ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- ดูเหมือนว่าจะเอาดีทางด้านการเมืองเข้าให้แล้ว สำหรับ นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่พักหลังๆ ได้สวมบทเป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และตระกูลชินวัตร แบบเต็มรูปแบบ ด้วยการโพสต์ข้อความลงในที่เฟซบุ๊กของตัวเอง (Oak Panthongtae Shinawatra) ตอบโต้แก้ต่างทุกกรณีทุกประเด็นที่พุ่งมาหารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมไปถึงทุกสิ่งอันที่พุ่งเป้าไปถึง นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเขา
ประหนึ่งว่าเป็นโฆษกประจำตระกูลชินวัตรไม่มีผิดเพี้ยน
หากยังจำกันได้ ไม่นานมานี้เขาก็ได้แสดงผลงานโชห่วย ด้วยการสวมวิญญาณเป็น “โอ๊ค ชวนชิม” ปฏิบัติการกู้หน้าความไม่เอาอ่าวของรัฐบาลปูนิ่ม ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ปล่อยให้สินค้าอุปโภคบริโภคดาหน้าขึ้นราคาจนชาวบ้านทั่วบ้านทั่วเมืองขนานนามให้ว่าเป็นยุคแพงทั้งแผ่นดิน โดยนายพานทองแท้ โชว์รอยหยักในสมองอันน้อยนิดของตัวเอง ด้วยการตระเวนทัวร์ไปกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 บาท ถึงจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อจะให้บอกว่าอาหารราคาถูกยังมีอยู่ ซึ่งเชื่อได้ว่าคงไม่มีใครคนใดว่างมากขนาดที่ว่าจะลงทุนตีตั๋วเครื่องบินถ่อไปกินไกลจากบ้านตัวเองเป็นแน่แท้ นี่ก็คงบ่งบอกได้ดีถึงสติปัญญาของ นายพานทองแท้ ว่ามีมากน้อยเพียงใดได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด สดๆ ร้อนๆ วันดีคืนดีไม่รู้ผีห่าซาตานตัวใดมาเข้าสิงนายพานทองแท้ก็ไม่ทราบได้ ครั้งนี้นายพานทองแท้ก็ได้ลงทุนโพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพประเด็นทรัพย์สินของบิดา คือ นช.ทักษิณ ก่อนมาเล่นการเมือง และด้วยเหตุการณ์นี้ โอ๊คก็ได้พบกับเนื้อคู่-คู่กัดทางการเมือง อย่าง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาเปิดศึกน้ำลายกันอย่างเร้าใจเลยทีเดียว
ทั้งนี้ นายพานทองแท้ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพประเด็นทรัพย์สินของ นช.ทักษิณ ก่อนมาเล่นการเมืองด้วยการบอกว่า “ผมไม่ได้อยู่เมืองไทยครับ มาเยี่ยมคุณพ่อ 2-3 วัน ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีเวลาเขียนเฟซบุ๊ก เลยกะว่าจะแอบถ่ายรูปกับคุณพ่อมาลงเซอร์ไพรส์แฟนเพจ แต่พอได้คุยกับคุณพ่อปรากฏว่าได้ข้อมูลดิบที่น่าจะนำมาแชร์ และเล่าสู่กันฟังเยอะเลยครับ กลับไปก็คงจะค่อยๆ ทยอยๆ ลงไปเรื่อยๆ หวังว่าทุกท่านจะยังไม่เบื่อกันนะครับ ว่าแล้วผมก็ขอเอาข้อมูลชิ้นแรกที่คุณพ่อบอกผมมาลงแทนรูปที่ถ่ายกับคุณพ่อก่อนเลยแล้วกันครับ”
