เวลานี้มีเหตุการณ์มากมายที่ล้วนแต่นำพาสังคมไทยไปสู่วิกฤตชนิดที่ต้องเรียกว่าสาหัสสากรรจ์ ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนอนาคตของชาติหนีเรียนไปมั่วสวิงกิ้งในม่านรูด หรือเล่นหนังสดโชว์กันในโรงหนัง นั่นก็เป็นเรื่องเดียวกันกับหญิงสาวโชว์เอานมวาดภาพออกฟรีทีวี หรือความวุ่นวายทางการเมืองอย่างคางคกเกิดคึกท้าตีท้าต่อยองค์กรตุลาการ อหังการของคนเสื้อแดงสำแดงฤทธิ์เดชใหญ่ค้ำฟ้า กระทั่งเรื่องในสภาฯ ที่ฝ่ายกุมอำนาจรัฐต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญเสียเอง ดันกฎหมายปรองดองเพื่อสร้างความแตกแยก สยบยอมให้กับพญาอินทรีที่อยู่คนละซีกโลกเข้ามาใช้ฐานทัพอู่ตะเภา โดยไม่สนใจพญามังกรที่อยู่บ้านใกล้เรืองเคียงหรือเพื่อนบ้านติดกันอย่างอาเซียนจะขุ่นข้องหมองใจหรือไม่ อันชี้ชัดว่าไทยเราจะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดน แถมยังมีเรื่องที่อาจจะนำไปสู่การสูญเสียแผ่นดินจริงๆ จากกรณีศาลโลกกำลังจะมีคำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร ซึ่งว่ากันว่าเป็นเรื่องของการไล่ล่าอาณานิคมยุคใหม่เพื่อหวังฮุบเอาทรัพยากรด้านพลัง เป็นต้น
หลายคนวาดภาพบ้านเมืองเราเวลานี้ไม่ต่างจากถูกซุกระเบิดเวลาไว้ รอแต่เพียงให้ทุกปัญหารุมเร้าจนลุกเป็นไฟไปจุดชนวนระเบิดเข้าสักวัน หรือบ้างก็ว่าสังคมไทยไม่ต่างจากร่างกายมนุษย์ที่มากมายไปด้วยแผลพุพองและล้วนกลัดหนองเจ็บระบมอยู่ในขั้นสุดท้าย โดยกำลังรอเวลาให้ฝีแตกเพื่อการรักษาตัวเอง ซึ่งก็น่าจะไม่นานนัก
ผมมองภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเชื่อมต่อไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มาในอดีตช่วงประมาณ 10 ปีมานี้ โดยพยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนคนไทย วิกฤตต่างๆ มันมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ พยายามขบคิดทบทวนไปมาจนได้ข้อสรุปว่า แท้จริงแล้วปัญหาทั้งหมดทั้งปวงล้วนมีที่มาจากรากเหง้าเดียวกัน
เริ่มจากมีบุคคลที่เกิดอาการโลภโมโทสันไม่สิ้นสุด แล้วก็ขยายเครือข่ายจนกลายเป็นกลุ่มก๊วนเข้ายึดอำนาจรัฐไว้ในมือ ทว่าในฉากหลังกลับเชื่อมโยงกับขุมข่ายทุนสามานย์ขนาดใหญ่ทั้งในและนอกประเทศ
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็ปรากฏมีภาพล่องลอยมาให้เห็นแบบชัดแจ้งแจ๋วแหว๋ว เริ่มจากภาพคนมีใบหน้าสี่เหลี่ยมที่เป็นนักโทษหนีคุกจากประเทศไทยไปลอยหน้าลอยตาบัญชาการป่วนบ้านเผาเมืองอยู่ต่างประเทศคือ
“ทักษิณ ชินวัตร”
แล้วตามติดมาด้วยบรรดาข้าทาสบริวาร กลุ่มอิทธิพล แก๊งเสื้อแดง ก๊วนนักการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น รวมถึงพวกข้าราชการที่ต่างก็สยบยอมเป็นลิ่วล้อรับใช้ คนเหล่านั้นถูกต้อนให้มาปฏิบัติการร่วมกันจนถูกเรียกขานเป็นเครือข่ายว่า
