xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เมื่อ "ธาริต"สั่งไม่ฟ้อง เมื่อ“คางคก”ไม่หมิ่นเบื้องสูง “บิ๊กตู่” ก็แจ้งความเท็จ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายจตุพร พรหมพันธุ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-"นายจตุพร พรหมพันธุ์ จำเลยที่ 2 ได้พูดปราศรัยบนเวทีกับผู้ชุมนุม กล่าวพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง รวมทั้งนายนิสิต สินธุไพร จำเลยที่ 8 ได้กล่าวพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง"

"คำปราศรัยของจำเลยทั้ง 9 เป็นการยุยงปลุกปั่น ปลุกระดมให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาล และกระบวนการยุติธรรม ไม่สามารถเชื่อถือได้ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านจากประชาชนทั่วไป และจากกองทัพอย่างรุนแรง"

"จำเลยกับพวก ได้กระทำการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง โดยก่อให้เกิดความขัดแย้งของประชาชน ทั้งมิได้เป็นไปตามแนวทางสมานฉันท์ในชาติ"

นั่นคือสาระสำคัญที่อัยการได้ระบุไว้ในคำร้องที่ยื่นต่อศาลเพื่อขอให้ศาลไต่สวน ถอนประกันตัว "นายจตุพรและพวก" จำเลยในคดีก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง หลังจากที่ "นายจตุพร" ได้ปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย.54 จนสุดท้ายหลังไต่สวน ศาลได้มีคำสั่งถอนประกัน "นายจตุพร พรหมพันธุ์ จำเลยที่ 2 และนายนิสิต สินธุไพร จำเลยที่ 8"

เหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นผลทำให้ "นายจตุพร พรหมพันธุ์"ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อันดับที่ 8 ไม่สามารถออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค.2554 จนสุดท้าย ที่ประชุมใหญ่ กกต.มีมติ 4 ต่อ 1 เห็นว่า กรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ทำให้นายจตุพรขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และทำให้ขาดจากการเป็น ส.ส.โดยพิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 19 และ 20 ที่ระบุว่า บุคคลที่จะเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ต้องไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แม้ประเด็นเรื่องสิทธิของนายจตุพร จะยังไม่ถึงที่สุด ด้วยการชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญก็ตามที แต่นั่นคือ ปัญหาเรื่องสิทธิความเป็น ส.ส.ที่เกิดจากการถูกจองจำในเรือนจำ จากเหตุที่"จตุพร พรหมพันธ์"ถูกกล่าวหาในขณะนั้นว่า..."หมิ่นเบื้องสูง"

การกล่าวหา"จตุพร"หมิ่นเบื้องสูง ในขณะนั้น ถือว่า ไม่ใช่คดีความธรรมดา ที่ ตาสี ตาสา ขึ้นโรงพักแจ้งความจับ แต่เป็นสำนวนคดีที่ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ.มอบอำนาจให้ พ.อ.จีรพล หลงประดิษฐ์ นายทหารพระธรรมนูญจากสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก กองทัพบก เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ เมื่อวันที่ 12 เม.ย.54 เพื่อให้ดำเนินคดี "นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายวิเชียร ขาวขำ, นายสุพร อัตถาวงศ์" ในความผิดฐาน ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีแกนนำ นปช.ทั้ง 3 คน ปราศรัยด้วยถ้อยคำที่เข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงบนเวที นปช.บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 เม.ย.54

คดีนี้จุดสำคัญคือ ทั้งผู้นำทัพสีขี้ม้าคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และผู้นำทัพสีกากีที่ขณะนั้นคือ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.พูดตรงกันว่า "นายจตุพร หมิ่นเบื้องสูงจริง"โดยมีหลักฐานที่"พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน"เจ้าของคดีได้เบิกความต่อศาลในวันไต่สวนถอนประกันระบุไว้ชัดว่า"จากการถอดเทปคำปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น พบว่า นายจตุพร จำเลยที่ 2 ได้ปราศรัยโดยมีข้อความหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมทั้งคำปราศรัยของนายนิสิต สินธุไพร จำเลยที่ 8"

