xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

แดงเผาเมืองแข็งข้อ ก่อกบฏรัฐไทยใหม่ พท.ร้าวโหวต รธน.วาระ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ชนวนเหตุจาการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องให้วินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า มีผลทำให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้สภาผู้แทนราษฎรชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่ตามกำหนดจะต้องพิจารณาในวันที่ 5 มิถุนายน 2555 ออกไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยถึงที่สุดนั้น ได้ทำให้สถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทยเต็มไปด้วยความร้าวฉานอย่างหนัก

กล่าวคือ ขณะที่ปีกแกนนำคนเสื้อแดงที่เข้าไปเป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยประกาศกร้าวที่จะไม่รับฟังคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ชะลอการลงมติในวาระ 3 และต้องการให้ “นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประธานรัฐสภา นำเรื่องเข้าบรรจุและโหวตวาระ 3 นั้น ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อยกลับไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว เนื่องจากเกรงกลัวที่จะนำไปสู่ความผิดทางกฎหมาย ซึ่งอาจหนักหน่วงถึงขึ้นถูกตัดสิทธิทางการเมืองหรือยุบพรรคก็เป็นได้

ทั้งนี้ แกนนำส.ส.สายฮาร์คอที่ก่อการกบฏขึ้นในพรรคเพื่อไทยที่ปรากฏตัวชัดแจ้งก็คือ “นายก่อแก้ว พิกุลทอง” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ

สำหรับเหตุที่ต้องใช้คำว่า “ก่อกบฏ” ก็เพราะถ้าหากพิจารณาจากท่าทีของ “ค้อนปลอมตราดูไบ” ก็เชื่อได้ว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นประมุขรัฐไทยใหม่ของพวกเขาหวาดหวั่นและคิดสะระตะแล้วไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะทำให้ “มรณกาล” ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรไปก่อนเวลาอันควร เพราะถ้า นช.ทักษิณไฟเขียวให้ “แตกหัก” จริง เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า นายสมศักดิ์ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นหนึ่งในสายตรงจากดูไบ ไม่เช่นนั้นคงไม่ไว้วางใจให้มาเป็นประธานรัฐสภาจะไม่มีท่าทีที่โลเล ชักเข้าชักออก เสมือนหนึ่งต้องการปิดสภาให้รู้แล้วรู้รอดเสียด้วยซ้ำไป

ที่สำคัญคือ ไม่ใช่แค่นายสมศักดิ์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ออกอาการลังเลใจ นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ก็ออกอาการที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก โดยมีความเห็นว่า “การลงมติในวาระ 3 นั้น กระทำได้ แต่ยังไม่ควรกระทำในตอนนี้ เพราะยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่เกี่ยวกับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงยังไม่มีการบรรจุวาระนี้เข้าไป เพราะเกรงว่าจะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายที่มีเจตนาทำให้การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภานำไปเป็นประเด็นการเมืองแล้วยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญอีก

แม้กระทั่งผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรีชื่อ “ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” ก็ยังฟันธงเอาไว้เช่นกันว่า “ประธานรัฐสภาคงจะไม่รวบรัดเดินหน้าลงมติร่าง รธน.ในวาระ 3” ซึ่งสัญญาณจากเป็ดเหลิมผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “นกรู้ทางการเมือง” น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการตัดสินใจของประมุขแห่งรัฐไทยใหม่ และสุดท้ายก็เป็นไปตามที่ผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรีพยากรณ์เอาไว้ล่วงหน้าจริงๆ

ทั้งนี้ เหตุผลที่ ร.ต.อ.ดร.เฉลิมให้เอาไว้เป็นสิ่งที่น่าฟังยิ่ง...