“คุณพ่อผมจำได้ว่า วันที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรกในชีวิต มีหนังสือพิมพ์ลงพาดหัว ข้อมูลทรัพย์สินที่คุณพ่อผมมีอยู่ก่อนเข้าการเมือง ซึ่งคุณพ่อผมและผู้รับตำแหน่งทางการเมืองของพรรคพลังธรรมทุกคน ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน (คุณพ่อผมจำได้แม้กระทั่งว่า ลุงจำลองใส่เสื้อม่อฮ่อมลากรองเท้าแตะบุกมาเชิญให้ไปเป็น รมต.ถึงออฟฟิศเลยครับ) ผมจึงได้ให้ทีมงานไปค้นมาปรากฏว่ามีเพียบเลยครับ น่าจะทุกฉบับเลยด้วย (ผู้จัดการรายวันยังมีเลยครับ ลงว่า “รมต.พลังธรรมแสดงทรัพย์-ทักษิณ 6 หมื่นล้าน” เลยครับ) ผมขอยกตัวอย่าง นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 19 พ.ย. 2537 (เมื่อ 18 ปีที่แล้วครับ ตั้งแต่ นสพ.ไทยรัฐยังราคาฉบับละ 5 บาทอยู่เลย) ได้ลงพาดหัวไว้ครับว่า “เปิดขุมทรัพย์ รมต.ผัก-แฉทักษิณรวย 6 หมื่นล้าน” ตามรูปที่แสดงนี้ครับ ก็ถือว่าเป็นข้อมูล 2 ด้านที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงนะครับ ใครจะเชื่อใครก็แล้วแต่สีเสื้อ เอ้ย...วิจารณญาณของแต่ละท่าน ถ้าถามผม ผมก็ต้องยืนยันตามข้อมูลเดิมตั้งแต่ 18 ปีที่สื่อทุกฉบับลงไว้นี้แหละครับ ส่วนหากจะมีใครมากัดผมอีกว่า โอ๊คโพสต์เฟสบุ๊คหวังช่วยพ่อ หรืออาจจะบอกว่าคุณพ่อผมโกหกล่วงหน้าไว้เมื่อ 18 ปีที่แล้ว ก็ถือว่านานาจิตตังครับ ผมว่าลุงจำลองยืนยันได้เพราะถ้าไม่ยืนยันตามนี้ก็คงต้องไปอาราธนาศีล 8 ใหม่ละครับ 55555”
อย่างไรก็ตาม ที่ตลกแทบฟันร่วง ก็คือ มีคนได้มาแสดงความเห็นสนับสนุนโพสต์ดังกล่าวโดยมีความพยายามตั้งคำถามว่า หนังสือพิมพ์เสนอข่าวว่ารวม 6 หมื่นล้านนั้น ต่างจากที่แจ้งต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งหาก นช.ทักษิณได้มาอ่านข้อความนี้ด้วยแล้ว แทบอยากจะกาชื่อนายพานทองแท้ออกจากกองมรดกเลยทีเดียว เพราะไม่ต่างจากการแฉว่า นช.ทักษิณ ซุกเงินไว้จริงโดยที่ไม่ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.ทั้งหมด
ข้อความที่ว่าก็คือ “น้องโอ๊ค...เอาอีกแล้ว อันนั้นหนังสือพิมพ์ เขาลงหน้าหนึ่งก็จริงครับ...แต่เขาตีมูลค่าหุ้น และนักข่าวตีข่าวตามคำพูดของพ่อแม้ว...แต่พ่อแม้วมี 2 หมื่นล้านเศษเท่านั้น และกระแสเงินสด มีหนึ่งพันเศษๆ เท่านั้น..การมาการันตีพ่อแม้วว่ามี 6 หมื่น 7 หมื่นล้านก่อนเล่นการเมืองนั้น มันไร้สาระ...และไม่ใช่สิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง...และจะทำให้คดีซุกหุ้นจริงขึ้น เพราะแจ้งไว้กับ ป.ป.ช. 2 หมื่นล้านเศษ (แสดง อีก 4 หมื่น 5 หมื่นล้าน ซุกหุ้นไว้จริง ซิ)”
ขณะเดียวกัน ความเป็นจริงของเรื่องนี้ก็คือ จากการตรวจสอบรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ นช.ทักษิณ ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.พบว่า มูลค่าทรัพย์สินรวมกันทั้งครอบครัวมากที่สุด มีแค่ช่วงพ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อปี 2540 เพียงแค่ 23,878 ล้านบาท และในช่วงพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปี 2549 มีเพียงแค่ 21,488 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากเมื่อปี 2537 ที่อ้างว่ามีทรัพย์สินรวม 6 หมื่นล้านบาทโดยสิ้นเชิง
