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ได้แก่ นายชวน หลีกภัย, นายบรรหาร ศิลปอาชา, พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, นายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งหมดเป็นตัวแทนของกลุ่มและพรรคการเมืองของนายทุนเจ้าของพรรคทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงระยะเวลาปัจจุบัน กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่นำโดย ทักษิณ ชินวัตร ได้อาศัยช่องทางตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเข้ามาสร้างอำนาจทางการเมืองให้กับตนเอง แม้รัฐธรรมนูญปี 2540 จะพยายามร่างขึ้นเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประชาธิปไตย แต่ก็ถูกทักษิณกับพวกฉีกทิ้งและทำลายหลักการประชาธิปไตยจนหมดสิ้น ดังที่ นายคณิน บุญสุวรรณ ที่ได้แปรพักตร์จากนักประชาธิปไตยมาเป็นสมุนรับใช้ทุนสามานย์ ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ “รัฐธรรมนูญตายแล้ว” โดยได้เปลือยและเผยให้เห็นถึงพฤติกรรมอันสามานย์ในทางการเมืองที่ทักษิณกระทำย่ำยีกับรัฐธรรมนูญของประเทศ
80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถ้าจะถามว่าประเทศไทยไม่มีประชาธิปไตยแท้จริงเพราะใคร คำตอบย่อมชัดเจนอยู่แล้วว่าคน 3 กลุ่มนี้เท่านั้น คือ คณะราษฎร, เผด็จการทหาร และพรรคการเมือง นักการเมืองตัวแทนของกลุ่มทุนสามานย์ทั้งหลายเหล่านี้ คือต้นตอของปัญหาและเป็นผู้ทำลายระบอบประชาธิปไตยของไทย แต่สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ พฤติกรรมของพรรคการเมืองที่ถืออำนาจและปกครองประเทศอยู่ในขณะนี้ ไม่เพียงทำให้รัฐธรรมนูญตาย ทำลายหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ พวกเขายังทำลายล้มล้าง และทำให้ระบอบประชาธิปไตยของไทยต้องตายลงอย่างสนิท นำพาประเทศเข้าสู่ยุคอันธพาลการเมือง โดยชูป้ายประชาธิปไตยบังหน้า เข้าปล้นอำนาจประชาชน ปล้นเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นของตน และพวกพ้องพรรคการเมือง
พฤติกรรมยุคทักษิณครองเมือง จึงกลายเป็นระบอบการเมืองที่ป่าเถื่อน คือ 1. ใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ โกงสารพัดวิธี ซื้อเสียงทุกรูปแบบ 2. ใช้รัฐธรรมนูญเป็นข้ออ้าง เป็นช่องทางหาประโยชน์ และรวบอำนาจ 3. เอารัฐสภาเป็นตรายาง สร้างกฎหมายตามหลักนิติกู ทำลายนิติรัฐ ส.ส.เป็นเพียงลูกจ้าง บริษัทพรรคการเมือง 4. พฤติกรรม ส.ส.ในสภาถ่อย เถื่อน กุ๊ย และสามานย์ เยี่ยงนักเลงอันธพาล 5. ครม.ไม่ต้องมีความรู้ ความสามารถ ขอให้โกงเป็น และสอพลอรับใช้เจ้าของพรรค
6. นายทุนเจ้าของพรรคสั่งการเหนือรัฐบาลได้ทุกเรื่อง 7. ทำลายศาล ทำลายองค์กรอิสระทั้งหลาย ไม่ให้สามารถตรวจสอบนักการเมือง 8. สร้างมวลชนและกองกำลังส่วนตัวไว้ข่มขู่ คุกคาม เล่นงานทุกคน ทุกองค์กรที่ไม่ยอมก้มหัวให้ 9. ติดสินบนสื่อ ชุบเลี้ยงนักวิชาการไว้เป็นเครื่องมือ และกระบอกเสียง 10. บิดเบือนและกล่าวหาผู้อื่น หรืออำมาตย์ว่าเป็นผู้ทำลายประชาธิปไตย
80 ปีของประชาธิปไตย ประเทศไทยจึงได้ระบอบประชาธิปไตยแบบอันธพาลครองเมือง ทุนสามานย์เจ้าของพรรค มีอำนาจอธิปไตยเหนือทุกคนในแผ่นดิน ประชาธิปไตยของไทยตายหมดแล้วจริงๆ