“ระบอบทักษิณ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า สองภาพแรกช่างเป็นอะไรที่ชัดเจนมองเห็นได้ง่ายๆ แบบมีวาระให้ออกมาแสดงได้แทบทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อีกภาพที่จะกล่าวถึงกลับไม่ค่อยได้ปรากฏสักเท่าไหร่ นานๆ จะออกมาวาดลวดลายอยู่หน้าฉากสักที จนคนจำนวนมากมักหลงลืมไปว่า แท้จริงแล้วพิษสงของเครือข่ายนี้โยงใยอยู่หลังฉากของทั้งสองภาพแรกนั่นแหละ ซึ่งก็คือตัวตนของทักษิณ ชินวัตร กับญาติโกโหติกาและวงศ์วานว่านเครือใกล้ชิดที่ตั้งหน้าตั้งตาทำทุกวิถีทางให้ได้กอบโกยผลประโยชน์ร่วมกันในนาม
“ระบอบชินวัตร”
ทั้งทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณ สองภาพนี้ผมมั่นใจว่าคนไทยจำนวนมากรู้จักและเข้าอกเข้าใจในพิษสงเป็นอย่างดี สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ทั้งสองสิ่งนี้ทำไว้ได้แม่นยำ เช่นเดียวกันสามารถจินตนาการได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการกระทำในอนาคตด้วย ที่เชื่อมั่นแบบนี้ก็เนื่องจากเราทุกคนล้วนตกเป็นเหยื่อ ซึ่งเราต่างได้รับผลกระทบจากฝีมือทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณมาแล้วไม่มากก็น้อย
แต่กับระบอบชินวัตรนี่สิ ที่ผ่านมาดูเหมือนผู้คนจำนวนมากจะมองไม่ค่อยเห็นตัวตนที่มันดำรงอยู่ในสังคมไทย หลากหลายเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดจากฝีมือของระบอบชินวัตรโดยตรง หรือเกี่ยวข้องโยงใยสาวไปได้ถึงว่าระบอบชินวัตรมีส่วนได้เสียด้วย เรากลับมองเหตุการณ์เหล่านั้นแบบผิวเผิน แล้วให้มันผ่านเลยไปได้เรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เราต่างก็ตกเป็นเหยื่อของการกระทำเหล่านั้นอยู่ด้วย
ห้วงเกือบ 10 ปีมานี้ที่คนไทยส่วนใหญ่มัวแต่สาละวนลุกขึ้นต่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร ที่กระทำย่ำยีบ้านเมือง รวมตัวต่อต้านระบอบทักษิณที่ครอบงำสังคมและยึดอำนาจรัฐไปไว้ในมือได้แบบแทบจะต่อเนื่องตลอดเวลา เชื่อหรือไม่ว่าระบอบชินวัตรได้ถือโอกาสที่ผู้คนไม่ค่อยหันไปมอง ตั้งหน้าตั้งตากัดกินเลือดเนื้อประเทศชาติและประชาชนคนไทยจนลึกเข้าไปถึงกระดูกดำแล้ว
เอาเพียงแค่เบาะๆ ของตัวอย่างให้เราได้ทบทวนความจำดูกันนะครับ อย่างกรณีระบอบชินวัตรอาศัยเส้นสายทางการเมืองเข้าสู่สัมปทานผูกขาดในกิจการโทรศัพท์และโทรคมนาคมในนามกลุ่มบริษัทชินคอร์ป เมื่อกอบโกยได้ไปจนอิ่มแล้วก็ยังไม่หนำใจ กลับเอาหุ้นส่วนใหญ่ที่อยู่ในมือของตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ไปขายให้กับบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ของสิงคโปร์ได้เงินไปอีกกว่า 7.3 หมื่นล้านบาท โดยไม่สนใจว่าทรัพย์สินที่ได้สัมปทานจากรัฐแล้วเอาไปขายต่อให้ต่างชาตินั้นเป็นของคนไทยทุกคน และที่สำคัญเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศชาติโดยตรงเสียด้วย
ดีลการขายชินคอร์ปเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนมกราคม 2549 ซึ่งถือเป็นการเอาทรัพย์สินของคนไทยทุกคนไปขายให้ทุนเทศครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จึงเป็นที่โจษขานกันในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน และนำไปสู่ปัญหาที่สร้างผลกระทบต่อชาติและคนไทยใหญ่หลวง ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นต่อต้านและขับไล่ ถัดไปเพียงเดือนเดียวคือกุมภาพันธ์ 2549 ถึงกับต้องยุบสภาหนี แล้วก็นำไปสู่การถูกยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549
