ผลการเลือกตั้งใหญ่เมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา ที่พรรค “ดีแต่พูด” อย่างประชาธิปัตย์ พ่ายแพ้ต่อกระแสคนเสื้อแดงและนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย อย่างที่เรียกได้ว่าถล่มทลาย ทำให้ทักษิณ ชินวัตร สามารถเชิดน้องสาวสุดที่รัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ในชั่วข้ามคืนแบบพลิกความคาดหมาย และช็อกคอการเมืองทั้งประเทศ ที่ไม่อาจปฏิเสธผลการเลือกตั้ง ตามวิถีทางที่เชื่อกันว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แม้ว่ามันจะพิกลพิการอย่างไรก็ตาม
เราได้นายกรัฐมนตรีหญิงที่ประกาศตัวอย่างเปิดเผยว่าเป็นโคลนนิ่งของทักษิณ ชินวัตร ที่ขึ้นยึดกุมอำนาจรัฐพร้อมกับสัญญาประชาคมมากมาย ที่โฆษณาชวนเชื่อว่า จะนำความสุขกลับคืนมาให้ประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการกระชากค่าครองชีพ ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ ให้คนไทยอยู่ดีกินดีถ้วนหน้า จะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ จะปรับขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำของข้าราชการและพนักงานเอกชนที่จบปริญญาตรี เป็นเดือนละ 15,000 บาท และประกาศจะลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลงลิตรละ 7 บาท รวมทั้งนโยบายการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมอีกมากมาย ตลอดจนการแก้ไขความขัดแย้งของคนไทยเพื่อนำไปสู่สังคมแห่งการปรองดอง
แต่ผลงานการบริหารประเทศ ที่ผ่านไปแล้วกว่า 9 เดือน กลับล้มเหลวไม่เป็นชิ้นเป็นอัน สังคมไทยยังคงขัดแย้งแบ่งฝ่าย ท่ามกลางความฮึกเหิมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แกนนำส่วนใหญ่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภา ทั้งการเร่งก่อตั้งหมู่บ้านคนเสื้อแดง ซึ่งยิ่งขยายความขัดแย้งแบ่งฝ่าย ทั้งความคิดที่ไม่ลงรอยกันในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกันเอง ที่กลายเป็นความแตกแยกภายใน ขัดต่อนโยบายการปรองดองของรัฐบาลเอง และที่สวนทางกับการประกาศกระชากค่าครองชีพ ก็คือวิกฤตแพงทั้งแผ่นดิน ที่กำลังกลายเป็นวิกฤตศรัทธา เพราะคนไทยเดือดร้อนจากข้าวยากหมากแพงทั่วกันทุกหย่อมหญ้า
นโยบายลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลงลิตรละ 7 บาท กลายเป็นนโยบายหลอกลวง เพราะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้นตลอดเวลา โดยรัฐบาลได้แต่แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่า เป็นไปตามกลไกตลาด และทำที ลดๆ ขึ้นๆ สลับกันไปแบบขอไปที ส่วนนี้ทำให้ค่าขนส่งที่เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มสูงขึ้น สร้างความเดือดร้อนต่อภาวะการซื้อขาย และค่าครองชีพโดยรวมของประชาชน
นโยบายการขึ้นค่าแรงงานเป็นวันละ 300 บาท ก็ทำได้แค่ 7 จังหวัดนำร่อง โดยไม่ครอบคลุมทั่วประเทศอย่างที่ประกาศ การปรับเงินเดือนผู้จบปริญญาตรี ก็จำกัดทำได้แค่วงการราชการ ซึ่งก็ปรับไม่ได้ตามที่พูด แต่เลี่ยงบาลีว่าเป็นการเพิ่มรายได้ ส่วนพนักงานเอกชน ก็ถูกปล่อยไปตามยถากรรม ไร้ความสามารถที่จะทำตามที่หาเสียงเลือกตั้งไว้ได้