ขณะที่ไม่ทันขาดคำทันที นายชวนนท์ก็ได้ออกมาแถลงเป็นเรื่องเป็นราวตอบกลับนายพานทองแท้ว่า “ความที่คุณโอ๊ครักพ่อ และไปค้นเอกสารเมื่อปี 2537 มาเปิดนั้น ผมอยากบอกว่าคุณโอ๊คทำปิตุฆาตบิดาตัวเองเสีย แล้วเพราะสิ่งที่นำมาเปิดเผยถือเป็นหลักฐานชิ้นดีที่ชี้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ซุกหุ้น เพราะเมื่อปี 2537 ท่านมีทรัพย์สินอยู่ 6 หมื่นล้าน แต่พอปี 2540 ทั้งตระกูลมี 23,878 ล้านบาท นี่เป็นตัวเลขที่ตรงกับการดำเนินการฟ้องร้องคดีซุกหุ้นในเวลาดังกล่าวผมว่าวันนี้คุณโอ๊คขยันผิดที่ไปนิด ทำให้รู้ว่าพ่อคุณโอ๊คซุกหุ้นจริง ผมไม่แน่ใจว่าวันนี้พ่อตัดออกจากกองมรดกหรือยัง นี่พากันลงนรก ผมขอขอบคุณที่พยายามให้ข้อมูลแก่พรรคประชาธิปัตย์อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ทีมกฎหมายจะได้หารือกันถึงเรื่องนี้ว่าจะสามารถฟ้องร้องอย่างไรได้บ้าง”
จน นายพานองแท้ ได้ออกอาการเดือดดาดอีกครั้ง ออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของตัวเองต่ออีกว่า “การเมืองไทยไม่สร้างสรรค์ก็เพราะพฤติกรรมของคนในพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคนี้แหละครับ แทนที่จะพูดกันดีๆ และรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน กลายเป็นว่าเหตุผลสู้เด็กไม่ได้ เอะอะอะไรก็พาดพิงหรือด่าพ่อล่อแม่กันทำตัวเป็นเด็ก ม.7 เลยครับ มากันเป็นทีมตั้งแต่หัวหน้าพรรค โฆษก-รองโฆษกพรรค โฆษกส่วนตัวจัดเต็มครบทีม คุณพ่อพึ่งสอนผมเมื่อวานนี้ครับว่า เวลาหมากัดอย่าไปว่าหมา ให้ไปด่าเจ้าของหมาที่ปล่อยหมามากัด
ล่าสุด โฆษกพรรคที่ชื่อ ชวนนท์ ให้สัมภาษณ์ว่าผมทำปิตุฆาต (คำนี้แปลว่าลูกฆ่าพ่อครับ) ผมถือว่าคุณชวนนท์พูดจาล้ำเส้นที่เหมาะสมของมารยาททางการเมือง ก้าวล่วงบุพการีผมมากเกินไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเลย ถึงแม้ผมจะเชื่อว่ามีอีแอบที่คอยจูงจมูกให้คุณออกมาพูดก็ตาม แต่คงต้องขอตอบโต้สิ่งที่คุณพูดครับ สติปัญญาของคุณชวนนท์คงจะไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ไม่เหมาะสมอย่างไร ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกันครับ สมมติว่าอยู่ดีๆ มีเพื่อนคุณมาพูดว่า? พ่อมึงตายเหรอ ชวนนท์? คุณว่ามันแรงไหมครับ คุณชวนนท์โกรธไหมครับ มัน เบากว่าคำว่าปิตุฆาตที่คุณพูดเสียอีกครับ เพราะที่เพื่อนพูดนั้นบิดาของคุณชวนนท์อาจตายด้วยสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคุณครับ
แล้วก็สุภาษิตที่คุณชวนนท์เอามาอ้างอิงว่า โง่แล้วอย่าขยัน พากันลงนรก? ก็เป็นสุภาษิตลวงโลกครับ ทีมงานผมค้นหาจากทุกแหล่งอ้างอิงแล้วไม่มีสุภาษิตที่ว่านี้ครับ เขาเลยสรุปกันว่าคงเป็นกุศโลบายของบรรพบุรุษของคุณชวนนท์เอง ที่อยากสอนลูกหลานไม่ให้ทำผิดซ้ำซากหรืออาจเป็นประเภท ลูกหลานที่สอนแล้วไม่รู้จักจำ จึงต้องบัญญัติไว้เป็นสุภาษิตที่อยู่ในระบบปิดของตระกูลคุณ ชวนนท์เองก็เป็นไปได้ครับ (อย่างนี้เรียกว่าคุณชวนนท์ทำบรรพบุรุษฆาตหรือเปล่า)
