ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ในขณะที่ปัญหาลิขสิทธิ์ การถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2012 ยังวุ่น จนยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่า ประชาชนทั่วไปจะได้ดูการถ่ายทอดสด ทางฟรีทีวี หรือไม่
ฟุตบอลอาชีพของไทย หรือไทยพรีเมียร์ลีก ก็มีเรื่องวุ่นเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ และรายได้ทางธุรกิจเหมือนกัน
เมื่อนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นเด็กในคาถาของเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร
ให้ตรวจสอบการดำเนินการของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มีพฤติการณ์น่าสงสัย กรณีสมาคมฟุตบอลฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตาม พ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย และทางสมาคมฯ เป็นสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) และสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (เอเอฟซี) จึง มีสิทธิ์ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย
ทำให้สมาคมฟุตบอลฯ มีรายได้นอกเหนือจากเงินบริจาค ในรูปแบบค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด และค่าสิทธิ์ประโยชน์ จากการบริหาร จัดแบ่งรายได้ให้กับทีมสโมสร ดังนั้นสมาคมฟุตบอลฯ จะต้องยื่นแบบเสียภาษี ภงด. 55 ต่อกรมสรรพกร ด้วย
แต่ที่ผ่านมา สมาคมฯไม่เคยเสียภาษีเลย
ทั้งนี้ สมาคมฟุตบอลฯ ใช้วิธีซิกแซก โดยแยกการบริหารการจัดการ เรื่องสิทธิ์ประโยชน์ โดยตั้งบริษัทเอกชน ชื่อ บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ขึ้นมา ให้บุคคลภายนอกถือหุ้น และมีการโอนอำนาจการบริหารทั้งหมดให้กับ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) โดยไม่เปิดโอกาสให้เอกชนรายอื่นเข้ามาแข่งขัน
เป็นการใช้หลักกู ตามแบบของนายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยด้วย จึงขอให้ กมธ.เรียก กรมสรรพกร และ กกท. มาตรวจสอบข้อเท็จจริง ในเรื่องเหล่านี้
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว บริษัทสยามสปอร์ตฯ แจ้งว่า มีรายได้ 200 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่าย กว่า190 ล้านบาท จึงมีเงินเหลือเพียง 8 ล้านบาท แบ่งให้สมาคมฯ 4 ล้านบาท บริษัทฯได้ 4 ล้านบาท
หากจะทำให้เรื่องนี้โปร่งใส สมาคมฟุตบอล ฯ ต้องอธิบายให้ชัดว่า สิทธิ์ประโยชน์ในการถ่ายทอดสด และค่าสปอนเซอร์ต่างๆ มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง แจกแจงให้ละเอียด
และที่คนเขาสงสัยกันมากก็คือ สัญญาระหว่าง บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย มีจริงหรือไม่