“นพดล” เผยคุยกับ “นช.แม้ว” แล้วยืนยันไม่ได้ส่งใครทาบ ปชป.ร่วมรัฐบาล อ้าง “เทพเทือก” ไม่มีอำนาจในพรรคที่จะเจรจาด้วย เตรียมรวมรวบหลักฐานฟ้องหมิ่น พร้อมโต้ “แก้วสรร” ลูกพี่รวยก่อนเล่นการเมือง ร่ายยาวปี 37 รวยกว่า 6 หมื่นล้าน แต่มาลดตอนเป็นนายกฯ เหลือ 2.3 หมื่นล้าน นั่งผู้นำรอบสองมีเพิ่มเป็น 3.1 หมื่นล้าน แต่พอปี 2545 ขายชินคอร์ป รวยพุ่งถึง 7.3 หมื่นล้าน
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ส่ง หญิงผู้สูงศักดิ์ 2 คน กับชายสูงอายุอีก 1 คนมาเจรจาเพื่อให้เข้าร่วมรัฐบาลว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ซึ่งตนได้มีการพูดคุยเรื่องดังกล่าวกับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว และเห็นว่านายสุเทพไม่ได้มีอำนาจหรือตำแหน่งอะไรในพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต้องไปเจรจาเพื่อแลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีให้พรรคประชาธิปัตย์ หากมีการร่วมรัฐบาล
นายนพดลุกล่าวว่า การกระทำของนายสุเทพมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มคนเสื้อแดงเคลือบแคลงสงสัยในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตนเชื่อว่าการเสี้ยมของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้คงไม่สำเร็จ เพราะพรรคยังคงร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดงต่อไป อย่างไรก็ตาม ทีมกฎหมายของตนจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่ ก่อนดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดี
นายนพดลยังได้นำตัวเลขบัญชีทรีพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง มายืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยมาก่อนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่โกงกินจนร่ำรวย ตามที่นายแก้วสรร อติโพธิ ปราศรัย โดยครั้งแรกตั้งแต่ปี 2537 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ปี 2537 มีมูลค่าหุ้นจำนวน 51,481 ล้านบาท รวมทรัพย์สินอื่นกว่า 6 หมื่นล้านบาท ปี 2540 เข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี มีมูลค่าหุ้นรวมทรัพย์สินอื่น 23,880 ล้านบาท ปี 2544 เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีมูลค่าหุ้นรวมทรัพย์สินอื่น 31,242 ล้านบาท และวันที่ 23 มกราคม ปี 2549 ที่มีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปนั้น มีมูลค่าหุ้นรวมทรัพย์สินอื่น 73,271 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นแตกต่างกันนั้นเป็นไปตามตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ หากมีการบิดเบือนตัวเลขดังกล่าวตนจะบริจาคเงินสมทบมูลนิธิคนปัญญาอ่อน ตัวเลขละ 10,000 บาท
นายนพดลกล่าวว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการยึดทรัพย์บุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่เป็นครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และก่อนหน้าที่จะเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้โอนหุ้นให้ทั้งหมดให้บุคคลในครอบครัวแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง เพราะกฎหมายได้กำหนดว่า บุคคลใดที่จะเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง ห้ามถือหุ้นที่เกี่ยวกับบริษัทเอกชน ดังนั้นจึงถือว่าไม่เป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และถือเป็นการละเมิดทรัพย์สินส่วนบุคคลอื่น