ถ้าคุณเป็นโฆษกที่พูดแต่ความจริง รบกวนช่วยหาเอกสารยืนยันที่มาของสุภาษิตนี้ด้วย ปั้นคำพูดขึ้นมาหลอกด่าคนอื่นแบบนี้ไม่เป็นลูกผู้ชายเลยครับ ถ้าสุภาษิตนี้มีจริง คนอย่างผมถ้าทำผิดผมกล้าขอโทษครับ”
“... คุณชวนนท์บอกจะเอาข้อมูลนี้ให้ทีมกฎหมายพรรคฟ้อง ทีมงานผมบอกว่าที่หอสมุดแห่งชาติมีหลายฉบับเลยครับไปคัดมาแล้วฟ้องได้เลย อย่าลืมง่ายนะครับไม่อย่างนั้นเขาจะว่าดีแต่พูด น.ส.พ.ฉบับวันที่ 19 พ.ย. 2537 ถ้าจำไม่ได้ก็ถามผู้ใหญ่ในพรรคครับ บอกว่าเป็นวันเดียวกับที่มีการออก ส.ป.ก.4-01 ผลงานชิ้นโบดำของพรรคประชาธิปัตย์ ผมว่าน่าจะจำกันได้เกือบทั้งพรรคใครๆ เขาก็ทราบครับว่าคุณชวนนท์ อยากเป็น ส.ส.แต่พอลงสมัครรับเลือกตั้งคราวโน้นก็สอบตก คราวนี้ลงปาร์ตี้สิสต์ก็ได้อันดับหลังๆ ยังเป็นเวตติ้งลิสต์อยู่ มาแช่งพ่อผม คุณไม่ได้เป็นหรอกครับ ส.ส.แช่งคนที่คุณกอดคอ (โพสต์รูปอภิสิทธิ์กอดคอชวนนท์) กันอยู่ในรูปแหละครับ เกิดสมพรปากขึ้นมาปาร์ตี้ลิสต์ขยับเลื่อนขึ้น ยังมีโอกาสแจ้งเกิดในสภากับเขาบ้าง ขอให้สมหวังไวๆ”
ขณะเดียวกัน ต้องบอกว่าขิงก็ราข่าก็แรงน่าจะเหมาะสมแก่คู่กัดทางการเมืองข้าวใหม่ปลามัน คู่นี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ทันขาดคำ นายชวนนท์ก็ได้จัดหนักจัดเต็มออกมาแถลงข่าวแจกแจงพร้อมข้อมูลที่ทำเอา นายพานทองแท้ แถบไปไม่เป็นเลยทีเดียว
นายชวนนท์กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายพานทองแท้ อีกครั้งที่ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมทำให้ยิ่งชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซุกหุ้นจริงเพราะข้อมูลที่นายพานทองแท้ ระบุว่า ในปี 2537 พ.ต.ท.ทักษิณ มีเงิน 6 หมื่นล้าน แต่ในปี 2540 ตกลง 7-80% ซึ่งเท่ากับว่าทรัพย์สินหายไป 12,000-18,000 ล้านบาท เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สินในปีเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งทรัพย์สินตนเองและครอบครัวรวมลูกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทั้ง 3 คนรวม 23,878 ล้านบาท ยังมากกว่าที่ นายพานทองแท้ให้ข้อมูลถึงเกือบ6 พันล้านบาท จึงต้องถามเงินที่งอกออกมานั้นมาจากไหน นอกจากนี้ สิ่งที่ตนได้แถลงไปก่อนหน้านี้ก็พูดถึงการแสดงบัญชีทรัพย์สินในปี 2540 จนถึงปี 48 แต่นายพานทองแท้กลับเลือกตัดตอนการแสดงบัญชีทรัพย์สินในช่วงปี 40 โดยอ้างว่าในปี 2542 ตนเองบรรลุนิติภาวะแล้วจึงไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อปปช. โดยไม่บอกความจริงอีกครึ่งหนึ่งที่ว่า ในปี 40 นั้น นายพานทองแท้ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และ เหตุใด จึงไม่พูดถึงหุ้นชินคอร์ปที่อยู่ในชื่อของนางสาวบุญชู เหรียญประดับ นางดวงตา วงศ์ภักดี นายวิชัย ช่างเหล็ก และนายชัยรัตน์ เชียงพฤกษ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นคนรับใช้และบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวด้วยว่า ในปี 2537 นิตยสาร WHO’s WHO in BUSINESS and FINANCE ได้จัดอันดับผู้ถือหุ้นที่มีมูลค่ามากที่สุดในประเทศไทย ปรากฏว่า นางดวงตา วงศ์ภักดี ติดอันดับที่ 10 ส่วนนางสาวบุญชู เหรียญประดับ ติดอันดับที่ 13 รวยหุ้นที่สุดในประเทศไทย จึงอยากถามนายพานทองแท้ว่า มีการรวมทรัพย์สินเหล่านี้ไว้แล้วหรือยัง รวมถึงหุ้นที่ซุกไว้ที่ บ.แอมเพิลริชที่เกาะบริติชเวอร์จินด้วย
นายชวนนท์กล่าวว่า ในปี 2553 พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ยึดทั้งหมด 7.6 หมื่นล่าน ยึดไว้เพียง 4.6 หมื่นล้าน คืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ 32,047 ล้านบาท ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งต่อ ปปช.ไว้ในปี 2548 จำนวน 21,488 ล้านบาท เท่ากับศาลคืนทรัพย์สินให้มากกว่าที่แจ้งต่อ ปปช.ถึง 10,559 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเห็นว่าพฤติกรรมของนายพานทองแท้ ไม่แตกต่างไปจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นบิดา ที่พูดความจริงต่อสังคมครึ่งเดียวโดยเลือกเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง โดยได้นำข้อความจากทวิตเตอร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนการยึดทรัพย์ในปี 2553 มีข้อความยืนยันว่า มีเงิน 6 หมื่นล้านก่อนเป็นนายกฯ มาแสดงต่อสื่อมวลชน
“ผมแนะนำนายพานทองแท้ว่า ถ้ารักพ่อไม่ควรใช้วิธีอย่างนี้ ตอบโต้ทางเฟซบุ๊กพูดข้างเดียว แต่ให้เอาหลักฐาน เหตุผลมายืนยัน ถ้ารักพ่อให้บอกพ่อมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม บอกพ่อให้สำนึกผิดกลับเข้าประเทศเพื่อชดใช้กรรม อย่าใช้วิธีเดียวกับพ่อเพราะไม่เป็นประโยชน์กับพ่อ ให้บอกพ่อหยุดทำร้ายประเทศไทย ให้บอกพ่อไปบอกสมุนว่าหยุดปั่นป่วนสร้างความขัดแย้ง ถ้าทำได้เชื่อสังคมไทยให้อภัย แต่ถ้ายังทำแบบนี้เท่ากับทำบาปให้พ่อและตัวเอง และที่พยายามบอกว่าผมสอบตกไม่ได้เป็น ส.ส. ผมไม่โกรธแต่มีความภูมิใจ เพราะเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตย ผมไม่เคยโกงข้อสอบ และที่ถามว่า “พ่อมึงตายเหรอชวนนท์” ผมจะโกรธหรือไม่นั้น ผมคิดว่า เกิดแก่เจ็บตายหลีกไม่ได้ ผมไม่โกรธ แต่จะโกรธมากกว่าถ้ามีคนพูดว่า “พ่อมึงโกงหรือ?” เพราะความตายบังคับไม่ได้ แต่ความซื่อสัตย์สุจริตคิดดีต่อบ้านเมืองทำได้ จึงอยากฝากถึงนายพานทองแท้ถ้าอยากช่วยพ่อ ให้ตั้งหลักใหม่ เอาความจริงมาพูด อย่าถลำลึกมากไปกว่านี้ ส่วนที่นายพานทองแท้ บอกว่า พ่อสอนว่าหมากัดอย่ากัดตอบนั้น พ่อผมก็สอนว่าอย่าเล่นกับหมา เพราะหมาจะเลียปาก โดยเฉพาะลูกหมาที่ยังไม่รู้ดีรู้ชั่ว และอาจยังไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วย” นายชวนนท์กล่าว
