ASTVผู้จัดการรายวัน –เครือสหพัฒน์ ลั่นทุ่ม 3 พันล้านบาท จ่อผุดนิคมอุตสาหกรรมในพม่า เป็นฐานส่งออก ย้ำค่าแรงไทยต้องไม่ขึ้นมากกว่า 300 บาท กังวลเงินเฟ้อ ราคาสินค้าพุ่งสูง ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีโต 10%
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์กรุ๊ป เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทวางแผนขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดอาเซียนเพื่อรองรับกับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 หรือ 3 ปีข้างหน้านี้ เบื้องต้นเตรียมสร้างนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ขึ้น ที่ประเทศพม่า โดยใช้โมเดลนิคมสวนอุตสาหกรรมศรีราชา ซึ่งเป็นทั้งศูนย์ผลิตและกระจายสินค้ามีการลงทุนร่วม 3,000 ล้านบาท และมีโรงงานของบริษัทในเครือร่วม 100 แห่ง ทั้งนี้นิคมอุตสาหกรรมในพม่าจะเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดต่างประเทศ อาทิ ยุโรป รวมทั้งการรุกตลาดพม่าเองด้วย
ขณะนี้รอให้พม่ามีความพร้อมมากขึ้น บริษัทก็พร้อมที่จะลงทุนทันที คาดว่าจะสร้างโรงงานที่เมืองย่างกุ้ง เพราะเป็นเมืองที่มีความพร้อมมากที่สุด ปัจจัยที่บริษัทเลือกลงทุนพม่า เพราะมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับประเทศไทย เป็นประเทศเปิดใหม่มีทรัพยากรที่พรั่งพร้อม ค่าแรงยังต่ำ โรงงานที่พร้อมจะเข้าไปสร้างก่อนในเบื้องต้น คือ เสื้อผ้า อาหาร เครื่องสำอาง ฯลฯ โดยกลุ่มผู้ซื้อสินค้าจากเครือสหกรุ๊ปต่อไป จะเลือกแหล่งผลิตจากไทยหรือพม่าได้ พร้อมกันนี้บริษัทยังมีแผนร่วมทุนและการซื้อกิจการใหม่ๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส
“การแข่งขันตลาดอาเซียนของประเทศไทยในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมเป็นห่วงเรื่องค่าแรง โดยค่าแรงต้องไม่ปรับขึ้นให้สูงไปมากกว่า 300 บาทต่อวัน เนื่องจากเป็นอัตราที่กลุ่มผู้ประกอบการยังยอมรับได้ หากหันไปเน้นการบริหารต้นทุนต่างๆ ให้ลดลง ก็จะทำให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันบนเวทีตลาดอาเซียนได้ เพราะไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เมื่อเทียบกับพม่ากัมพูชา ขณะที่ประเทศที่มีความน่ากลัวหากมีการปรับด้านโครงสร้างพื้นฐาน คือ เวียดนาม “
***เปรียบเศรษฐกิจไทยขับรถเร็วบนมอเตอร์เวย์
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวถึงผลงานของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ตั้งแต่ปี 2554 ว่า จะเก่งหรือไม่นั้นก็ต้องเปิดดูใบขับขี่ว่ามีประสบการณ์การขับรถมากน้อยแค่ไหน เพราะได้วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยเปรียบเสมือนการขับรถไฮเวย์บนมอเตอร์เวย์ แต่ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะดีหรือไม่นั้น มีตัวแปรจากวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป ด้านกำลังการซื้อคนไทยคาดว่าจะเริ่มดีขึ้นเดือนมิถุนายน จากเดือนพฤษภาคมกำลังซื้อการไม่ดี เนื่องจากโรงเรียนเปิดเทอม ส่วนปัจจัยที่น่ากังวล คือ ราคาสินค้าแพงขึ้น และภาวะเงินเฟ้อจากการปรับเงินเดือน
ส่งผลให้สินค้าปรับราคาเพิ่มขึ้น
***ลั่นตรึงราคาสินค้าถึงที่สุด
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทได้วางยุทธศาสตร์การผลิตสินค้าที่มุ่งเน้นเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับกับเทรนด์ของโลกที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพ ส่วนสินค้าในเครือยังไม่ปรับราคาเพิ่มขึ้น เน้นบริหารต้นทุน เพราะราคาน้ำมันไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น ผลประกอบการในเครือสหกรุ๊ป ช่วง 5 เดือนแรกเติบโต 10% ตามเป้าหมาย และคาดว่าสิ้นปีนี้เติบโต 10% แบ่งเป็นรายได้จากต่างประเทศ 20-30% และ 70-80% ในประเทศ
