ASTVผู้จัดการรายวัน-เยียวยาเหยื่อการเมือง ล็อตแรก 522 ราย วงเงิน 579 ล้านบาท ลือหึ่ง! 44 ผู้เสียชีวิต ได้เงินจากมือนายกฯ แค่ 4 แสน ไม่ใช่ 7.75 ล้านตามที่โม้ไว้ “เทพเทือก” ยื่น ปปช. ฟัน "ธาริต-ประเวศน์" ไม่ฟ้องผังล้มเจ้า ด้าน “ไทกร” ปูดแม้วสั่งตัดท่อน้ำเลี้ยงแดงทั้งแผ่นดิน
วานนี้ (23 พ.ค.) ที่รัฐสภา พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ได้ร่วมแถลงข่าวว่า วันที่ 24 พ.ค.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานมอบเงินเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจำนวน 522 ราย จาก 4,817 ราย เงินจำนวนทั้งสิ้น 579 ล้านบาท โดย ปคอป. ไม่ได้กำหนดผู้ที่ได้รับผลกระทบว่าเป็นกลุ่มคนเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง และยืนยันว่าไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์สีเสื้อในการจ่ายค่าเยียวยา
ส่วนการช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีอาญาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปล่อยตัวผู้ต้องขังจำนวน 2 ครั้ง และศาลมีคำสั่งให้ปล่อยตัวจำนวน 5 ราย และครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
***ลือ! ตายได้แค่4แสน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเงินเยียวยาที่รัฐบาลพยายามโหมข่าวการจ่ายเงินดังกล่าวในวันนี้ (24 พ.ค.) จะจ่ายให้คนละ 7.75 ล้านบาท แต่จากเอกสารของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระบุไว้ว่า จะจ่ายให้กับผู้ที่เสียเสียชีวิตเพียงแค่ 4 แสนบาท กรณีทุพพลภาพ 1-4 แสนบาท บาดเจ็บ 2-6 หมื่นบาท
ก่อนหน้านี้ ทาง คอป. ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ได้เคยระบุว่า รูปแบบการจ่ายเงิน ในส่วนของผู้เสียชีวิตจะได้รับเช็คเงินสด 3.25 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินเยียวยาการสูญเสียชีวิต 3 ล้านบาท อีก 2.5 แสนบาทเป็นค่าปลงศพ ส่วนเงิน 4.5 ล้านบาท ทางผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาจะได้รับเป็นสลากออมสิน ซึ่งหากประสงค์จะเปิดบัญชีทันทีก็สามารถทำได้ที่ธนาคารออมสิน สาขาทำเนียบรัฐบาลได้เลย หรือประสงค์จะทำที่สาขาอื่นในภายหลังก็สามารถทำได้เช่นกัน
ขณะที่มีรายงานว่า คนเสื้อแดงบางรายถึงขั้นไปจองรถกระบะวีโก้ ราคากว่า 5 แสนบาทกันไว้แล้ว
***"ยงยุทธ"บี้ พม.เปิดเผยรายชื่อ
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะประธาน ปคอป. กล่าวถึงกรณีที่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาระบุว่ามีปัญหาในการตรวจสอบรายชื่อเนื่องจากกระทรวง พม. ไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยา ว่า ส่วนตัวยังไม่ทราบรายละเอียดตรงนั้น แต่เห็นว่าเรื่องนี้ พม.ต้องมีการแจ้งรายชื่อออกมาให้ชัดเจนมีใครบ้าง เนื่องจากเป็นเรื่องจำเป็นที่ญาติต้องรับทราบรายชื่อ
“ทางพม. ต้องแจ้งรายชื่อให้ญาติรับทราบ ในส่วนที่ยังไม่มีรายชื่อหรือที่ส่งหลักฐานต่างๆ ยังไม่แล้วเสร็จ ก็จะต้องทยอยตรวจสอบและให้การช่วยเหลือเยียวยาต่อไป” รองนายกฯ ระบุ
**ปชป.ขู่จ่ายเงินเมื่อไรฟ้องปปช.ทันที
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าจะเดินหน้าคัดค้าน ต่อสู้ให้ถึงที่สุดเพราะตนไม่เห็นด้วย เพราะการจ่ายเงินเยียวยาในครั้งนี้ไม่เป็นไประเบียบกฎหมาย โดยสอดคล้องกับคำพูดของนายวิษณุ เครืองาม ว่า อย่าคิดว่าการจ่ายเงินครั้งนี้ จะทำได้ เพราะที่มาของงบประมาณและระเบียบหลักเกณฑ์ทางกฎหมายไม่ชัดเจน ทั้งนี้ นายยงยุทธ ควรพูดให้ชัดว่าใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อกรณีจำเป็นและฉุกเฉิน โดยส่วนตัวตนคิดว่าไม่ใช่กรณีจำเป็นและฉุกเฉินที่ใช้ได้ตามคำจำกัดความของงบประมาณกลาง จึงอยากเตือนไปยังอธิบดีและนายยงยุทธ ถ้ามีการจ่ายเงินเยียวยาอันมิชอบด้วยกฎหมายเสร็จสิ้นตนจะเดินทางแจ้งความที่ ปปช.