เรียกว่าจัดเต็มใส่กันไม่ยั้ง เล่นกันประโยคแสบๆ ว่าลูกหมายังไม่ได้ฉีดวัคซีน แถมย้อนเจ็บๆ ด้วยว่าไม่โกรธถ้าคนถาม “พ่อมึงตาย” แต่โกรธถ้าถาม “พ่อมึงโกง” พร้อมกับท้าโอ๊คตอบคำถามที่จี๊ดกระดองในผู้เป็นพ่ออย่าง นช.ทักษิณ ว่าเหตุใดภายในเวลาไม่กี่ปี ทำไมทรัพย์สินของ นช.ทักษิณที่แจ้งไว้ประมาณ 2.3 หมื่นล้านในปี 40 จึงพุ่งขึ้นเป็น 7.6 หมื่นล้าน แถมเหน็บแสบๆ ว่าเป็นการทำปิตุฆาตบิดาตัวเองเสียอย่างนั้น เพราะลงทุนไปค้นเอกสารตั้งแต่ปี 2537 มาเพื่อแฉให้สังคมเห็นว่าพ่อตัวเองรวยก่อนเล่นการเมือง แต่ดันเป็นการโชว์โง่ ผิดคิวประจานพ่อตัวเองว่า นช.ทักษิณ นั้นซุกหุ้นไว้จริง
นอกจากนั้นแล้ว ในวันที่ทนายหน้าหอตระกูลชินวัตรอย่างนายนพดล ปัทมะ ออกมาแก้ต่างให้นายสุดที่เลิฟอย่าง นช.ทักษิณ เรื่องประเด็นซุกหุ้นนั้น นายชวนนท์ ก็ได้ออกมาแถลงย้อนศร ฝากแผลไปยังนายพานทองแท้ โดยตรงอีกหนึ่งดอกใหญ่ๆ ด้วยก็คือ “สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเงินที่ถูกยึดเป็นของตนเองทั้งหมด แสดงว่าคนที่เกี่ยวข้องที่เคยให้การในศาล จะเป็นการให้การเท็จ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณไม่เกี่ยวข้องกับเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท แต่คนที่เกี่ยวข้องคือ 1. น.ส.พินทองทา มีเงินอยู่ในนั้น 3 หมื่นล้านบาท 2. นายพานทองแท้ ชินวัตร 2.5 หมื่นล้านบาท 3. น.ส.ยิ่งลักษณ์ 1 พันล้านบาท 4. นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นไปตามบัญชีโครงสร้างผู้ถือหุ้น บ.ชินคอร์ป การที่พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงอาการเดือดร้อนเพราะซุกหุ้นในคนเหล่านี้หรือไม่ เมื่อถูกยึดจึงเจ็บกระทบถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้เงินมาจากการทุจริตหรือไม่ และนายพานทองแท้ก็ยังไม่ตอบเรื่องการซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยจากคุณหญิงพจมานเลย ว่าเป็นการโอนหนี้ลมหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสงครามน้ำลายไม่ได้หมดลงแค่นั้น เพราะดูเหมือนนานพานทองแท้จะแค้นฝังหุ่น ขนาดที่ไปขุดคุ้ยคดีในอดีตของพ่อของนายชวนนท์ ซึ่งก็คือ นายมานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต โดยนายพานทองแท้ได้ทิ้งระเบิดว่า “กรณีที่คุณชวนนท์มาบอกว่าจะโกรธมากกว่าถ้าผมถามว่า พ่อมึงโกงเหรอ ผมว่าคุณกลับไปให้คุณกรณ์ (จาติกวนิช) รองหัวหน้าพรรคคุณเป็นคนถามดีกว่าครับ เพราะพ่อคุณกรณ์เป็นคนปลดพ่อคุณ ไม่ใช่ผมครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวคุณหรอก เห็นแต่ข่าวในเว็บเขียนไว้ว่า มานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ถูก ไกรศรี จาติกวณิช ประธานกรรมการฯ ปลด ให้ขนของออกไปภายใน 24 ชั่วโมง และถูกแจ้งจับในคดีอาญาและฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในทางคดีแพ่ง...?
