ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-"สังคมไทยต้องยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง และ พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำสั่งต่างๆ หลังรัฐประหาร จึงต้องหาวิธีการเอา พ.ต.ท.ทักษิณออกจากความขัดแย้ง ต้องคืนความเป็นธรรมให้ ดังนั้นกฎหมายนี้ยกเลิกคำสั่งของ คตส. แต่ยังไม่ยกเลิกความผิดที่คนยังสงสัย พ.ต.ท.ทักษิณก็นำเรื่องต่างๆไปฟ้องกระบวนการยุติธรรมปกติได้ และกฎหมายปรองดองเป็นเรื่องกฎหมายอาญา ไม่เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นเรื่องกฎหมายแพ่ง ส่วนกรณีที่มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองในช่วงนี้ เราประเมินแล้วว่าเป็นสถานการณ์ที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งในประเทศจะยังมีอยู่ เรารู้ว่าคนที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งจะออกมาต่อต้าน ก็ต้องสู้กัน อธิบายเหตุผลให้ประชาชนได้เข้าใจ ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกซ้ายเลือกขวาเท่านั้น"
นี่คือคำพูดของนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาเปิดหน้าชกแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ประหนึ่งว่า
ออกมาท้าทายสังคมถ้าคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองอันมีเนื้อหาสาระเอื้อประโยชน์ให้แก่ ผู้เป็นนายของเขาคือ นช.ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องสู้กัน
ทั้งนี้ คงต้องบอกว่าเป็นวันที่รอคอยของนช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำตัวจริงเสียงจริง แห่งรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะนั่นคือการปลดล็อกให้แก่ นช.ทักษิณ ที่จะไม่ให้ได้รับโทษที่ได้ถูกศาลตัดสินไปแล้ว และได้รับเงิน 46,000 ล้านบาทคืน
อย่างไรก็ดี สำหรับกลุ่มหัวหอกที่กำลังพาประเทศชาติไปสู่ความแตกแยก และดิ่งลงเหวไปมากกว่านี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจาก บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่คอยเป็นมือไม้ให้แก่ นช.ทักษิณ ตลอดมา และดูเหมือนว่าจะเป็นการจัดหนักจัดเต็มให้กับ นายใหญ่แห่งดูไบชนิดหนักหน่วงเลยทีเดียว
สัญญาณอันตรายที่บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทย สุมไฟให้ประเทศไทยเริ่มตั้งแต่ทางพรรคเพื่อไทย ถึงกับประกาศเรียกประชุม ส.ส.ของพรรคเป็นการใหญ่ เพื่อกำชับ ส.ส.เพื่อไทย ทั้งคอกให้มาประชุมสภาผู้แทนฯ โดยพร้อมเพรียง
ทั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ขาดคำทันที ขบวนการลิ่วล้อ นช.ทักษิณ ก็ได้เปิดเกมรุกแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะถึงที่สุดแล้ว ก็ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เข้าสู่สภาฯ ถึง4 ฉบับ คือ คือร่างของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิและคณะส.ส. 34 คนที่ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา ร่างของส.ส.พรรคเพื่อไทย ประมาณ 50 กว่าคน ที่นำโดยสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือร่างของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