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์กรุ๊ป เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทวางแผนขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดอาเซียนเพื่อรองรับกับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 หรือ 3 ปีข้างหน้านี้ เบื้องต้นเตรียมสร้างนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ขึ้น ที่ประเทศพม่า โดยใช้โมเดลนิคมสวนอุตสาหกรรมศรีราชา ซึ่งเป็นทั้งศูนย์ผลิตและกระจายสินค้ามีการลงทุนร่วม 3,000 ล้านบาท และมีโรงงานของบริษัทในเครือร่วม 100 แห่ง ทั้งนี้นิคมอุตสาหกรรมในพม่าจะเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดต่างประเทศ อาทิ ยุโรป รวมทั้งการรุกตลาดพม่าเองด้วย
ขณะนี้รอให้พม่ามีความพร้อมมากขึ้น บริษัทก็พร้อมที่จะลงทุนทันที คาดว่าจะสร้างโรงงานที่เมืองย่างกุ้ง เพราะเป็นเมืองที่มีความพร้อมมากที่สุด ปัจจัยที่บริษัทเลือกลงทุนพม่า เพราะมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับประเทศไทย เป็นประเทศเปิดใหม่มีทรัพยากรที่พรั่งพร้อม ค่าแรงยังต่ำ โรงงานที่พร้อมจะเข้าไปสร้างก่อนในเบื้องต้น คือ เสื้อผ้า อาหาร เครื่องสำอาง ฯลฯ โดยกลุ่มผู้ซื้อสินค้าจากเครือสหกรุ๊ปต่อไป จะเลือกแหล่งผลิตจากไทยหรือพม่าได้ พร้อมกันนี้บริษัทยังมีแผนร่วมทุนและการซื้อกิจการใหม่ๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส
“การแข่งขันตลาดอาเซียนของประเทศไทยในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมเป็นห่วงเรื่องค่าแรง โดยค่าแรงต้องไม่ปรับขึ้นให้สูงไปมากกว่า 300 บาทต่อวัน เนื่องจากเป็นอัตราที่กลุ่มผู้ประกอบการยังยอมรับได้ หากหันไปเน้นการบริหารต้นทุนต่างๆ ให้ลดลง ก็จะทำให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันบนเวทีตลาดอาเซียนได้ เพราะไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เมื่อเทียบกับพม่ากัมพูชา ขณะที่ประเทศที่มีความน่ากลัวหากมีการปรับด้านโครงสร้างพื้นฐาน คือ เวียดนาม “
***เปรียบเศรษฐกิจไทยขับรถเร็วบนมอเตอร์เวย์
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวถึงผลงานของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ตั้งแต่ปี 2554 ว่า จะเก่งหรือไม่นั้นก็ต้องเปิดดูใบขับขี่ว่ามีประสบการณ์การขับรถมากน้อยแค่ไหน เพราะได้วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยเปรียบเสมือนการขับรถไฮเวย์บนมอเตอร์เวย์ แต่ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะดีหรือไม่นั้น มีตัวแปรจากวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป ด้านกำลังการซื้อคนไทยคาดว่าจะเริ่มดีขึ้นเดือนมิถุนายน จากเดือนพฤษภาคมกำลังซื้อการไม่ดี เนื่องจากโรงเรียนเปิดเทอม ส่วนปัจจัยที่น่ากังวล คือ ราคาสินค้าแพงขึ้น และภาวะเงินเฟ้อจากการปรับเงินเดือน
ส่งผลให้สินค้าปรับราคาเพิ่มขึ้น
***ลั่นตรึงราคาสินค้าถึงที่สุด
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทได้วางยุทธศาสตร์การผลิตสินค้าที่มุ่งเน้นเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับกับเทรนด์ของโลกที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพ ส่วนสินค้าในเครือยังไม่ปรับราคาเพิ่มขึ้น เน้นบริหารต้นทุน เพราะราคาน้ำมันไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น ผลประกอบการในเครือสหกรุ๊ป ช่วง 5 เดือนแรกเติบโต 10% ตามเป้าหมาย และคาดว่าสิ้นปีนี้เติบโต 10% แบ่งเป็นรายได้จากต่างประเทศ 20-30% และ 70-80% ในประเทศ