**“สุเทพ”ยื่น ปปช.ฟัน"ธาริต-ประเวศน์"
ที่รัฐสภา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎรธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้ให้ทนายไปยื่นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถึงกรณีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และพ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและพนักงานเจ้าหน้าที่ของดีเอสไออีกจำนวนหนึ่ง กระทำการเข้าข่ายเป็นความผิดต่อกฎหมายฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา หลังการประชุมของดีเอสไอเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2553 มีมติให้รับการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐโดยมุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เรียกว่า “คดีล้มเจ้า”
จากนั้น นายธาริตได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่า มีการกระทำเชื่อมโยงเป็นกระบวนที่มีกลุ่มทุนหนุนหลังเพื่อเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์การปกครองประเทศ ซึ่งตนมีหลักฐานรายละเอียดที่กล่าวออกรายการ “คนวงใน” ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 NBT เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2554 ซึ่งยืนยันว่าขบวนการล้มเจ้ามีจริง
นายสุเทพกล่าวต่อว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ บรรดาบุคคลที่อยู่ในข่ายที่ควรเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องเป็นฝ่ายเดียวกันกับพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล นายธาริตกับพวกได้สรุปสำนวนการสอบสวนและแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในวันที่ 11 เม.ย.2555 มีความเห็นไม่สั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคนในคดีนี้ เพราะคดีไม่มีมูลหรือพยานหลักฐานที่เพียงพอจะดำเนินคดีต่อไปได้ และพฤติกรรมนี้ นายธาริตกับพวกแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่ของตนไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเว้นไม่ทำการสืบสวนสอบสวนไม่รวบรวมพยานหลักฐานอย่างจริงจัง และใช้ดุลพินิจวินิจฉัยคดีในขั้นต้นตามหน้าที่ของตนโดยมิชอบ
ส่วนกรณีคดีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ร่วมกันจัดรำลึกงานวันที่ 10 เม.ย.2553 ได้มีการปราศรัยบนเวทีโดยใช้ถ้อยคำและข้อความที่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์และพระราชินี ซึ่งผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 ประเด็นดังกล่าวพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้นายทหารพระธรรมนูญดำเนินการกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ ต่อมานายธาริตได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ถอนการประกันตัวนายจตุพรจนศาลได้มีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวของนายจตุพร ซึ่งได้มีการประกันตัวไปก่อนหน้านี้ ต่อมาวันที่ 10 พ.ค.2555 นายธาริตได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ไม่ควรสั่งฟ้องนายจตุพรกับพวก เพราะยังไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย
ทั้ง 2 กรณี ตนเห็นว่าการกระทำของนายธาริตและพ.ต.อ.ประเวศน์ น่าจะเข้าข่ายปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายกับผู้อื่นหรือทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ,165 และมาตรา 200 ประกอบมาตรา 83 ตนจึงขอกล่าวโทษบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าสู่การพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้มูลความผิดของบุคคลดังกล่าวตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 และได้รวบรวมเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการป.ป.ช. หากคณะกรรมการป.ป.ช.มีความประสงค์จะสอบปากคำตนก็ยินดีและพร้อมส่งเอกสาร พยานหลักฐานเพิ่มเติมขอให้ดำเนินการมา