“อยู่ๆ เป็นรัฐบาลจะหาเรื่องเข้าตัวทำไม ไม่ใช่ผมอยากเป็นรองนายกฯ เขาอาจจะปรับผมออกก็ได้ แต่ผมไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย ผมนอนฝันว่า ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง ถ้าเกิดว่าลงมติวันนี้(12(มิ.ย.) ผมฟันธงเลยศาลต้องบอกว่าผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เกิดโหวตกันไปเสร็จ ประธานรัฐสภาต้องเสนอมายังนายกฯ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน แล้วเกิดศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนเสร็จ แล้วมีคำสั่งห้ามนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ปัญหาจะเกิด รัฐบาลจะอยู่อย่างไร ถ้าดันโหวตวาระสามไป รัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ จะมีปัญหาตามมาเยอะแยะ ทำไมไปหาเรื่องเข้าตัว ค่อยๆ ใจเย็นๆ บางครั้งการเมืองเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้ ต้องค่อยๆ คิดปรึกษาหารือกันว่า อะไรควร ไม่ควร”

“ผมติงมาตั้งแต่ต้นว่า ให้ท่านนายกฯ ทำงานสักระยะเถิดแล้วค่อยยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ และผมก็อธิบายมาตลอดว่า ถ้าแก้รัฐธรรมนูญเสร็จเร็ว ฝ่ายค้านจะกดดันให้ยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่ เราได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมา จริงอยู่เป็นนโยบายที่หาเสียงไว้ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญหรือ พ.ร.บ.ปรองดอง แต่อายุรัฐบาล 4 ปี ทำไมรอไม่ได้ วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังไม่ได้บอกว่าเราผิดหรือถูก แต่ขอไต่สวนก่อน เปิดทางบ้างซิ การเมืองเอาชนะกันทีเดียว 100% ไม่ได้ ต้องชนะกันแบบ 5 ต่อ 4 หรือ 3 ต่อ 2 ชนะ 10 ต่อ 1 มันเป็นไปไม่ได้ ทั่วโลกก็เป็นอย่างนี้”

แน่นอน คำสั่งที่ไม่ได้ดังใจดังกล่าวย่อมทำให้ ส.ส.เพื่อไทยที่สวมหมวกเป็นแกนนำคนเสื้อแดงด้วยไม่พอใจ เพราะพวกเขาปักใจเชื่อว่า นั่นคือสัญลักษณ์แห่งการสยบยอมต่ออำมาตย์อันเป็นศัตรูที่ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า ด้วยเหตุดังกล่าวจึงอย่าแปลกใจที่ถ้อยคำแห่งความไม่พอใจจะพุ่งตรงเข้าใส่ค้อนปลอมตราดูไบอย่างไม่ไว้หน้า

ที่สำคัญคือคำข่มขู่ดังกล่าวยังลามไปถึง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อีกด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่า พวกเขายังคงคับแค้นใจที่ นช.ทักษิณปรารถนาจะถีบหัวส่งคนเสื้อแดงภายหลังใกล้บรรลุข้อตกลงกับอำมาตย์จนแทบกระอักเลือดและไม่อาจลบภาพนั้นออกจากจิตใจได้

“ผมขอกราบเรียนไปยังนายสมศักดิ์ว่า ความกลัวทำให้เสื่อม และหากยอมทำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งชะลอจะถือว่าท่านได้สร้างประวัติศาสตร์ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติต้องไปสยบแทบเท้าฝ่ายตุลาการ ทั้งๆ ที่รัฐสภามาจากเสียงของประชาชนทั้งประเทศ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญมาจากเผด็จการทหาร และหากท่านประธานรัฐสภาไม่กล้าต่อสู้กับความถูกต้อง 4-5 ปีที่ผ่านมา ประชาชนล้มตายเพื่อที่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากท่านไม่ยอมให้มีการโหวต ผมคนหนึ่งก็จะไม่ยอมรับท่านอีกต่อไป ใครจะมากระชากเก้าอี้ กระชากแขน ปาแฟ้มใส่ ดุด่า ผมก็จะไม่ปกป้องท่านอีกต่อไป และไม่สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านอีกต่อไป เพราะถ้าสภาฯ ยอมในครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อๆ ไป และถ้าท่านมีอำนาจแล้วไม่ทำก็อยากมาเป็นประธานสภาฯ”

“...วันนี้คนเสื้อแดงไม่ได้รัก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่รักความถูกต้อง และถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไม่เคยไปทะเลาะกับใคร ทำงานอย่างน่ารัก ถูกดำเนินคดีในเรื่องรัฐธรรมนูญ ผมขอท้าให้ทำเลย คนที่ทำก็จะพังและคนที่อยู่เบื้องหลังก็จะพัง ผมจะได้เรียกพวกพ้องออกมา ซึ่งเชื่อว่าจะมากกว่าเดิมเพราะคนไทยรับไม่ได้กับความไม่ยุติธรรม ซึ่งจะเกิดความรุนแรงมากกว่าเดิมนายก่อแก้วประกาศท่าทีที่จะก่อกบฏออกมาอย่างชัดเจน

