เข้าโค้งสุดท้ายของเดือนเมษายน อันเป็นช่วงเวลาที่อุณหภูมิการเมืองของประเทศร้อนสุดในขณะนี้ มีเหตุการณ์ทางการเมืองและความเคลื่อนไหวของบุคคลสำคัญ กลุ่มพลังทางการเมืองและตัวแทนของกลุ่มอำนาจต่างๆ กำลังขับเคลื่อนกลยุทธ์ กุศโลบายและดำเนินแผนการเมือง เร่งเกมชิงอำนาจกันอย่างคึกคัก เข้มข้นอย่างน่าจับตายิ่ง แต่ถ้าจะประมวลคู่ความขัดแย้งในสังคมที่เป็นคู่ขัดแย้งหลัก และเป็นผู้กำหนดทิศทางความเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งปวงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ต้องจับตาดูที่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจ ตัวแทนของเผด็จการทุนสามานย์ที่มีทักษิณเป็นผู้นำและเป็นหัวขบวน ซึ่งขับเคลื่อนในทางเปิดเผยผ่านรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐ อำนาจการปกครองในปัจจุบัน โดยปะทะกับตัวแทนกลุ่มอำนาจของทุนขุนนาง หรืออย่างที่พวกนักวิชาการการเมืองปีกเสื้อแดงเรียกว่า “อำมาตย์” นั่นเอง
กลุ่มอำนาจของทุนขุนนาง ไม่ได้กุมอำนาจรัฐ ไม่ได้คุมอำนาจการปกครอง แต่ก็มีอำนาจและอิทธิพลต่อการเมืองของประเทศ และมีอิทธิพลทางความคิด ความเชื่อถือศรัทธา โดยปลูกฝังหยั่งรากลึกอยู่ในรูปการจิตสำนึกของประชาชนส่วนใหญ่ ภายใต้คำขวัญ “ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” ฝ่ายอำนาจของกลุ่มทุนขุนนางอยู่ในฐานะตั้งรับ ต้องปกป้องและรักษาฐานะอำนาจของตน จากการรุกไล่และคุกคามของอำนาจเผด็จการทุนสามานย์อย่างถึงที่สุด ส่วนความขัดแย้งอื่นๆ ในสังคม ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ระหว่างทหาร กลไกข้าราชการกับฝ่ายการเมือง หรือความขัดแย้งระหว่างประชาชน คนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดง ฯลฯ ล้วนเป็นความขัดแย้งที่เป็นด้านรอง ยังถูกกำหนดและขึ้นต่อความขัดแย้งหลักของสังคมเป็นตัวชี้นำและกำหนดทิศทาง
สถานการณ์ปัจจุบันไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า ตัวแทนกลุ่มอำนาจทั้งสองฝ่ายทั้งกำลังต่อสู้ช่วงชิงอำนาจ และกำลังต่อรองเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายอย่างดุเดือดและเข้มข้นยิ่ง ต่างฝ่ายต่างงัดเอากลเกมและกลยุทธ์ทั้งหลายมาใช้เพื่อขับเคี่ยวกันอย่างเผ็ดร้อน ทั้งเปิดเผยบนดินและใต้ดิน ทั้งซึ่งหน้าและลับ ลวง พราง ฝ่ายเผด็จการทุนสามานย์หรือเผด็จการโดยนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง กำลังเดินเกมสามขา คือ
1. เร่งกระชับอำนาจผ่านรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ ในการจัดแถวจัดระเบียบของส่วนราชการและตำแหน่งทางอำนาจการปกครองทั้งหลาย โดยรวมศูนย์ขึ้นต่อทักษิณ ผู้บงการและเจ้าของอำนาจตัวจริง ขณะเดียวกัน ด้านรัฐสภาก็เร่งดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อให้ทักษิณสามารถควบคุมกฎกติกา อันถือเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศไว้ในกำมือ พร้อมกับสั่งการให้สมุนบริวารออกกฎหมายเพื่อนิรโทษความผิดให้กับตนเองทั้งหมด ปูทางให้สามารถกลับประเทศ โดยเท่ๆ อย่างไร้ความผิดใดๆ ภายใต้ข้ออ้างว่า “ปรองดอง” ซึ่งก็หมายความถึงเลิกแล้วต่อกันในทุกเรื่อง ไม่ว่าโกง ทุจริต ความผิดใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบจนร่ำรวยผิดปกติ การสั่งการให้ก่อจลาจล ก่อสงครามกลางเมือง เผาประเทศ ก่อการร้าย กระทั่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาปนารัฐไทยใหม่ ทำความผิด ทำความชั่ว ทำลายชาติ ทำลายแผ่นดิน สร้างความแตกแยกในสังคมอย่างไร ก็ขอให้เลิกแล้วต่อกันเสีย
2. เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามข้อ 1 ทักษิณ ก็เดินเกมใช้ขบวนการเจรจาต่อรองกับฝ่ายทุนขุนนางผ่านทุกช่องทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การต่อสายเดินเกมผ่านขุนนาง หรืออำมาตย์ที่เคยต่อสายสร้างสัมพันธ์ หรือจ่ายเงินซื้อตัว เอื้อประโยชน์ให้บรรดาขุนนาง อำมาตย์ กังฉินที่ทรยศและขายตัวมาเป็นเวลาแรมปี ที่ซุกซ่อนและฝังตัวอยู่ในฟากฝ่ายกลุ่มขุนนาง ขุนนางบางคนมีความมักใหญ่ใฝ่สูง ทะเยอทะยานอยาก เป็นใหญ่ในทางการเมืองก็หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำยกยอปอปั้น หรือตำแหน่งผลประโยชน์ที่ทุนสามานย์เอามาหลอกล่อ จนหลงงับเหยื่อยอมรับใช้และเคลิบเคลิ้มกลายเป็นเครื่องมือของทุนสามานย์ไปก็มีจำนวนไม่น้อย
ปรากฏการณ์การส่งสารสัมพันธ์ระหว่างนายกฯ หญิง โดยการเข้าหาและพินอบพิเทาผู้หลักผู้ใหญ่ก็ดี การรดน้ำดำหัวของคณะรัฐมนตรีต่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตามบัญชาของทักษิณ ทั้งๆ ที่เคยด่า และประณามโจมตีอย่างสาดเสียเทเสียต่อประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษมาโดยตลอด ทั้งเป็นเป้าโจมตีอย่างหนักตลอดการชุมนุมของคนเสื้อแดงจากแกนนำ นปช.ไล่ตั้งแต่นายวีระ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ฯลฯ
หรือท่าทีที่เปลี่ยนไปของศาลยุติธรรม กรณีการจัดงานครบรอบ 130 ปี ศาลยุติธรรม ที่นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาศาลยุติธรรม ยอมลดชั้นเปลืองตัวเชิญนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง ผู้ต้องหาและจำเลยของศาลในคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรงหลายสิบคดีของศาล และเป็นบุคคลที่ไม่เคยเคารพกระบวนการยุติธรรมเลย ทั้งเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้คนทำผิดกฎหมาย ก่อจลาจล เผาบ้านเผาเมือง เชิดชูยกย่องทักษิณที่เป็นจำเลยหลบหนีคดี โจมตีศาลและกระบวนการยุติธรรมของไทยมาโดยตลอด หนำซ้ำยังเคยเอาคลิปการสนทนาของเลขาศาลยุติธรรมมาโจมตีเปิดเผยบนเวทีคนเสื้อแดงอีกด้วย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ รวมถึงปรากฏการณ์อื่นๆ ที่กำลังบ่งชี้ไปในทางเสมือนทุนสามานย์กำลังจูบปากปรองดองกับทุนขุนนาง กำลังเป็นที่จับตามองอย่างยิ่งว่าเป็นฝีมือล็อบบี้ของขุนนางคนใด เพราะมันช่างสอดคล้องกับคำแนะนำของพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ต่อทักษิณว่าหากจะปรองดอง ทักษิณ ควรจะคุยกับใคร