“แม้ว่าดีเอสไอ จะสั่งไม่ฟ้อง ก็ไม่ทำให้คดีทั้ง 2 ยุติลง เพราะดีเอสไอต้องสรุปสำนวนส่งไปถึงสำนักอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ดังนั้น เราจึงต้องรอดูสำนักอัยการสูงสุดจะมีความเห็นอย่างไร โดยหวังเป็นที่พึ่งของกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ผมขอตั้งตัวเองเป็นตัวแทนประชาชนในการกล่าวโทษเพื่อให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง ซึ่งหากมีใครทำอย่างนี้อีก ผมก็จะยื่นเรื่องเอาผิดอีก และการร้องเรียนครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์”
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามกฎหมายแล้วนายสุเทพสามารถทำได้ แต่ตนขอเตือนให้นายสุเทพระวังว่าจะถูกนายธาริตและดีเอสไอฟ้องกลับตามกฎหมายอาญามาตรา 200 เพราะเรื่องดังกล่าวอาจเป็นเพียงการใส่ความ เพราะการพิจารณาไม่สั่งฟ้องนั้น นายธาริตไม่ได้กระทำเพียงคนเดียว แต่เป็นการผ่านการพิจารณาจากคณะของดีเอสไอ การดำเนินการของนายสุเทพอาจเป็นเพียงแค่การแก้เกี้ยวเท่านั้น มากกว่าที่จะมุ่งตรวจสอบ
**ซัดใช้งบ 10 ล้านปรับปรุงห้องขังเสื้อแดง
นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในระหว่างพิจารณางบประมาณปี 2556 ว่า การจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงที่ขยายสู่ภาคใต้ มีประชาชนไม่เห็นด้วย ประท้วงวุ่นวาย อีกทั้งมีผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทยระบุว่าการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงขึ้นมา เพื่อเสริมสร้างประชาธิปไตย เป็นการตั้งของภาคประชาชน ซึ่งเป็นการสร้างอุดมการณ์ที่ผิดทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ตนจึงคัดค้านการจัดสรรงบฯ ที่ 2 มาตรฐาน นอกจากนี้ กรมราชทัณฑ์ยังใช้งบฯ กว่า 10 ล้านบาท ปรับปรุงห้องขังให้นักโทษเสื้อแดง โดยอ้างว่าเป็นคดีการเมือง
**ตัดท่อน้ำเลี้ยงแดงทั้งแผ่นดิน
ขณะที่นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวอีสาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว "ไทกร พลสุรรณ" แฉเบื้องหน้าเบื้องหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองของอดีตนายกฯ ผ่านมวลชนเสื้อแดง อ้างว่า ที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณใช้นายจตุพรเป็นตัวหลักในการประสานงานไปยังมวลชนเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้น โดยทักษิณได้ต่อท่อน้ำเลี้ยงเพื่อสนับสนุนผู้ที่ควบคุมการเปิด-ปิดท่อน้ำเลี้ยง คือ นาย ช.ช้าง คนสนิทของทักษิณ ท่อน้ำเลี้ยงจะเปิดให้เสื้อแดงก็ต่อเมื่อทักษิณและจตุพรเห็นชอบร่วมกัน แต่ก็มีบางครั้งที่ทักษิณสั่งเปิดท่อโดยไม่ต้องหารือกับจตุพร
โดยเฉพาะ เหตุการณ์เมษา 52 ทักษิณทุ่มเงินกว่า 2,000 ล้านบาท, เหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 ทักษิณทุ่มเงินกว่า 10,000 ล้านบาท และหลังเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 พวกฝ่าย (แดง) ซ้าย ได้ขึ้นมาเป็นแกนนำ นปช. แต่ล่าสุดหลังจากเลือกตั้ง 3 ก.ค.55 มีการ “ตัดท่อน้ำเลี้ยง”ทั้งหมดแล้ว แม้ในช่วงแรกๆ ของการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงแกนนำ นปช.ฝ่าย (แดง) ซ้ายจะเป็นผู้ชี้นำและสั่งการ