หากดูหลักฐานและพฤติการณ์การกระทำความผิดในขณะนั้น ประชาชนคนในชาติ ต่างเชื่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาโดยเฉพาะ"นายจตุพร พรหมพันธุ์"จะต้องถูกลงโทษแน่นอน..ประกอบกับถือเป็นสัญญาณที่ดีของคดีความ เมื่อ "นายธาริต เพ็งดิษฐ์"อธิบดีดีเอสไอ(คนเดิม)ได้มีการประชุมร่วมกับ คณะพนักงานสอบสวนคดีความมั่นคงของรัฐว่าด้วยการละเมิดสถาบันฯ (คดีล้มเจ้า)และได้พบว่า ผู้กระทำความผิดไม่ใช่อยู่แค่ 3 คน ตามที่ ผบ.ทบ.แจ้งความ แต่เป็น"จตุพร และพวก"รวม 19 คน คือบุคคลที่อยู่ในข่ายถูกแจ้งข้อกล่าวหา ตามคำขู่ของ"นายธาริต"ในครั้งนั้น

ท่ามกลางการรอคอยการสั่งคดีของ ดีเอสไอ โดยมี"นายจตุพร พรหมพันธ์"เป็นหัวโจกคนสำคัญ แต่เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนขั้ว "พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข"รองอธิบดีดีเอสไอ คนระบอบทักษิณ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าคุมสำนวนคดีล้มเจ้า ขณะที่"นายธาริต เพ็งดิษฐ์"ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้อยู่รอดในตำแหน่ง อธิบดีดีเอสไอ คือให้เหล่าผู้ถูกกล่าวหา เลื่อนการเข้ารับทราบข้อหาไปโดยไม่มีกำหนด โดยไม่คิดว่า สิ่งที่ได้กระทำลงไป ทำให้หลักธรรมาภิบาล ของ ดีเอสไอ กรมที่บังคับใช้กฎหมาย เสียรูปกระบวนไปหรือไม่?

นับจากนั้นมาเส้นทางและสัญญาณของคดีล้มเจ้า ได้เกิดเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง และหนาหูมากขึ้นว่า ท้ายสุดแล้ว"นายธาริต เพ็งดิษฐ์"จะสั่งไม่ฟ้องแน่นอน...

ต่อมา 10 พ.ค.2555 วันที่ประชาชนรอคอยมาถึง แต่กลับเป็นคำตอบที่ทำให้ประชาชนสิ้นหวังกับ การทำสำนวนคดีของ ดีเอสไอ เมื่อ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ แถลงสั่งไม่ฟ้อง นายจตุพรกับพวก โดยดีเอสไอ ให้เหตุผลว่า จากการสอบสวนพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด คำกล่าวในการปราศรัยครั้งนั้น ยังไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา จึงสั่งไม่ฟ้อง พร้อมส่งสำนวนไปยังอัยการฝ่ายคดีพิเศษแล้ว ซึ่งคดีนายจตุพร ถือว่าคดีเป็นที่ยุติสั่งไม่ฟ้องแล้ว

“เป้าหมายของตัวบุคคลที่ผู้ต้องหาต้องการกล่าวโจมตี เมื่อดูทั้งบริบทแล้ว จะพบว่าผู้พูดกล่าวโจมตีพาดพิงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศอฉ. ในขณะนั้น และนายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรอง ผอ.ศอฉ. ไม่มีส่วนใดที่ปรากฏว่าเป้าหมายของนายจตุพรต้องการกล่าวพาดพิงอันเป็นการมุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชินีและรัชทายาทแต่อย่างใด

“เจตนาในการกระทำผิดของผู้พูด หรือเจตนาใส่ความ ดูหมิ่นหรือเหยียดหยาม หากพิจารณาโดยตลอดการปราศรัย โดยไม่มีการรวบรัด ตัดตอน ตลอดจนคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ของการชุมนุมการเรียกร้อง การต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้นแล้วจะเห็นว่าผู้พูดมีเจตนามุ่งหมายต่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพโดยเฉพาะ หาใช่มีเจตนาใส่ความต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาทแต่ประการใด ดังนั้น พนักงานสอบสวนจึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง และตนในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน”

นั่นคือเหตุผลที่นายธาริต เปลี่ยนศรีอธิบายว่าทำไมดีเอสไอถึงสั่งไม่ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์

ขณะที่หัวหน้าคุมสำนวนคดีล้มเจ้าคือ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ก็ให้เหตุผลที่สอดคล้องกันว่า ....”ดีเอสไอถอดเทปคำปราศรัยทั้งหมดแตกต่างจากการนำเสนอของสื่อที่มีการตัดตอนบางประโยคและเมื่อพิจารณาทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบพบว่าที่ผ่านมาผู้ถูกดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูงมักเป็นผู้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและได้ดำเนินคดีเป็นรายบุคคล แต่ในส่วนของนายจตุพรไม่พบว่าเคยมีพฤติกรรมหมิ่นสถาบัน ทั้งนี้ที่ผ่านมาการสอบสวนของพนักงานสอบสวนดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่มีการเปลี่ยนวิธีการและบุคคลที่ตั้งเป็นที่ปรึกษาของคดีดังกล่าว รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาในคดีล้มเจ้าตามแผนผังศอฉ.ด้วย”

กรณีสั่งไม่ฟ้อง"นายจตุพร พรหมพันธ์"ส.ส.พันธุ์ดุ ผู้นี้...อดีตนายเก่าของธาริต ที่ชื่อ"นายสุเทพ เทือกสุบรรณ"กลับไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยย้ำชัดว่า กรณีนี้ประชาชนจำนวนมากรวมถึงตนมีความคลางแคลงใจในพฤติกรรมเพราะพฤติกรรมที่ นายจตุพรและพรรคพวก ได้แสดงออกเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 54 ที่กล่าวปราศรัยบทเวทีมีพฤติกรรมชัดเจนว่าเข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญา

"ผมไม่เข้าใจว่าดีเอสไอ ใช้ดุลพินิจอย่างไร ซึ่งผมอยากดำเนินคดีกับดีเอสไอ โดยตั้งข้อหาเบื้องต้นในใจว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คงต้องหาผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายพิจารณาว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถดำเนินคดีกับดีเอสอได้ มิเช่นนั้นจะมีข้าราชการที่เอาอกเอาใจรัฐบาลและฝ่ายการเมือง โดยละทิ้งหลักการของกฎหมาย"

"ที่ผมพูดอย่างนี้จะบอกว่าผมกล่าวหาดีเอสไอก็ได้ และถ้าจะดำเนินคดีกับผมก็ยินดีเพื่อจะได้ต่อสู้คดีในชั้นศาลและเปิดเผยข้อเท็จจริง และรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสังเวชที่หน่วยราชการแสดงอาการเอาอกเอาใจยอมทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขัดกับความถูกต้องและความรู้สึกของประชาชน และเชื่อว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ทำการไม่ดีเช่นนี้ต้องได้รับผลกรรมกับการกระทำ"นายสุเทพกล่าว

ประเด็นปัญหาการใช้ดุลพินิจของอธิบดีข้ารับใช้นักการเมืองผู้นี้..นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดทิ้งท้ายว่า...นายจตุพร มีเจตนาชัดเจนหมิ่นเบื้องสูง และตนยังเชื่อว่าการวินิจฉัยของดีเอสไอไม่ถูกต้อง และความไม่ถูกต้องนี้จึงไม่ถือเป็นมาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งสังคมจะต้องช่วยกันแสวงหาคำตอบก็คือ เมื่อดีเอสไอภายใต้การนำของนายธาริต เพ็งดิษฐ์มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ นั่นก็ย่อมหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่มีคำสั่งให้ พ.อ.จีรพล หลงประดิษฐ์ นายทหารพระธรรมนูญจากสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก กองทัพบก เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ เมื่อวันที่ 12 เม.ย.54 เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายจตุพร พรหมพันธุ์นั้น เป็นการแจ้งความเท็จใช่หรือไม่

