xs
xsm
sm
md
lg

“แม้ว” ดันทุรังปรองดองยิ่งป่วน เสื้อแดงเริ่มก่อหวอดต้าน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ผ่านขั้นตอนสำคัญและขยับใกล้ความจริงเข้าไปอีกขั้นแล้ว สำหรับเป้าหมายปลายทางคือการนิรโทษกรรมให้ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดิน เพื่อจะได้เดินทางกลับประเทศไทย “อย่างเท่” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

หากพิจารณากันตามความเป็นจริง ตามอำนาจรัฐที่กุมเอาไว้ในมือทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายสภา ข้าราชการ และยิ่งบอกว่า “ผมกำลังเคลียร์กับผู้พิพากษา” ซึ่งจริงไม่จริงไม่รู้ รู้แต่ว่าคนที่พูดแบบนี้ “กลางตลาด” รับรองว่าต้องใหญ่จริง และในเมื่อมีทุกอย่างดังกล่าวในความเป็นจริงก็ไม่จำเป็นต้อง “จ้าง”ให้ทำงานวิจัยมารองรับให้เสียเวลาก็ได้ แต่ก็นั่นแหละนี่เป็น “พิธีกรรม” หลอกต้มให้สมเหตุสมผล เหมือนกับ “เผด็จการัฐสภา” แล้วบอกว่านี่คือประชาธิปไตยเสียงข้างมากที่สากลใช้กัน

ทุกอย่างกำลังออกแบบและปฏิบัติกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตามช่วงจังหวะ อาจมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างเท่านั้นเอง

เริ่มตั้งแต่การตั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เคยเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารขับไล่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร แต่เพื่อให้สมจริงสมจังก็ต้องมีงานวิจัยขึ้นมาอ้างอิง เพื่อดูให้เป็นวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแอบอิงสถาบันพระปกเกล้าเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

เมื่อมีเสียงทักท้วงทั้งคนทำวิจัยว่า “มั่ว” รับงานจากทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงกับเสนอให้ล้มเลิกคดีและผลทางกฎหมายที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ทั้งอดีตและปัจจุบัน ความหมายก็คือ “ไม่ให้เอาความ” คดีไหนที่พิจารณาเสร็จแล้วและศาลตัดสินความผิดไปแล้ว ก็ให้แล้วๆกันไป หยวนกันไป อ้างว่าเพื่อสร้างความปรองดองให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้

ระหว่างการพิจารณาภายในคณะกรรมาธิการฯด้วยกันเอง ก็มีเสียงท้วงติง ขัดแย้งกันให้วุ่น จนกระทั่งในซีกฝ่ายค้านอย่าง ประชาธิปัตย์จำนวน 9 คนได้ยกขบวนลาออก ให้เหตุผลว่ารวบรัดงุบงิบพวกมากลากไป เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับ ทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรไหนๆก็ไหนๆ เมื่อลงทุนกันมาเยอะแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อ อะไรก็ฉุดไม่อยู่

แม้จะสมเพชเวทนา พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่สับสนในตัวเองมาตั้งแต่ต้นว่าเป็นเผด็จการจากการรัฐประหาร แต่ทำตัวเป็นนักประชาธิปไตย ลงสมัคร ส.ส.ตัวเองได้มาเสียงเดียว จากนั้นก็ถูกเชิดให้เป็นประธานปรองดอง พอถูกซักถามก็อ้ำๆอึ้งตอบสามวาสองศอก ออกช้างออกม้า ไม่เคยได้รับความจริง ซึ่งก็วกวนแบบนี้มาตั้งแต่เป็นประธานคมช.จนปั่นป่วนวุ่นวาย

สรุปก็คือแม้ว่าภายในคณะกรรมาธิการด้วยกันเองยงวุ่นวาย ไม่มีความปรองดอง แล้วอย่างนี้จะเป็นการสร้างความปรองดองสามัคคีของคนในชาติได้อย่างไร

ในทางตรงกันข้ามนี่เป็นการสะท้อนให้เห็นแล้วว่า ทุกอย่างมันฝืนธรรมชาติ เป็นการจัดฉาก ไม่ต่างจาก “ปาหี่” ที่หลอกต้มชาวบ้าน ซึ่งนาทีนี้คนก็จับได้ไล่ทัน ไม่มีทางที่จะได้รับการยอมรับ เพราะยิ่งเร่งเวลามากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มความโกรธ ไม่ต่างจากการ “เรียกแขก” เพิ่มความเกลียดชังมากขึ้น เพราะรู้กันอยู่ว่าเป้าหมายปลายทางเพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว ขณะที่เมื่อหันมามองผลงานของรัฐบาลที่ตนเองเป็นเจ้าของกลับสร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ที่ผ่านมา 7-8 เดือนก็ถูกจับได้อีกว่าไม่ได้ตั้งใจทำงานเพื่อชาวบ้านทั่วไป มีเพียงแค่เจตนาช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ให้กับคนเพียงคนเดียว ซึ่งก็คือ ทักษิณ อีกนั่นแหละ

