วานนี้ ( 7 มิ.ย.) นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคภูมิใจไทย ในฐานะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ได้ยื่นญัตติต่อ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ ให้ตรวจสอบการดำเนินการของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มีพฤติการณ์น่าสงสัย
กรณีสมาคมฟุตบอลฯภายใต้การควบคุมของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตามพ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งทางสมาคมเป็นสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา และสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (เอเอฟซี) จึงมีสิทธิ์ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย ซึ่งสมาคมฟุตบอลฯ ถือว่ามีรายได้นอกเหนือจากเงินบริจาคในรูปแบบค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด และ ค่าสิทธิ์ประโยชน์ จากการบริหารจัดแบ่งรายได้ให้กับทีมสโมสร ดังนั้นจะต้องยื่นแบบเสียภาษี ภงด. 55 ต่อกรมสรรพกร
นายศุภชัย กล่าวว่า แต่สมาคมฟุตบอลได้แยกการบริหารการจัดการเรื่องสิทธิ์ประโยชน์ โดยตั้งบริษัทเอกชน ชื่อ บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ซึ่งมีบุคคลภายนอกถือหุ้น แต่มีข้อสงสัยว่า ไปใช้อำนาจอะไรในการจดทะเบียน เป็นการใช้อำนาจโดยพลการ และมีการโอนอำนาจการบริหารทั้งหมดให้กับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) แต่ไม่เปิดโอกาสให้เอกชนรายอื่นเข้ามาแข่งขัน อาจขัดต่อหลักธรรมภิบาลเป็นการใช้หลักกู ตามแบบของ นายวรวีร์ มะกูดี ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยด้วย
ดังนั้น ข้อให้ กมธ.ป.ช.ป. เรียก กรมสรรพกร และ กกท. มาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะตั้งแต่ นายวรวีร์ มาเป็นนายกสมาคมฯ ไม่เคยเสียภาษีเลย ซึ่งกกท. จะมีการดำเนินการอย่างไร และทราบว่า พล.ต.ท.วิโรจน์ ได้บรรจุเข้าสู่วาระแล้ว และคาดว่าสัปดาห์หน้า จะเรียกตัวแทนของ 2 หน่วยงานดังกล่าว มาตรวจสอบข้อเท็จจริง
" วันนี้ทางสมาคมฯ ต้องอธิบายความให้ได้ว่า สิทธิ์ประโยชน์ในการถ่ายทอดสด และค่าสปอนเซอร์ มีรายละเอียดอย่างไร เพราะปีที่แล้ว บริษัทสยามสปอร์ตฯ ได้บอกว่ามีรายได้ 200 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่าย 190 ล้านบาท และ เหลือ 8 ล้านบาท โดยแบ่งให้สมาคมฯ 4 ล้านบาท และบริษัทฯได้ 4 ล้านบาท ผมอยากทราบ เป็นความจริงหรือไม่ เพราะวันนี้ยังไม่ได้ยินเสียงจาก กกท.เลย และขอให้ กมธ.ป.ป.ช. ตรวจสอบสัญญาระหว่างของบริษัทสยามสปอร์ต ฯ กับสมาคมฯ มีจริงหรือไม่" นายศุภชัย กล่าว
กรณีสมาคมฟุตบอลฯภายใต้การควบคุมของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตามพ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งทางสมาคมเป็นสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา และสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (เอเอฟซี) จึงมีสิทธิ์ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย ซึ่งสมาคมฟุตบอลฯ ถือว่ามีรายได้นอกเหนือจากเงินบริจาคในรูปแบบค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด และ ค่าสิทธิ์ประโยชน์ จากการบริหารจัดแบ่งรายได้ให้กับทีมสโมสร ดังนั้นจะต้องยื่นแบบเสียภาษี ภงด. 55 ต่อกรมสรรพกร
นายศุภชัย กล่าวว่า แต่สมาคมฟุตบอลได้แยกการบริหารการจัดการเรื่องสิทธิ์ประโยชน์ โดยตั้งบริษัทเอกชน ชื่อ บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ซึ่งมีบุคคลภายนอกถือหุ้น แต่มีข้อสงสัยว่า ไปใช้อำนาจอะไรในการจดทะเบียน เป็นการใช้อำนาจโดยพลการ และมีการโอนอำนาจการบริหารทั้งหมดให้กับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) แต่ไม่เปิดโอกาสให้เอกชนรายอื่นเข้ามาแข่งขัน อาจขัดต่อหลักธรรมภิบาลเป็นการใช้หลักกู ตามแบบของ นายวรวีร์ มะกูดี ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยด้วย
ดังนั้น ข้อให้ กมธ.ป.ช.ป. เรียก กรมสรรพกร และ กกท. มาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะตั้งแต่ นายวรวีร์ มาเป็นนายกสมาคมฯ ไม่เคยเสียภาษีเลย ซึ่งกกท. จะมีการดำเนินการอย่างไร และทราบว่า พล.ต.ท.วิโรจน์ ได้บรรจุเข้าสู่วาระแล้ว และคาดว่าสัปดาห์หน้า จะเรียกตัวแทนของ 2 หน่วยงานดังกล่าว มาตรวจสอบข้อเท็จจริง
" วันนี้ทางสมาคมฯ ต้องอธิบายความให้ได้ว่า สิทธิ์ประโยชน์ในการถ่ายทอดสด และค่าสปอนเซอร์ มีรายละเอียดอย่างไร เพราะปีที่แล้ว บริษัทสยามสปอร์ตฯ ได้บอกว่ามีรายได้ 200 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่าย 190 ล้านบาท และ เหลือ 8 ล้านบาท โดยแบ่งให้สมาคมฯ 4 ล้านบาท และบริษัทฯได้ 4 ล้านบาท ผมอยากทราบ เป็นความจริงหรือไม่ เพราะวันนี้ยังไม่ได้ยินเสียงจาก กกท.เลย และขอให้ กมธ.ป.ป.ช. ตรวจสอบสัญญาระหว่างของบริษัทสยามสปอร์ต ฯ กับสมาคมฯ มีจริงหรือไม่" นายศุภชัย กล่าว