ขณะนี้การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนคนไทยจากสำนักโพลต่างๆ ผลการสำรวจเริ่มส่อแสดงว่า รัฐบาลเพื่อไทยโดยการนำของนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด กำลังอยู่ในช่วงขาลง เพราะประชาชนส่วนใหญ่เริ่มเห็นว่า รัฐบาลด้อยประสิทธิภาพ นโยบายต่างๆ ที่ประกาศหาเสียงในช่วงเลือกตั้ง ล้มเหลวในทุกด้าน และเริ่มมีการแสดงออกถึงการต่อต้านตรงๆ จากคนไทยในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่รวมตัวกันจาก 9 กลุ่ม เป็น “กลุ่มแนวร่วมเพจต้านระบอบทักษิณ” ประกอบด้วย 1.พวกเราชาวไทยไม่ยุบสภาและไม่เอาคนโกงชาติทักษิณกลับคืนมา 2. Watch Red Shirt ศูนย์ปฏิบัติการติดตามผู้ชุมนุมเสื้อแดง 3. กลุ่มปัญญาชนคนอีสานไม่เอาพรรคเพื่อไทย 4. Dislike Yingluck For Concentration Citizen 5. ศูนย์ตรวจสอบเฝ้าระวังนโยบายพรรคเพื่อไทย 6. กลุ่มปัญญาชนคนเหนือไม่เอาพรรคเพื่อไทย 7. ขบวนการเสรีไทยเฟซบุ๊ก
8. คนละหมัด เดอะซีรีย์ และ 9. คนรู้จริง ไม่เอารัฐบาลสีแดง ทั้ง 9 กลุ่มได้ประกาศทำสงครามสู้แดงทั้งแผ่นดิน โดยได้มีผู้คนในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กกดไลต์เข้าร่วมขบวนการเกือบล้านคนแล้ว กลุ่มดังกล่าวได้ออกประกาศแถลงการณ์ร่วม ฉบับที่ 1/2555 แล้ว รายละเอียดติดตามอ่านได้ทาง google.com หรือที่แพร่หลายแล้วทางเว็บเพจต่างๆ มากมายอึงคะนึงไปทั่วในอินเทอร์เน็ต
วิกฤตของแพงทั้งแผ่นดินในประเทศไทยขณะนี้ แม้แต่คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิกของสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสแคป ยังออกมาเตือนว่าราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนยากจน และนำไปสู่ปัญหาสังคมที่รุนแรงและยืดเยื้อ หน่วยงานของสหประชาชาติแห่งนี้แนะนำว่า ในการรับมือกับภาวะราคาอาหารที่แพงขึ้นในระยะยาวนั้น ประเทศไทยควรเพิ่มความสามารถในการผลิตของภาคการเกษตร โดยการส่งเสริมการพัฒนาชนบท และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และเมล็ดพันธุ์พืชสายพันธุ์ใหม่ๆ มาใช้ ควบคู่กับการอุดหนุนปัจจัยการผลิตต่างๆ เช่น ปุ๋ย และปล่อยสินเชื่อแก่เกษตรกร
แต่ในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ แทนที่จะระดมสติปัญญาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ตรงจุดและจริงจัง รัฐบาลของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมัวสาละวนกับการเล่นการเมือง โดยพยายามจะให้กระทรวงพาณิชย์ออกมาแสดงตัวเลขราคาสินค้าเปรียบเทียบกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพียงเพื่อจะชี้ว่าสินค้าบางตัวในยุคอภิสิทธิ์แพงกว่า ซึ่งนอกจากจะเป็นการแก้ตัวเอาชนะคะคานกันทางการเมืองแล้ว ดูเหมือนจะไม่เป็นสาระและเกิดประโยชน์อันใดเลย
และอย่าคิดว่าเรื่องข้าวยากหมากแพง ที่กลายเป็นวาทกรรมติดปากว่า แพงทั้งแผ่นดินนี้ จะเป็นเรื่องล้อเล่น ให้นายกรัฐมนตรี ไปเดินตลาดสดแบบเล่นละครตบตาประชาชนไปวันๆ ว่าสินค้าที่นายกรัฐมนตรีไปดูไม่ยักกะแพงอย่างที่ว่า น่าจะเป็นเรื่องที่ประชาชนคิดกันไปเอง อย่างที่หลุดจากปากนายกรัฐมนตรี เมื่อถูกสื่อมวลชนซักไซ้เรื่องของแพง ซึ่งก็มีผู้คนนำไปล้อว่า หรือว่าคำว่าอุปสงค์อุปทาน ที่นักวิชาการกระทรวงพาณิชย์บรรยายสรุป จะทำให้นายกฯ นกแก้ว เข้าใจคำว่าอุปทาน เป็นอุปาทานไป จึงกล้าพูดอย่างเต็มปากว่า “ของแพงเพราะประชาชนคิด (อุปาทาน) ไปเอง
“แพงทั้งแผ่นดิน” คือปรากฏการณ์จริงแท้ ที่ดำรงอยู่ และจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายสำหรับรัฐบาลหุ่นเชิดนี้ ถ้ายังอยากล้อเล่นกับมัน ก็ลองดู