ล่าสุดทักษิณจึงย้ำในงานชุมนุมครบรอบสองปีเหตุการณ์ 19 พฤษภา ว่านี่อาจเป็นการวีดีโอลิงค์ครั้งสุดท้ายของเขา ทักษิณตัดสินใจ "ปิดท่อน้ำเลี้ยง" ที่จ่ายให้คนเสื้อแดง ซึ่งทักษิณก็จะหันมาใช้การชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นพลังกดดันให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
** “ขวัญชัย” ท้าชน “สุรทิน”
นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ ส.ส.อุดรธานี เขต 2 จะจัดงาน “รวมพลคนไม่เอาขวัญชัย” ก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ว่า หากตนไม่มีความเกรงใจคนที่อยู่ดูไบในตอนนี้ จะเรียกคนมาขับไล่ ส.ส.เขต 2 คนนี้ ตอนนี้เป็นห่วงความรู้สึกของคนที่อยู่แดนไกล จึงไม่อยากที่จะตอบโต้
การที่ ส.ส.ซึ่งมีตำแหน่งที่ทรงเกียรติให้ข่าวว่าร้ายโจมตี ถือว่าไม่ใช่การกระทำของลูกผู้ชาย เพราะฉะนั้นบ้านเมืองจะไม่สงบสุขก็เพราะมีคนอย่างนี้อยู่ในบ้านเมือง และหากว่าจะจัดงาน รวมพลคนไม่เอาสุรทินบ้างมันจะเกิดอะไรขึ้น คนที่เสียใจจะเป็นคนที่อยู่ดูไบ ขอยืนยันอีกครั้งว่าขวัญชัยจะเดินชนกับท่าน วัดดวงกัน 17 มิ.ย.2555 หากวิเชียร ขาวขำ ไม่ได้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ตนจะพิจารณาตนเอง ชมรมคนรักอุดรจะเป็นอย่างไรต่อไปก็เป็นหน้าที่ของภรรยา
**ปรับ4หมื่นคุก 2 ปีแดงบุกบ้านประจักษ์
ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 10 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น โจทก์ฟ้องจำเลยคดีเสื้อแดงจังหวัดขอนแก่นจำนวน 10 คนในข้อกล่าวหาก่อให้เกิดเพลิงไหม้ ทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกบ้านพัก นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 10 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ลงวันที่ 7 เม.ย.2553 และข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
ขณะที่ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 10 มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ม.5, 9 (2), 11, 18 ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำเลยทั้ง 10 ให้จำคุกคนละ 2 ปี และปรับจำเลยที่ 1 ที่ 3, 4, 5, 7, 8, 9, 10 คนละ 40,000 บาท จำเลยทั้ง 10 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนล่ะกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลงโทษจำเลยทั้งสิบให้จำคุกคนละ 1 ปี และปรับจำเลยที่ 1, 3, 4, 5, 7, 8, 9, 10 คนละ 20,000 บาท
ขณะที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว พิจารณาพิพากษาตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 7 ถึงที่ 10 มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 5, 9 (2), 11, 18 จึงชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 7 ถึงที่ 10 อุทธรณ์ว่าพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 สิ้นสภาพการใช้บังคับไปแล้วโดยปริยายนั้น เห็นว่าไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 สิ้นสภาพบังคับใช้ การสิ้นสุดลงของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ไม่มีผลทำให้พระราชกำหนดดังกล่าวสิ้นผลไปด้วยแต่อย่างใด
สำหรับผู้ต้องหาเสื้อแดงทั้ง 10 คน ประกอบด้วย 1. นายวิวัฒน์ สามหมาดไทย 2. นายวีระพันธ์ ไชยจันดา 3. นายชัยจักร พลศักดิ์ 4. นายสุพรรณ ทาปลัด 5. นายพนมรุ่ง ศรศิริ 6. นายสุทัศน์ สิงห์บัวขาว 7. นายทนงศักดิ์ กงผัน 8. นายธงชัย จาริชานนท์ 9. นายวรวิทย์ จำนงค์นอก และ 10. นายไพรวัลย์ แสนสะท้าน