3. ขาที่สามที่ทักษิณใช้เดิน และเป็นเครื่องมือทางการเมือง คือ มวลชนจัดตั้งกลุ่มคนเสื้อแดง กับกองกำลังส่วนตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากฮุนเซน และนายทหารนอกราชการ อันธพาลมาเฟีย พวกรับจ้างเดนตาย ค้าความตายและความรุนแรงแลกผลตอบแทน กระทั่งมีข่าวลับว่ามีการบัญชาให้มีการจัดตั้งวอร์รูม ที่เป็นทั้งการเตรียมปฏิบัติการปกป้องอำนาจ และตอบโต้กลุ่มที่คิดโค่นล้มอำนาจของทักษิณ ผ่านกลไกรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ในขณะที่ฝ่ายอำนาจของเผด็จการทุนสามานย์กำลังเร่งเครื่องเดินเกม เพื่อกระชับอำนาจและปูทางให้ทักษิณกลับประเทศ ฟื้นอำนาจการเมืองของตนกลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ จนดูประหนึ่งว่าบนสนามการเมืองประเทศไทย ทักษิณกับพวกกำลังรุกไล่อยู่ฝ่ายเดียว เหมือนเกมแข่งขันฟุตบอล ที่ทีมทักษิณเตะฝ่ายเดียวแบบพับสนามเล่นอยู่ก็ตาม
เมื่อส่องกล้องและมองให้ทะลุเข้าไปในสถานการณ์ ในเกมการต่อสู้และอาการของทักษิณผู้จัดการทีมแสดงออก กลับส่ออาการลนลาน ปริวิตก มีความกดดันภายในที่ไม่อาจเก็บกดต่อไปได้ จนแสดงออกบนเวทีคนเสื้อแดงที่กัมพูชาว่า มีคนขัดขวางกระบวนการปรองดองของเขา ไม่อยากให้การปรองดองประสบความสำเร็จ นั่นหมายถึงไม่ต้องการให้การเลิกแล้วต่อกัน และปล่อยให้ทักษิณกลับประเทศอย่างไม่มีความผิดเกิดขึ้น จนกระทั่งโพล่งคำพูดที่ถ่อย และไม่สมควรออกมา ปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวและความเป็นไปของสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ เป็นศึกชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างสองขั้วอำนาจใหญ่ในประเทศ ที่กำลังต่อสู้และชิงไหวชิงพริบกันอย่างดุเดือด ใช้เล่ห์และหักเหลี่ยมเพื่อแตกหัก หรือว่าทั้งสองฝ่ายกำลังเล่นเกมจูบปากปรองดองหาทางลงที่สมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เป็นสถานการณ์ที่ประชาชนอย่างเราๆ ต้องจับตามองอย่างตาไม่กระพริบ ว่าสุดท้ายแล้ว เกมแห่งอำนาจครั้งนี้จะจบลงอย่างไร
ผู้เขียนอยากจะบอกว่า “อำนาจแท้จริงอยู่ที่ประชาชน ใครกุมหัวใจประชาชนส่วนใหญ่ได้ ผู้นั้นคือผู้ชนะแท้จริง” อย่าคิดว่าประชาชนเป็นเพียงลิ่วล้อในหนังจีน เป็นหางเครื่องให้กับการเมือง หรือเป็นเพียงนั่งร้านให้เหยียบย่ำปีนป่ายขึ้นสู่อำนาจ
กลุ่มอำนาจของทุนขุนนาง ไม่ได้กุมอำนาจรัฐ ไม่ได้คุมอำนาจการปกครอง แต่ก็มีอำนาจและอิทธิพลต่อการเมืองของประเทศ และมีอิทธิพลทางความคิด ความเชื่อถือศรัทธา โดยปลูกฝังหยั่งรากลึกอยู่ในรูปการจิตสำนึกของประชาชนส่วนใหญ่ ภายใต้คำขวัญ “ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” ฝ่ายอำนาจของกลุ่มทุนขุนนางอยู่ในฐานะตั้งรับ ต้องปกป้องและรักษาฐานะอำนาจของตน จากการรุกไล่และคุกคามของอำนาจเผด็จการทุนสามานย์อย่างถึงที่สุด ส่วนความขัดแย้งอื่นๆ ในสังคม ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ระหว่างทหาร กลไกข้าราชการกับฝ่ายการเมือง หรือความขัดแย้งระหว่างประชาชน คนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดง ฯลฯ ล้วนเป็นความขัดแย้งที่เป็นด้านรอง ยังถูกกำหนดและขึ้นต่อความขัดแย้งหลักของสังคมเป็นตัวชี้นำและกำหนดทิศทาง