อีกทั้งยังมี ร่างของ ส.ส.เพื่อไทยที่ส่วนใหญ่เป็นส.ส.เสื้อแดง เช่น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ -ก่อแก้ว พิกุลทอง-วรชัย เหมะ อันมีเนื้อหาแตกต่างจากร่างของพล.อ.สนธิและร่างของส.ส.เพื่อไทยกลุ่มสามารถ แก้วมีชัย คือ การนิรโทษกรรมที่จะไม่รวมบุคคลที่ต้องคดีก่อการร้าย และคดีความผิดต่อชีวิตที่เกิดขึ้นในการชุมนุมทางการเมือง ระหว่างวันที่ 15 ก.ย. 48 ถึง 10 พ.ค.53และร่างสุดท้ายคือร่างของนายนิยม วรปัญญา ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อไทย เรียกว่าเรียบร้อยสมใจโรงเรียนชินวัตรเลยทีเดียว
ยิ่งเมื่อตรวจสอบไปในเนื้อหาของแต่ละร่างแล้ว จะพบว่าหลักการสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้ง 4 ฉบับล้วนร่างออกมาจากบล็อกเดียวกันหมด เช่น ให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินคดีตามคำสั่งของคมช.และผลสืบเนื่องจากการดำเนินการตามอำนาจของคมช. ได้คืนความเป็นธรรม โดยไม่ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดอีกต่อไป,ให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรคและถูกตัดสิทธิการเมืองห้าปีให้ได้รับสิทธิการเมืองคืนและให้คดีที่คมช.มอบอำนาจให้ คตส. ดำเนินการและได้มีคำพิพากษาตัดสินแล้ว ต้องกลับไปเริ่มต้นพิจารณาคดีกันใหม่อีกครั้ง ตามกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า แม้หลักการของร่างกฎหมายปรองดองจะเอื้อประโยชน์ให้กับคนหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการระดับสูงที่โดนสอบสวนเรื่องคดีทุจริตในชั้น ป.ป.ช.-อัยการ แต่คนที่ได้มากที่สุดและเร็วสุดก็คือ นช. ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง แล้วจะมาบอกว่าประชาชน ประเทศชาติ จะได้ประโยชน์กับการลุกลี้ลุกลน ผลักดันกฎหมายฉบับนี้ได้อย่างไร ก็บรรดาขี้คอก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ขยันผิดหูผิดตาดันร่างพ.ร.บ. 4ฉบับก็เป็นคนของพรรคเพื่อไทยแทบจะทั้งสิ้น
แถมที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ยังได้เสนอหน้าเอาใจนายใหญ่โดย แถลงข่าวว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบเลื่อนการเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติทั้ง 4 ฉบับขึ้นมาพิจารณาเร็วขึ้น จากนั้นหลังเสร็จสิ้นกระบวนการในวาระที่ 1 ก็จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาสาระสำคัญ หากเห็นว่าไม่สมบูรณ์จะเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งในช่วงที่มีการพิจารณาร่างฉบับดังกล่าวอาจมีกลุ่มที่ไม่พอใจ แต่หากเสร็จสิ้นแล้วเชื่อว่าจะสร้างความสงบสุขได้ และพรรคร่วมรัฐบาลยืนยันสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองด้วยความรับผิดชอบ แต่ผู้ที่ชุมนุมคัดค้านก็ต้องชุมนุมอย่างรับผิดชอบเช่นกัน พร้อมกันนี้วิปรัฐบาลยืนยันสนับสนุนร่างปรองดองของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เสนอมาในนามกรรมาธิการปรองดองสภา
นี่คือการออกอาการลุกลี้ลุกลน ของนายอุดมเดช ที่เอาใจนายเสียยกใหญ่โดยไม่สนหัวประชาชนคนไทย เลยแม้แต่น้อย
ไม่เว้นแม้แต่ หัวหอกคนสำคัญในสภาอย่าง สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ก็ได้ออกมาพูดรวบรัดเบ็ดเสร็จถึง พ.ร.บ.เพื่อนายใหญ่ทันควันว่า เมื่อเป็นกฎหมายที่จะสร้างความปรองดอง เป็นผลดีต่อประเทศ ทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจกับนานาประเทศไทย ก็ควรต้องสนับสนุน