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชามีคำสั่งให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายจตุพรก็ต้องถือว่าเป็นใช้อำนาจหน้าที่อันมิชอบเพื่อกลั่นแกล้งให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงใช่หรือไม่

ดังนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์จึงมีสิทธิอันสมบูรณ์ที่จะฟ้องกลับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกองทัพบกในข้อหาหมิ่นประมาทได้ใช่หรือไม่

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่มั่นใจในประจักษ์พยานจากคำพูดของนายจตุพร พรหมพันธุ์ว่ามีความผิดจริง คงไม่กล้าตัดสินใจนำกองทัพบกเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะต้องไม่ลืมว่า การฟ้องร้องครั้งนี้ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบจากนายทหารพระธรรมนูญซึ่งจัดเจนข้อกฎหมายไม่แพ้ใครเช่นกัน

ทว่า เมื่อคดีกลับตาลปัตรเช่นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไปจัดการกับสำนักงานพระธรรมนูญทหารบกโทษฐานที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

ขณะที่บรรดานายทหารจากกองทัพบกที่พากันตบเท้าสำแดงพลังไม่พอใจนายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็คงต้องตบเท้ากันครั้งใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความเป็นทหารของพระราชาหรือทหารของพระราชินี หากแต่เป็นการตบเท้าพร้อมกันทั่วประเทศเพื่อ “ขอโทษ” ที่เข้าใจผิดและได้ล่วงเกินนายจตุพร พรหมพันธุ์

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่จะต้องกล่าวคำขอโทษนายจตุพร พรหมพันธุ์ออกมาจากปากให้สาธาณชน โดยเฉพาะมวลชนคนเสื้อแดงได้ยินได้ฟังกันอย่างทั่วถึง

ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล้าเอ่ยคำขอโทษนายจตุพร พรหมพันธุ์หรือกล้ามีคำสั่งให้แม่ทัพนายกองยอมรับผิดที่ได้กระทำการล่วงเกินนายจตุพร พรหมพันธุ์หรือไม่

ขณะที่ตัวนายธาริตเอง ในความเป็นจริงแล้วก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรนักว่า ทำไมเขาถึงได้ตัดสินใจใช้นามสกุลใหม่ว่า “เปลี่ยนสี” ได้อย่างหนักแน่นและมั่นคงเช่นนี้ เพราะก่อนหน้าคดีนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายธาริตก็สำแดงให้เห็นถึงการยอมสยบยอมต่ออำนาจของระบอบทักษิณอย่างยินยอมพร้อมใจมาแล้ว

ทั้งนี้ กล่าวสำหรับนายธาริตนั้น ก่อนหน้านี้ ครั้งหนึ่งชื่อนี้เคยเป็นชื่อที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงหมายหัวเป็นศัตรูเอาไว้เป็น ชื่อแรกๆ เลยก็ว่าได้

เรียกว่า ถ้าเอ่ยชื่อนายธาริตขึ้นมาเมื่อใดแล้ว สำหรับกลุ่มคนเสื้อแดงเรียกว่าผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันเลยทีเดียว และยังไม่นับว่าครั้งหนึ่ง เขาเคยเป็นลูกมือคนสำคัญ ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งรบกับคนเสื้อแดงกลางเมืองอีกต่างหาก

แต่จนถึงเวลานี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ของคนเสื้อแดงบริหารประเทศมาร่วม 10 เดือน ถึงแม้รัฐบาลบาลยิ่งลักษณ์ จะล้างบางข้าราชการการเมืองแทบจะทุกรายกระทรวงแล้ว แต่จนแล้วจนรอด ชื่อของนายธาริตก็ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้อย่างมั่นคงดุจเดิม และที่ต้องขีดเว้นใต้ก็คือจากหอกข้างแคร่ตัวเป้งของ นายใหญ่ นช.ทักษิณ ชินวัตร ในอดีต แต่มาถึงวันนี้แล้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เป็นนายธาริต คนเดิมที่ได้โชว์ผลงานเข้าตาตระกูลชินวัตร แบบหาใครมาเสมือนมิได้ เพราะได้โชว์ผลงานปัดเป่าคดีของคนเสื้อแดงให้ยุติลงแบบไม่มีความผิดหลายต่อหลายคดี