สถานการณ์ปัจจุบันไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า ตัวแทนกลุ่มอำนาจทั้งสองฝ่ายทั้งกำลังต่อสู้ช่วงชิงอำนาจ และกำลังต่อรองเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายอย่างดุเดือดและเข้มข้นยิ่ง ต่างฝ่ายต่างงัดเอากลเกมและกลยุทธ์ทั้งหลายมาใช้เพื่อขับเคี่ยวกันอย่างเผ็ดร้อน ทั้งเปิดเผยบนดินและใต้ดิน ทั้งซึ่งหน้าและลับ ลวง พราง ฝ่ายเผด็จการทุนสามานย์หรือเผด็จการโดยนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง กำลังเดินเกมสามขา คือ
1. เร่งกระชับอำนาจผ่านรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ ในการจัดแถวจัดระเบียบของส่วนราชการและตำแหน่งทางอำนาจการปกครองทั้งหลาย โดยรวมศูนย์ขึ้นต่อทักษิณ ผู้บงการและเจ้าของอำนาจตัวจริง ขณะเดียวกัน ด้านรัฐสภาก็เร่งดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อให้ทักษิณสามารถควบคุมกฎกติกา อันถือเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศไว้ในกำมือ พร้อมกับสั่งการให้สมุนบริวารออกกฎหมายเพื่อนิรโทษความผิดให้กับตนเองทั้งหมด ปูทางให้สามารถกลับประเทศ โดยเท่ๆ อย่างไร้ความผิดใดๆ ภายใต้ข้ออ้างว่า “ปรองดอง” ซึ่งก็หมายความถึงเลิกแล้วต่อกันในทุกเรื่อง ไม่ว่าโกง ทุจริต ความผิดใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบจนร่ำรวยผิดปกติ การสั่งการให้ก่อจลาจล ก่อสงครามกลางเมือง เผาประเทศ ก่อการร้าย กระทั่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาปนารัฐไทยใหม่ ทำความผิด ทำความชั่ว ทำลายชาติ ทำลายแผ่นดิน สร้างความแตกแยกในสังคมอย่างไร ก็ขอให้เลิกแล้วต่อกันเสีย
2. เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามข้อ 1 ทักษิณ ก็เดินเกมใช้ขบวนการเจรจาต่อรองกับฝ่ายทุนขุนนางผ่านทุกช่องทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การต่อสายเดินเกมผ่านขุนนาง หรืออำมาตย์ที่เคยต่อสายสร้างสัมพันธ์ หรือจ่ายเงินซื้อตัว เอื้อประโยชน์ให้บรรดาขุนนาง อำมาตย์ กังฉินที่ทรยศและขายตัวมาเป็นเวลาแรมปี ที่ซุกซ่อนและฝังตัวอยู่ในฟากฝ่ายกลุ่มขุนนาง ขุนนางบางคนมีความมักใหญ่ใฝ่สูง ทะเยอทะยานอยาก เป็นใหญ่ในทางการเมืองก็หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำยกยอปอปั้น หรือตำแหน่งผลประโยชน์ที่ทุนสามานย์เอามาหลอกล่อ จนหลงงับเหยื่อยอมรับใช้และเคลิบเคลิ้มกลายเป็นเครื่องมือของทุนสามานย์ไปก็มีจำนวนไม่น้อย
ปรากฏการณ์การส่งสารสัมพันธ์ระหว่างนายกฯ หญิง โดยการเข้าหาและพินอบพิเทาผู้หลักผู้ใหญ่ก็ดี การรดน้ำดำหัวของคณะรัฐมนตรีต่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตามบัญชาของทักษิณ ทั้งๆ ที่เคยด่า และประณามโจมตีอย่างสาดเสียเทเสียต่อประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษมาโดยตลอด ทั้งเป็นเป้าโจมตีอย่างหนักตลอดการชุมนุมของคนเสื้อแดงจากแกนนำ นปช.ไล่ตั้งแต่นายวีระ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ฯลฯ