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ก่อนการประชุม ส.ส.พท. มีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ซึ่งประกอบไปด้วยระดับแกนนำสำคัญ อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายนพดล ปัทมะ เป็นต้น ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เห็นควรชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ออกไปก่อน แต่เพื่อรักษาน้ำใจมวลชน ในการประชุมร่วม รัฐสภาวันที่ 12 มิถุนายน ให้ขอมติรับรองการปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดการตอบโต้ระหว่างผู้บริหารพรรคกับ ส.ส. แกนนำกลุ่ม นปช. โดยผู้บริหารพรรคพยายามไกล่เกลี่ยว่าเพียงแค่การชะลอลงมติวาระ 3 เท่านั้น

ทั้งนี้ พ.อ.อภิวันท์ ในฐานะประธานที่ประชุม ส.ส.ได้แจ้งมติกรรมการยุทธศาสตร์ต่อที่ประชุม ส.ส.ปรากฏว่าส.ส.จำนวนมากลุกขึ้นอภิปรายสวนขึ้นมาทันที ส่งผลทำให้บรรยากาศการตอบโต้ระหว่างส.ส.และผู้บริหารพรรคเป็นไปอย่างเข้มข้นและตึงเครียด โดยกลุ่ม ส.ส.ที่เรียกร้องให้เร่งลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.แกนนำกลุ่มนปช. อาทิ นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ด้วยเหตุผลว่าฝ่ายนิติบัญญัติทำถูกต้อง ในขณะที่ผู้บริหารพรรคพยายามไกล่เกลี่ยชี้แจงว่าแค่ชะลอ การนัดลงมติวาระ 3 ให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาตัดสินใจ แต่นายก่อแก้ว ก็สวนขึ้นมาโดยท้าพนันว่าเลยว่านายสมศักดิ์จะไม่ตัดสินใจ ซึ่งส.ส.ต่างก็ปรบมือ

รายงานข่าวแจ้งว่า ส่วนการอภิปราย ส.ส.ยังตำหนิว่าหากพรรคยังไม่ทำอะไร มัวแต่ห่วงอำนาจ ไม่มีความกล้า ไม่ยอมต่อสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยหันหลังให้ประชาชน เลือกตั้งครั้งหน้าให้เลิกคิดที่จะไปหาเสียงว่าจะเอาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับไทย เลิกพูดเรื่องประชาธิปไตยได้เลย ประชาชนจะไม่สนับสนุนพรรคอีกแล้ว เพราะไม่มีครั้งไหนแล้วที่กระแสสังคมและนักวิชาการจะสนับสนุนมากเท่านี้

แต่อีกฝ่ายหนึ่ง อาทิ นางบุญรื่น ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รวมถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เห็นว่าควรชะลอการลงมติวาระ 3 ออกไปก่อนเพราะตราบใดที่ไม่มีการลงมติ ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้เพราะความผิดสำเร็จยังไม่เกิด อีกทั้งควรให้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีทางลงบ้าง และถ้าลงมติก็ไม่แน่ใจว่าจะผ่านหรือไม่เพราะอำมาตย์ก็คงไปล็อบบี้พรรคร่วมโดยเฉพาะ ส.ว.ที่เป็นพวกขี้ตกใจง่าย หรือถ้าลงมติแล้วผ่านก็อาจติดขัดขั้นตอนต่อไปบางประการ ซึ่งจะเท่ากับเป็นการผลักนายกรัฐมนตรีเข้าสู่หลักประหาร โดยระหว่างนี้มีระดับผู้ใหญ่ของ 2 ฝ่ายแอบเจรจากันในทางลับอยู่แล้วแต่เปิดเผยไม่ได้

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังร.ต.อ.เฉลิมพูด ส.ส.จำนวนมากลุกขึ้นอภิปรายโต้แย้ง อาทิ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ ที่ระบุว่าหากปล่อยให้การลงมติวาระ 3 ค้างไว้ในระหว่างปิดสมัยประชุมก็ตัวใครตัวมัน แล้วยังเอาพ.ร.บ.ปรองดองเข้ามาเสียบไม่ถูกเวลา ไม่หารือส.ส.ก่อนเลยพาลจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญพังไปด้วย หรือบางคนก็ระบุว่ามัวแต่ห่วงอำนาจนอกจากรักษาอำนาจไม่ได้แล้วจะพังกันไปหมด