เรียกว่าไม่ได้ ทำให้ประชาชนใจชื่นได้เลยว่า มันจะสร้างความเจริญก้าว หน้าให้กับประเทศตรงไหนอย่างไรด้วยซ้ำ เพราะระดับประธานสภาผู้แทนยังได้เลือกข้างชนิดเอียงกะเท่เร่ชนิดไม่อายฟ้าดิน และที่สำคัญก็คือ ไม่ได้ต่างจากการสุมไฟให้ประเทศไทยได้เข้าสู่วงจรของความรุนแรงไปเป็นที่เรียบร้อย
ถามว่า นช.ทักษิณและบรรดาลิ่วล้อพรรคเพื่อไทยรู้ดีหรือไม่ว่า กำลังฉุดประเทศไทยให้ดิ่งลงเหวอยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะหากยิ่งตรวจสอบเส้นทางการปลดล็อกให้ นช.ทักษิณ ก็ต้องบอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีความพยายามอย่างยิ่งยวดตั้งแต่แรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่มาและเป้าประสงค์อันสูงสุด ก็มาจากปากของ "เป็ดเหลิม" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ประกาศปาวๆว่าจะนำ นช.ทักษิณกลับไทยให้จงได้ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง และเขาก็ยังได้แย้มว่านั่นก็คือการออก พ.ร.บ.ปรองดอง
หรือหากย้อนกลับไป แม้พรรคเพื่อไทยประกาศให้ "คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ" หรือ คอป.สานต่องานเรื่องค้นหาความจริง และสานภารกิจปรองดองให้ลุล่วงแต่ในทางลับ ก็ส่ง นายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เดินเกมใต้ดิน ซุ่มทำร่างพิมพ์เขียวแผนปรองดอง
ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องเร่งรีบบรรจุ พ.ร.บ.ปรองดองและผลักดันให้ผ่านสภาฯ ครั้งนี้ ก็ต้องบอกว่า เป็นเพราะคนอย่าง นช.ทักษิณ ไม่มีวันที่จะยอมติดคุกและไม่ยอมที่จะสูญเสียทรัพย์สมบัติที่ได้มาโดยมิชอบ ดังนั้น วิธีการเดียวที่จะกลับมาได้คือปลดล็อกตัวเองด้วยวิธีการทางกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมา นช.ทักษิณสั่งและใช้คนหลายคนเพื่อทำให้ตัวเองถึงเป้าหมายคือ กลับมาประเทศไทยอย่างเท่ๆ เริ่มต้นตั้งแต่ตั้งท่าจะแก้รัฐธรรมนูญ แต่ท้ายที่สุดแล้วการแก้รัฐธรรมนูญอาจจะดูเหมือนว่าต้องใช้เวลานานไม่ทันใจ จึงเปลี่ยนแผนมาใช้วิธีเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติแทน
ด้วยเหตุดังกล่าว หวยจึงมาออกที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเมื่อโยนเรื่องให้สถาบันพระปกเกล้า ศึกษาดูว่าปัจจัยที่ทำให้การปรองดองสำเร็จคืออะไร ซึ่งสิ่งที่สถาบันพระปกเกล้าได้เสนอมาก็เป็นไปในแนวทางที่มุ่งช่วยเหลือ นช.ทักษิณ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นเพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ถึงกับถูกสังคมตั้งข้อสงสัยในความไม่มีศักดิ์ศรีของสถาบันการศึกษาอย่างสถาบันพระปกเกล้ามาก่อนหน้านี้แล้ว
ที่สำคัญคือพรรคเพื่อไทยลุแก่อำนาจด้วยมั่นใจในพลังอำนาจของคนเสื้อแดงด้วยการประกาศว่า “ถ้าคัดค้านปรองดองก็ต้องสู้กัน”
มาถึงตรงนี้แล้ว หากเกิดความรุนแรงขึ้น รัฐบาลที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะลอยตัวปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเป็นคนจงใจสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง ขณะที่บรรดาส.ส.เพื่อไทยก็คงมีความคิดไม่ไกลไปกว่าการเกิดมาเชลียร์นช.ทักษิณ เพียงเท่านั้นจริงๆ
แน่นอนคงไม่ต้องถามว่า คนอำมหิตอย่าง นช.ทักษิณ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยรู้ดีหรือไม่ว่าสถานการณ์จะบานปลายไปสู่จุดใดนับจากนี้