หน.คณะวิจัย พระปกเกล้า ย้ำ กมธ.เสียงส่วนใหญ่หนุนออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และให้เพิกถอนทางคดีของ คตส.ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาและตัดสินไปแล้ว ด้าน เสธ.หนั่นหวั่นความขัดแย้งรุนแรงแน่ หากใช้เสียงนักการเมืองข้างมากลากไป โดยไม่คำนึงถึง ปชช.ขณะที่ “นิพิฏฐ์” เชื่อ จะมีกระบวนการเร่งนิรโทษฯให้ทันก่อนปิดสมัยประชุมสภา 18 เม.ย.เพื่อช่วยเหลือทางคดี ส.ส.แดง
คลิกที่นี่ เพื่อฟังคลิปเสียง "พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์"
วันนี้ (21 มี.ค.) ที่ประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ แถลงผลสรุปร่วมคณะวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน ได้เชิญตัวแทนหัวหน้าพรรคการเมือง ส.ส.และ ส.ว.มาร่วมรับฟัง ทั้งนี้ เพื่อเปิดเวทีให้คณะผู้วิจัยของสถาบันพระปกเกล้า นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัย ชี้แจงเหตุผลและหลักการทำผลวิจัยและเปิดรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายเกี่ยวกับรายงานดังกล่าว สำหรับผลสรุปแนวทางการสร้างความปรองดองนี้ คณะกรรมาธิการทั้งหมด 38 คน ส่วนใหญ่ 23 คน เห็นด้วยที่จะให้ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม คดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองทั้งหมด รวมถึงคดีการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินปี 2548 และคดีอาญาที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง แต่ให้ยกเว้นกรณีความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัติรย์ที่เห็นว่า ควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ
ส่วนกรณีดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหา จากกระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส.คณะกรรมาธิการส่วนใหญ่ 22 คน เห็นว่า มีมติเห็นชอบให้เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดย คตส.ทั้งหมด และไม่นำคดีที่อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบ และตัดสินไปแล้วมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง รวมทั้งจะต้องไม่ฟ้องร้อง คตส.เนื่องจากการกระทำของ คตส.ในขณะนั้น เป็นไปตามหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปดังกล่าวนี้ ถือยังไม่ใช่ข้อยุติ เนื่องจากคณะกรรมาธิการบางส่วนไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปดังกล่าว ดังนั้น จึงจะรอฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่เชิญมาในวันนี้ และนำไปพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมาธิการอีกครั้ง ก่อนจะลงมติครั้งสุดท้ายในสัปดาห์หน้า
ด้าน พลเอก สนธิ กล่าวเปิดการเสวนารายงานวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติของสถาบันพระปกเกล้า โดยระบุว่า สภาผู้แทนราษฎรได้มอบหมายให้ตนดำเนินการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ โดยมีผู้แทนจากพรรคการเมือง หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมไปถึงสถาบันพระปกเกล้า ที่ทางคณะกรรมาธิการได้มอบหมายให้ทำการวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ โดยคณะกรรมาธิการและสถาบันพระปกเกล้ามีความเห็นตรงกันว่า การให้อภัย ยึดหลักเมตตาธรรม จะนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ แต่จะต้องปฏิบัติอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงแค่วาทะกรรมทางการเมือง พร้อมกันนี้ ยืนยันว่า ภารกิจสร้างความปรองดองในครั้งนี้เป็นภารกิจที่สำคัญ ไม่ได้เลือกกระทำการเพื่อใครเพียงคนใดคนหนึ่ง แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติของส่วนรวม ขณะเดียวกัน เชื่อว่า การทำหน้าที่อย่างสุจริตจะเป็นเกราะคุ้มกันภัยให้กับบุคคลเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม พลเอก สนธิ ได้ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนร่วมในการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองในครั้งนี้ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
ด้าน พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีทั้งก่อนและหลังการรัฐประหาร ซึ่งการจะปรองดองได้ต้องมีการพูดวามจริงถึงเหตุผลการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ.2549 ให้ชัดเจน เพราะจะไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน โดยพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน ควรพูดให้ชัดเจนว่ามีอำมาตย์ หรือบุคคลที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญเป็นผู้รู้เห็นในการทำรัฐประหารด้วยหรือไม่ ซึ่งหากไม่สามารถบอกถึงเหตุผลได้ ความปรองดองก็จะไม่เกิดขึ้น อีกทั้งการปรองดองจะใช้เสียงข้างมากของนักการเมือง คณะกรรมการ คอป.และสถาบันพระปกเกล้าไม่ได้ ควรต้องรับฟังความเห็นจากประชาชน รวมถึงให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเพราะการปรองดองที่จะเกิดขึ้นในขณะนี้ คนไทยจะต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ พลตรี สนั่น ได้ฝากถึงรัฐบาลกรณีการเร่งรัดนิรโทษกรรม โดยมองว่า หากมีการนิรโทษกรรมจริงก็จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และเกรงว่าจะมีการปะทะกันของหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย
ขณะที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางสร้างปรองดองแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะทำหนังสือคัดค้านแนวทางสร้างความปรองดองของกรรมาธิการปรองดอง ว่า กรรมาธิการเสียงข้างน้อยพรรคประชาธิปัตย์ จะทำหนังสือคัดค้านแนวทางสร้างความปรองดองของกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ที่เห็นว่า ให้มีการนิรโทษกรรมคดีการชุมนุมทางการเมืองที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงคดีอาญาที่มีวัตถุประสงค์การเมือง และการให้เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดย คตส.ทั้งหมด เพราะการให้เพิกถอนผลคดีคตส.ทั้งหมดเป็นการใช้เสียงข้างมากลบล้างคำพิพากษาของศาล และ คตส.และเชื่อว่า เมื่อถึงขั้นตอนที่นำความเห็นของกรรมาธิการปรองดองส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณานั้น จะมีการให้โหวตว่า จะเห็นด้วยกับแนวทางเพิกถอนผลคดีของ คตส.ทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ก็ย่อมเห็นด้วย
จากนั้นในวันรุ่งขึ้น จะมีการเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทันที โดยกระบวนการทั้งหมดนี้จะเร่งทำให้เสร็จก่อนปิดสมัยการประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติ ในวันที่ 18 เม.ย.เพราะหลังจากนั้นจะปิดสมัยประชุม 3 เดือน ทำให้ ส.ส.เสื้อแดงที่มีคดีอาญาติดตัวอย่างน้อย 30 คน สุ่มเสี่ยงต่อการถูกศาลตัดสินคดีในช่วงที่ไม่มีเอกสิทธิส.ส.คุ้มครอง ดังนั้นขณะนี้จึงมีการเร่งกระบวนการปรองดองและนิรโทษกรรมมากเป็นพิเศษให้เสร็จก่อน 18 เม.ย.เพื่อตัดตอนไม่ให้มีการตัดสินคดี