ปชป.เย้ย พท.หวั่นไหวหนัก หลัง “เทพเทือก” ปูดข่าว “นช.แม้ว” ส่งคนทาบร่วมรัฐบาล ยก 5 คำโกหก “ทักษิณ” พิสูจน์ใครพูดเท็จ ระบุ “นพดล” เป็นบ่าวฆ่านาย แถลงข่าวมัดลูกพี่ซุกหุ้น ดึง “ลูก-น้องสาว” พูดเท็จกลางศาล เผยยื่นเรื่องให้ถอนประกัน “เต้น-ตู่-เจ๋ง” เหตุเหิมคุกคามศาล พร้อมจี้ปรับ “ณัฐวุฒิ” พ้น รมช.เกษตรฯ ทำราคายางตก “องอาจ” เชื่อคนไทยค้านให้มะกันใช้สนามบินอู่ตะเภาเพราะไม่ไว้ใจรัฐบาลโคลนนิ่ง “ทักษิณ”
วันนี้ (20 มิ.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้พรรคเพื่อไทยที่ออกมาปฏิเสธเรื่องที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส่งคนมาเจรจาให้พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมรัฐบาลแลกไม่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ว่า แสดงว่าพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงหวั่นไหว ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่าระหว่างนายสุเทพ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ใครมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน เพราะที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
1. เคยบอกว่าเมื่อเสียงปืนแตกจะกลับมานำประชาชน 2. บอกว่าขอสละเรือแดงขึ้นรถไปยอดเขา แต่สุดท้ายเมื่อไปไม่ได้ก็ต้องเรียกเรือเข้าฝั่ง 3. ขณะที่มีการเจรจากับอำมาตย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เข้าไปเจรจาบ้านสี่เสาฯ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีท่าทีอ่อนลง แต่เมื่อไม่ได้ตามที่ตกลงก็กลับมาฮาร์ดคอร์อีกครั้ง 4. พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูดถึงทรัพย์สินว่ามีอยู่ 6.4 หมื่นล้านบาทในปี 2537 ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะปี 40 มีทรัพย์สินแค่ 2.3 หมื่นล้านบาทเท่านั้น 5. พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าจะไม่กลับมาเล่นการเมืองอีก แต่สุดท้ายก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อญี่ปุ่นว่าหากกลับมาเป็นายกฯ จะทำเหมือนเดิมอีก ซึ่ง 5 ข้อดังกล่าวแสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อถือไม่ได้
นายชวนนท์กล่าวว่า นอกจากนี้คำพูดของนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ในการชี้แจงทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่ากับเป็นบ่าวฆ่านาย ซึ่งในปี 37 พ.ต.ท.ทักษิณมีเงิน 6.1 หมื่นกว่าล้านบาท ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นในขณะนั้นสูงถึง 1,500 จุด แต่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับลงมาเหลือ 23,878 ล้านบาท ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ช่วงนั้นอยู่ที่ 300 กว่าจุด ซึ่งการพูดของนายนพดลต้องการให้สังคมเข้าใจผิดว่าปี 49 พ.ต.ท.ทักษิณมีทรัพย์สินกว่า 7 หมื่นล้านบาทจะแปลกอะไรเพราะมีเงินเพิ่มมาไม่มาก แต่สิ่งที่นายนพดลไม่ได้พูด คือ วิกฤตเศรษฐกิจทำให้มูลค่าหุ้นตกเหลือ 2.3 หมื่นล้านบาท และเพิ่มมาเป็น 7.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มเพราะการแปลงสัญญาสัมปทานภาษีสรรพสามิต แก้สัญญาส่วนแบ่งรายได้ โรมมิงดาวเทียมชินคอร์ป การปล่อยกู้ให้กับพม่า หรือไม่
“สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าเงินที่ถูกยึดเป็นของตนเองทั้งหมด แสดงว่าคนที่เกี่ยวข้องที่เคยให้การในศาลจะเป็นการให้การเท็จ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เกี่ยวข้องกับเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท แต่คนที่เกี่ยวข้อง คือ 1. น.ส.พินทองทา มีเงินอยู่ในนั้น 3 หมื่นล้านบาท 2. นายพานทองแท้ ชินวัตร 2.5 หมื่นล้านบาท 3. น.ส.ยิ่งลักษณ์ 1 พันล้านบาท 4. นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 2 หมื่นล้านบาท ซึงตัวเลขเหล่านี้เป็นไปตามบัญชีโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ป การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงอาการเดือดร้อนเพราะซุกหุ้นในคนเหล่านี้หรือไม่ เมื่อถูกยึดจึงเจ็บกระทบถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้เงินมาจากการทุจริตหรือไม่ และนายพานทองแท้ก็ยังไม่ตอบเรื่องการซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยจากคุณหญิงพจมานเลยว่าเป็นการโอนหนี้ลมหรือไม่”
ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นว่าจะกลับประเทศหรือไม่ต้องรอดู พ.ร.บ.ปรองดอง และหากกลับมาเป็นนายกฯ ก็จะทำเหมือนเดิม แสดงให้เห็น 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1. การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับบ้านอย่างเท่ ต้องรอผลของ พ.ร.บ.ปรองดอง แม้จะมีการปฏิเสธก่อนหน้านี้ว่าการออก พ.ร.บ.ปรองดองไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จิตใต้สำนึกของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ การรอ พ.ร.บ.ปรองดอง จึงไม่แปลกใจที่รัฐบาลและประธานสภา เร่งรัดตัดตอนในเรื่องนี้ และที่บอกว่าหากกลับมาเป็นนายกฯ จะทำเหมือนเดิม ก็ขอให้ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศ อย่าทำเพื่อประโยชน์ตัวเองอีกเลย
นายองอาจกล่าวถึงการที่ ครม.ไม่ได้พิจารณาเรื่องนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภาว่า พรรคประชาธิปัตย์พบว่ามีความไม่ชอบมาพากลและมีผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้น เพราะคนในรัฐบาลชุดนี้ตั้งแต่นายกฯ รมว.ต่างประเทศ รมว.กลาโหม รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ล้วนแต่ไม่น่าไว้วางใจว่าจะรักษาประโยชน์ของประเทศหรือไม่เพราะคนเหล่านี้เป็นสายตรงโคลนนิ่งเจ้าของพรรคตัวจริง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้คนเคลือบแคลงใจต่อการทำหน้าที่ของบุคคลเหล่านี้ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มีภาพลักษณ์ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง และมีบทบาทสำคัญต่อรัฐบาลนี้ จึงคิดว่าจะมีการใช้รัฐบาลหุ่นเชิดทำงานตามใบสั่งหรือไม่ หากรัฐบาลทำให้กระจ่างโปร่งใส คนจะไว้วางใจต่อโครงการนี้มากขึ้น
ขณะที่ นายชวนนท์กล่าวถึงกรณีที่โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอนประกันตัวนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ถือเป็นการกดดันศาลว่า เป็นการพูดจาขาดสำนึก ไม่ส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเอง เพราะที่ผ่านมาแกนนำคนเสื้อแดงขู่จับตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และยังโต๊ะล่าชื่อถอดถอนถือเป็นการกดดันหรือไม่ ซึ่งต่างจากการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางตามกฎหมาย
นายชวนนท์ยังกล่าวถึงการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเรื่องถึง ครม.ให้ระมัดระวังโครงการจำนำข้าวอาจมีการทุจริตว่า ถือเป็นการยื่นเอกสารเป็นครั้งที่ 3 ให้ ครม.พิจารณา แต่ ครม.เพียงรับทราบ ไม่มีมติใดๆ ในเรื่องนี้โดยการไม่ไปยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ซึ่งขณะนี้มีความเห็นห่วงว่าจะมีโครงการจำนำข้าวนาปรังรอบใหม่เข้ามาหรือไม่ พฤติกรรมของรัฐบาลเป็นเพราะยังกินกันไม่พอหรือไม่
นอกจากนี้ ขอฝากถึงนายณัฐวุฒิ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ซึ่งปัจจุบันวันที่ 19 มิ.ย. 55 ราคายางดิบอยู่ที่ 92.3 บาทต่อกิโลกรัม ราคายางสดอยู่ที่ 125 บาท ซึ่งหากเทียบราคาในวันเดียวกันของปี 54 ซึ่งเป็นช่วงต้นของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ราคายางดิบสูงถึง 136.3 บาท ส่วนราคายางสด อยู่ที่ 134.5 บาท ที่เป็นเช่นนี้เพราะนายณัฐวุฒิไม่ได้เอาเวลาไปบริหารในกระทรวง แต่กลับมัวอยู่แต่อยู่ข้างถนน ดังนั้น การปรับ ครม.ครั้งนี้ควรเอานายณัฐวุฒิออกไป และเอาคนใหม่เข้ามาแก้ปัญหาจะดีกว่า และปีที่ผ่านมานายณัฐวุฒิมัวยุ่งอยู่แต่การเผายาง ปีนี้ก็ยังมาทำให้ราคายางพาราตกต่ำอีก ขออย่าให้ซ้ำเติมราคายางอีกต่อไปเลย