ในทางตรงกันข้ามกลับยังเหิมเกริมคิดเอาแต่ได้ กินรวบเอาเปรียบทุกอย่าง ไอ้นั่นก็จะเอา ไอ้นี่ก็จะเอา ไม่เห็นหัวคนอื่น หากเป็นแบบนี้รับรองว่าชาวบ้านเขาก็มี “ขีดจำกัด” เหมือนกัน

เวลานี้หลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรมได้รับไฟเขียวจากรัฐสภาโดยใช้เสียงข้างมากลากไปให้นำผลการวิจัยปรองดองกำมะลอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญเพราะจะใช้เป็นใบเบิกทางอ้างอิงเพื่อออกกฎหมาย ซึ่งกำลังรอดูจังหวะอยู่ว่าจะออกเป็นพระราชกำหนดหรือว่าเป็นพระราชบัญญัติดี ถ้าเป็นอย่างแรกก็ถือว่ารวดเร็วทันใจ ซึ่งมีความเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการประกาศให้เป็น “เรื่องด่วน” ที่เกี่ยวข้องกับ “ความมั่นคงของชาติ” นำร่องเป็นหัวเชื้อไว้แล้ว

อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศในยามนี้เชื่อว่ายังคงไม่กล้านำเสนอในรูปแบบพระราชกำหนดเข้าสภาแบบรวบรัด แต่น่าจะเสนอเข้ามาในรูปของพระราชบัญญัติ ตามที่ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เคยแย้มออกมาก่อนหน้านี้ว่าได้ร่างเอาไว้เสร็จแล้วมีจำนวนแค่ 6-7 มาตราเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ยังระบุเอาไว้ว่าจะเสนอเข้าสภาใน “สมัยประชุมหน้า”นั่นก็หมายความว่าภายในสมัยนี้ซึ่งเป็นสมัยประชุมนิติบัญญัติจะต้องให้ปล่อยผ่านไปก่อน แต่ถึงอย่างเมื่อลองนับนิ้วตามตารางเวลาแล้วก็ถือว่าไม่นานนัก เพราะกำลังจะสิ้นสุดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ดังนั้นถ้าพิจารณาจากบรรยากาศโดยรวมในยามนี้ถือว่ายังไม่ได้จังหวะ แม้ว่าจะมีเสียงสนับสนุนมากพอ แต่ใช่ว่าจะมีความชอบธรรมที่สามารถลากไปทางไหนก็ได้แบบส่งเดช เพราะต้องไม่ลืมว่าในเวลาเดียวกันหนทางที่เดินไปข้างหน้ามันก็เริ่มลำบาก ทั้งเรื่องผลงานของรัฐบาลที่ไม่เอาไหน ชาวบ้านเริ่มเห็นธาตุแท้การเอาเปรียบเห็นแก่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่พวกเสื้อแดงด้วยกันเองก็เริ่มกระอักกระอ่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวานนี้( 28 มีนาคม)ข่าวตัวแทนของญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์จลาจลเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มาคัดค้านการออกพระราชบัญญัตินิรโทษฯ โดยอ้างว่าความจริงยังไม่ปรากฏว่าใครถูกใครผิด และเห็นว่าคนที่ได้ประโยชน์ก็คือ นักการเมืองกับกองทัพ ซึ่งก็ถือว่าเป็นหลักการที่ถูกต้อง

กรณีหลังสุดนี่แหละก็ยิ่งเพิ่มปัญหาและอุปสรรคให้ ทักษิณ อย่างไม่ถึงก็เป็นได้ เพราะถึงเวลาเอาเข้าจริงฝ่ายที่ออกมาร่วมคัดค้านการนิรโทษฯอาจเป็นคนเสื้อแดงก็เป็นได้ เพราะเขาถูกปลุกระดมให้ก็เชื่อว่า ทหารและนักการเมืองบางคนเป็นคนทำผิด ทั้งที่ในความเป็นจริงคนพวกนี้เขากำลังเข้าสู่โหมดปรองดองจูบปากกันแล้ว เหมือนกับร่างกฎหมายที่ ร.ต.อ.เฉลิม เตรียมเอาไว้แล้วว่าจะให้ลบล้างความผิดทั้งหมด แม้จะต้องการให้ ทักษิณ พ้นผิด แต่คนที่เจ็บปวดกลับกลายเป็นคนเสื้อแดงที่เจ็บตาย และดำเนินคดี ถูกจับขังคุกนั่นแหละ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น