หรือท่าทีที่เปลี่ยนไปของศาลยุติธรรม กรณีการจัดงานครบรอบ 130 ปี ศาลยุติธรรม ที่นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาศาลยุติธรรม ยอมลดชั้นเปลืองตัวเชิญนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง ผู้ต้องหาและจำเลยของศาลในคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรงหลายสิบคดีของศาล และเป็นบุคคลที่ไม่เคยเคารพกระบวนการยุติธรรมเลย ทั้งเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้คนทำผิดกฎหมาย ก่อจลาจล เผาบ้านเผาเมือง เชิดชูยกย่องทักษิณที่เป็นจำเลยหลบหนีคดี โจมตีศาลและกระบวนการยุติธรรมของไทยมาโดยตลอด หนำซ้ำยังเคยเอาคลิปการสนทนาของเลขาศาลยุติธรรมมาโจมตีเปิดเผยบนเวทีคนเสื้อแดงอีกด้วย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ รวมถึงปรากฏการณ์อื่นๆ ที่กำลังบ่งชี้ไปในทางเสมือนทุนสามานย์กำลังจูบปากปรองดองกับทุนขุนนาง กำลังเป็นที่จับตามองอย่างยิ่งว่าเป็นฝีมือล็อบบี้ของขุนนางคนใด เพราะมันช่างสอดคล้องกับคำแนะนำของพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ต่อทักษิณว่าหากจะปรองดอง ทักษิณ ควรจะคุยกับใคร
3. ขาที่สามที่ทักษิณใช้เดิน และเป็นเครื่องมือทางการเมือง คือ มวลชนจัดตั้งกลุ่มคนเสื้อแดง กับกองกำลังส่วนตัวที่ได้รับการสนับสนุนจากฮุนเซน และนายทหารนอกราชการ อันธพาลมาเฟีย พวกรับจ้างเดนตาย ค้าความตายและความรุนแรงแลกผลตอบแทน กระทั่งมีข่าวลับว่ามีการบัญชาให้มีการจัดตั้งวอร์รูม ที่เป็นทั้งการเตรียมปฏิบัติการปกป้องอำนาจ และตอบโต้กลุ่มที่คิดโค่นล้มอำนาจของทักษิณ ผ่านกลไกรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ในขณะที่ฝ่ายอำนาจของเผด็จการทุนสามานย์กำลังเร่งเครื่องเดินเกม เพื่อกระชับอำนาจและปูทางให้ทักษิณกลับประเทศ ฟื้นอำนาจการเมืองของตนกลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ จนดูประหนึ่งว่าบนสนามการเมืองประเทศไทย ทักษิณกับพวกกำลังรุกไล่อยู่ฝ่ายเดียว เหมือนเกมแข่งขันฟุตบอล ที่ทีมทักษิณเตะฝ่ายเดียวแบบพับสนามเล่นอยู่ก็ตาม
เมื่อส่องกล้องและมองให้ทะลุเข้าไปในสถานการณ์ ในเกมการต่อสู้และอาการของทักษิณผู้จัดการทีมแสดงออก กลับส่ออาการลนลาน ปริวิตก มีความกดดันภายในที่ไม่อาจเก็บกดต่อไปได้ จนแสดงออกบนเวทีคนเสื้อแดงที่กัมพูชาว่า มีคนขัดขวางกระบวนการปรองดองของเขา ไม่อยากให้การปรองดองประสบความสำเร็จ นั่นหมายถึงไม่ต้องการให้การเลิกแล้วต่อกัน และปล่อยให้ทักษิณกลับประเทศอย่างไม่มีความผิดเกิดขึ้น จนกระทั่งโพล่งคำพูดที่ถ่อย และไม่สมควรออกมา ปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวและความเป็นไปของสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ เป็นศึกชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างสองขั้วอำนาจใหญ่ในประเทศ ที่กำลังต่อสู้และชิงไหวชิงพริบกันอย่างดุเดือด ใช้เล่ห์และหักเหลี่ยมเพื่อแตกหัก หรือว่าทั้งสองฝ่ายกำลังเล่นเกมจูบปากปรองดองหาทางลงที่สมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เป็นสถานการณ์ที่ประชาชนอย่างเราๆ ต้องจับตามองอย่างตาไม่กระพริบ ว่าสุดท้ายแล้ว เกมแห่งอำนาจครั้งนี้จะจบลงอย่างไร
ผู้เขียนอยากจะบอกว่า “อำนาจแท้จริงอยู่ที่ประชาชน ใครกุมหัวใจประชาชนส่วนใหญ่ได้ ผู้นั้นคือผู้ชนะแท้จริง” อย่าคิดว่าประชาชนเป็นเพียงลิ่วล้อในหนังจีน เป็นหางเครื่องให้กับการเมือง หรือเป็นเพียงนั่งร้านให้เหยียบย่ำปีนป่ายขึ้นสู่อำนาจ