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า สาเหตุที่ทำให้ นช.ทักษิณลังเลใจก็เพราะเกรงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับน้องสาวสุดที่รักของตนเอง เพราะถ้านช.ทักษิณดึงดันให้มีการลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3 และร่างฯ ดังกล่าวผ่านสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภาระและความรับผิดชอบทั้งหลายทั้งปวงจะถูกส่งผ่านต่อไปยังนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เหมือนดังเช่นที่ “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ประธานวิปฝ่ายค้านจากพรรคประชาธิปัตย์ให้ความเห็นเอาไว้ว่า “ถ้าผ่านสภาฯ นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ จึงเป็นไปได้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่กล้าที่จะนำรัฐธรรมนูญที่มีมลทินขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะเสมือนหนึ่งเป็นเผือกร้อนที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถโยนความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไปให้กับทางสภาฯ ได้”

ด้วยเหตุดังกล่าว ภาระทั้งหลายทั้งปวงจึงตกอยู่กับนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และเมื่อใดก็ตามที่นายสมศักดิ์แสดงท่าทีออกมาชัดเจน หรือนายอุดมเดชแสดงท่าทีออกมาชัดเจน สังคมก็จะทราบในฉับพลันทันทีว่าประมุขแห่งรัฐไทยใหม่มีโองการมาว่าอย่างไร ต้องการนำพาประเทศ นำพาสถานการณ์ทางการเมืองไปสู่จุดใด ซึ่งเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมาก็เป็นที่ชัดแจ้งในคำสั่งของ นช.ทักษิณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะไม่ได้มีการบรรจุการลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ขู่การพิจารณาของรัฐสภาแต่ประการใด

“การตัดสินใจของผมไม่เกี่ยวกับกลัว ไม่กลัว ยอม ไม่ยอม กล้าไม่กล้า แต่ตัดสินใจบนพื้นฐานผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก จะไม่ให้คนไทยเสียเลือดเสียเนื้ออีกแม้แต่คนเดียว จะไม่ให้คนไทยฆ่ากันเองอีก ผมยอมถอยหนึ่งก้าวแล้ว ก็อยากเชิญชวนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องถอยคนละก้าวบ้าง แล้วหันหน้ามาพูดคุยทำความเข้าใจกันเพื่อหาข้อยุติและความปรองดองของบ้านเมือง ไม่มีใครได้เต็ม 100%”นั่นคือเหตุผลที่ค้อนปลอมตราดูไบให้เอาไว้ ซึ่งไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า เนื้อหาใจความที่สื่อสารออกมาช่างตรงกับสิ่งที่ ร.ต.อ.ดร.เฉลิมให้ความเห็นเอาไว้ราวกับมีคนเขียนบทให้อ่านกันเลยทีเดียว

ความคั่งแค้นทั้งหลายทั้งปวงจึงตกไปอยู่กับคนเสื้อแดงอย่างนายก่อแก้ว พิกุลทอง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อและนายจตุพร พรหมพันธุ์อีกครั้ง เพราะนอกจากจะไม่ได้ดั่งใจแล้ว ยังต้องไปโฆษณาชวนเชื่อมวลชนคนเสื้อแดงให้เข้าใจด้วยว่า ทำไมประมุขแห่งรัฐไทยใหม่ถึงสยบยอมต่ออำนาจของอำมาตย์ ผู้เป็นศัตรูของพวกเขาเช่นนี้

แต่ก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ปฏิกิริยาจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก เพราะในอีกไม่ช้าไม่นานแกนนำแดงเหล่านี้ก็จะพากัน “ขึ้นวอ” ซึ่งเป็นรางวัลปิดปากจากนายใหญ่กันอย่างถ้วนหน้า ส่วนมวลชนคนเสื้อแดงก็คงได้แต่ “ตั้งหน้าตั้งตากินหญ้า” และทำใจให้เขาหลอกต่อไป เพราะชีวิตของพวกเขาเกิดมาเพื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองจนกว่าชีวิตจะหาไม่...

กำลังโหลดความคิดเห็น