แน่นอน การเปิดประเด็นเรื่องพ่อของนายชวนนท์ก็ทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างเวทีอดสงสัยไม่ได้เช่นกันว่ามีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปก็จะพบว่าเป็นเหตุการณ์ศึกสายเลือดของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ยุคที่นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล เป็นกรรมการผู้จัดการในธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งมีนายมานะศักดิ์ อินทรโกมาลสุตย์ คนของพรรคประชาธิปัตย์นั่งทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้จัดการอยู่โดยการสนับสนุนของสนั่น เกตุทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และพล.อ.อำนาจ ดำริกาญจน์ นั่งเป็นประธานกรรมการธนาคาร
ขณะนั้น สมหมาย ฮุนตระกูล อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงการคลังถูกแต่งตั้งให้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีอำนาจในการดูแลควบคุมธนาคารอาคารสงเคราะห์รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงแห่งนี้ในปี 2524 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่วิกฤติทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังแสดงผลนับตั้งแต่วิกฤตการณ์น้ำมัน 2522 เกิดข้าวยากหมากแพง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและค่าเงินในตลาดโลกผันผวนอย่างรุนแรงธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็ประสบกับปัญหานี้อย่างหนัก ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงลูกค้าเงินกู้ที่ปล่อยออกไปไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ข่าวที่ออกมาในยุคนั้นระบุว่ามีหนี้เสียถึง 2,000 ล้านบาท
มานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต ในฐานะกรรมการผู้จัดการ ได้พยายามดิ้นรนที่จะกอบกู้สถานการณ์โดยขอให้กระทรวงการคลังให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และช่วยหาแหล่งเงินกู้ต้นทุนดอกเบี้ยต่ำและช่วยหาแหล่งเงินกู้ ต้นทุนถูกจากต่างประเทศเข้ามาเสริมสภาพคล่อง โดยมีพลเอกอำนาจ ดำริกาญจน์ ประธานกรรมการในขณะนั้นเป็นคนเจรจากับสมหมาย ฮุนตระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่
เรื่องทำท่าว่าจะได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดีเพราะบารมีของ พล.อ.อำนาจ และหลักการนี้กำลังอยู่ในขบวนการพิจารณา
ทว่า เพียง 6 วันหลังจากที่ทางกระทรวงการคลังอนุมัติความช่วยเหลือ 23 มิถุนายน 2524 พล.อ.อำนาจ ก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ทางกระทรวงการคลังได้แต่งตั้งให้ ไกรศรี จาติกวณิช จากกระทรวงการคลังเข้ามานั่งเป็นประธานกรรมการแทน พล.อ.อำนาจ ซึ่งส่งผลทำให้อนาคตของมานะศักดิ์ดับวูบลงตั้งแต่วันนั้น โดยนายมานะศักดิ์ถูกซักฟอกอย่างหนักในเรื่องการบริหารงานธนาคารผิดพลาดล้มเหลวและส่อไปในทางที่ไม่สุจริตทำให้ธนาคารได้รับความเสียหายร่วม 2,000 ล้านบาท
มานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ให้ขนของออกไปภายใน 24 ชั่วโมง ติดตามด้วยการแจ้งจับในคดีอาญาและฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในทางคดีแพ่งโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่เขาเคยนั่งบริหารอยู่ แต่สุดท้ายคดีถึงที่สุดแล้ว โดยมานะศักดิ์เป็นฝ่ายชนะ
อย่างไรก็ดี มาถึงตรงนี้แล้วก็ยิ่งเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ที่จะยกให้คู่ของ “โอ๊ค ลูกเจ้าพ่อชินวัตร” กับ “ชวนนท์ ศิษย์พระแม่ธรณีบีบมวยผม” เป็นคู่กัดทางการเมือง อีกคู่หนึ่งในแวดวงการเมืองไทย ด้วยลีลาที่ออกมาถล่มกันอย่างดุเดือด เลือดพล่านไม่แพ้คู่กัดการเมืองก่อนหน้านี้ที่เคยมีเช่นกัน ซึ่งก็ทำให้ประชาชนได้รับอานิสงส์ในเรื่องราวต่างๆ และเชื่อได้ว่าคู่เดือดทั้งสองคนนี้คงไม่จบแค่ประเด็นที่นำมาสาวไส้กันแค่นี้อย่างแน่นอน