ทั้งนี้ นอกจากการโชว์ผลงานชินโบแดงด้วยการลงทุนปัดเป่าเสกคาถา ด้วยการสั่งไม่ฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำเสื้อแดง ในคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ซึ่งคงต้องบอกว่าแทบจะเป็นการประเคนปูพรมแดง ฟอกผิดให้นายจตุพรชนิดหมดจรดตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว ที่ผ่านมาอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษผู้นี้ ยังโชว์ผลงานการเปลี่ยนสีให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง

ที่ต้องขีดเส้นใต้ ก็คือผลงานชินโบแดงในคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ที่มีการร้องเรียน ให้ตรวจสอบและการดำเนินคดีอาญากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ฐานร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งควรจะแจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนในสาระสำคัญ (ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น) ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์มาตรา 278 และให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งครั้งหนึ่ง ในคดียึดทรัพย์ นช.ทักษิณ 46,000 ล้านบาท ศาลฎีกาฯวินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น”นอมินี”หรือผู้ถือหุ้น บริษัท ชินคอร์ป 20 ล้านหุ้น แทน นช.ทักษิณซึ่ง นช.ทักษิณโอนให้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543

ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับเงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ปตั้งแต่ปี 2546-2548 รวม 6 งวด เป็นเงินรวม 97.49 ล้านบาท โดยงวดที่ 3-6 ปี 2547-2548 เป็นเงิน 70.1 ล้านบาทนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์” ใช้เช็คเงินสด 42 ฉบับ ถอนเงินสดๆ ออกจากบัญชีครั้งละ 1 ล้าน 1.5 ล้าน และ 2 ล้านบาท ฯลฯ ติดต่อกันเกือบทุกวัน จนหมดทุกครั้ง

น.ส. ยิ่งลักษณ์ เคยอ้างว่า นำเงินไปใช้ เช่น ซ่อมบ้าน สร้างสระว่ายน้ำ ซื้อเครื่องประดับ ซื้อเงินตราต่างประเทศฯลฯ แต่ไม่มีหลักฐาน(การจ่ายเงิน-ใบเสร็จรับเงิน)ใดๆไปแสดงต่อศาลฎีกาฯว่า ทำให้ศาลวินิจฉัยว่า คำให้การของ “ยิ่งลักษณ์” รับฟังไม่ได้

แต่มาถึงวันที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มลทินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ถูกปัดเป่าเสกคาถา โดย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ นั่นเอง

การทำงานก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับรัฐบาล ตั้งแต่การสนองนโยบายปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะการล้างบางสารซูโดอีเฟดรีน ช่วยให้นโยบายนี้กลายเป็นนโยบายรัฐบาลที่ถูกใจประชาชนมากที่สุดจากการสำรวจของโพล หลายสำนัก เป็นอันว่าความบาดหมางในอดีตที่ดีเอสไอเคยฝากเอาไว้ได้ถูกลบออกจากความทรงจำเป็นที่เรียบร้อย

ไม่เว้นแต่ คดีผังล้มเจ้า ดีเอสไอมีความเห็นสั่งยุติการตรวจสอบดื้อๆ โดยให้เหตุผลว่า “ไม่มีพยานยืนยันชัดเจนการกระทำผิด ทั้ง 39 คน... หากอนาคตพบการกระทำผิด จะนำสำนวนกลับมาสอบสวนต่อได้”

...ถึงวันนี้จากคนที่ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบของ นช.ทักษิณ พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง มาวันนี้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์....กำลังจะกลายเป็น “มือที่ขาดไม่ได้” สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคนเสื้อแดงไปเสียแล้ว
นายธาริต เพ็งดิษฐ์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กำลังโหลดความคิดเห็น