แต่เชื่อไหมครับว่า ความที่เป็นดีลธุรกิจสีเทา เวลานี้ผ่านมาแล้วเกือบ 7 ปีแทบไม่พบเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรธุรกิจที่ระบอบชินวัตรขายทิ้งไป ยังคงอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเหมือนเดิม หลังขายก็ยังใช้ชื่อชินคอร์ปอันมีที่มาจากชื่อตระกูลต่อเนื่อง ซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนใหม่เป็นอินทัช (intouch) เมื่อไม่นานมานี้ แต่บรรดาผู้บริหารแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รวมถึงอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่ปรับเปลี่ยน เช่น AIS จนทำให้ดูเหมือนว่าอาณาจักรธุรกิจแห่งนี้ยังคงอยู่ในมือของระบอบชินวัตร
นอกจากนี้แล้วที่กำลังเป็นที่ก่นด่าของคนไทยทั้งประเทศก็คือ การแปรรูป ปตท. ซึ่งว่ากันว่าหุ้นที่ถูกระบุขายให้กับประชาชน แต่ส่วนใหญ่กลับตกไปอยู่ในมือของระบอบชินวัตรและเครือข่าย แถมกิจการอีกหลายบริษัทในเครือ ปตท.ก็ไม่แตกต่าง ไม่เพียงเท่านั้นความที่ยึด ปตท.ไปได้นี่แหละที่ทำให้ระบอบชินวัตรสามารถสยายปีกการลงทุนในด้านพลังงานไปได้อย่างกว้างขวาง ทั้งในและนอกประเทศ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง รวมถึงสามารถขยายไลน์และแตกไลน์ธุรกิจเข้าไปยังหลายประเทศได้อีกด้วย ขณะที่คนไทยต้องแบกรับภาระซื้อน้ำมันใช้ในราคาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
เวลานี้ระบอบชินวัตรก็ยังมีเครือข่ายธุรกิจโยงใยอยู่ในประเทศไทยมากมาย แถมหลายธุรกิจยังเป็นเรื่องของการผูกขาดตัดตอน และก็มีที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่ของคนไทยทั้งประเทศเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล การสื่อสารและโทรคมนาคม แม้กระทั่งการปล่อยเงินกู้แบบแขกก็ไม่เว้น อย่างนี้แล้วจะไม่เรียกว่ากินลึกถึงกระดูกดำได้อย่างไร
ทั้งนี้ทั้งนั้นจึงนำไปสู่ภาพที่ว่า ทำไมทักษิณ ชินวัตร จึงสามารถบินโฉบไปมารอบๆ ประเทศไทยได้อย่างสบายใจ และสามารถต่อท่อน้ำเลี้ยงให้กับคนในระบอบทักษิณได้อย่างไม่เคยสะดุด หลายครั้งหลายคราทำไมจึงมีการทุ่มเทให้เกิดการก่อวิกฤตการณ์ต่างๆ ขึ้นได้มากมาย รวมถึงทำไมจึงเกิดการเผาบ้านเผาเมือง เรื่องนี้ถูกตั้งเป็นคำถามไว้แบบยังไม่มีคำตอบชัดว่า เกี่ยวข้องกับขุมข่ายธุรกิจของระบอบชินวัตรที่ยังหากินกับคนไทยหรือไม่
เหล่านี้เป็นเพียงหนังตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตปัญหาต่างๆ นานาในสังคมไทย นอกจากจะพุ่งเป้าไปที่ทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณแล้ว เราไม่ควรมองข้ามความสำคัญของ “ระบอบชินวัตร” ที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพอยู่ในเวลานี้