xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เปิบพิสดาร แม่โอ๊ค นางรำ แพงแค่ชื่อผี ข้าวร้านนี้ไม่มีแพง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หากจะกล่าวถึงเรื่องประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ณ นาทีนี้ สำหรับประชาชนคนไทย ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องข้าวยากหมากแพง ที่ประชาชนตาดำๆ ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งอยู่ในขณะนี้ เพราะไม่ว่าจะกวาดสายตาไปทางไหน สินค้าอุปโภคบริโภคแทบทุกชนิดก็ดาหน้าพาเหรดกันขึ้นราคากันอย่างหนักหน่วง ซึ่งคงจะกล่าวได้ว่าพากันเดือดร้อนกันไปทั้งแผ่นดิน ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ทั้งนี้ คงไม่ใช่เรื่องแปลกใจนักหากจะถูกบรรดาฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ดาหน้าออกมาแฉถึงราคาสินค้าในแต่ละชนิดว่าไต่ระดับขึ้นไปมากเพียงใด และหากจะกล่าวถึงวิธีการแก้ปัญหาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เรียกว่าทำเอาประชาชน แม่ค้าพ่อค้าร้านตลาดละเหี่ยใจไปตามกัน เพราะระดับผู้นำประเทศอย่างนายกรัฐมนตรีแก้บน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้ออกมาแค่พูดประโยคแทงใจดำคนไทยทั้งประเทศแบบแสนสาหัสไปกว่าเดิมว่า "คิดไปเอง"

และนี่คงจะปฏิเสธไม่ได้ถึงการบริหารประเทศในเชิงเศรษฐกิจของ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่ามีความบรมห่วยในการบริหารจัดการปัญหาข้าวยากหมากแพงเพียงใด ถือว่าเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถึงขนาดว่าถูกผู้คนทั่วบ้านทั่วเมืองล้อเล่นเอาไปเป็นมุขแสบๆคันๆ กันสนุกปากว่า "เมื่อก่อนเคยฝันว่าจะได้ทานอาหารแพงๆ ขอบคุณนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ทำให้ฝันเป็นจริง"

แต่แล้วใครจะไปคาดคิดว่าวันดีคืนดีที่รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ง่อยเปลี้ยเสียขา ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ใครจะไปเชื่อว่าจะมีฮีโร่ขี่ม้าขาวออกมากู้หน้า ซึ่งนั้นไม่ใช่คนอื่นไกล ก็คือ เสี่ยโอ๊ค-นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลชินวัตร หลานในไส้ของอาปูที่นึกคึกออกมาสวมวิญญาณเชลล์ชวนชิม แม่ช้อยนางรำ ออกตระเวนเชิญชวนพาไปกินอาหารราคาถูกๆ อย่างที่เขาได้กล่าวอ้างเสียยกใหญ่

'โอ๊ค จานทองแท้' ลุยเปิบพิสดาร

ทั้งนี้ นายพานทองแท้ ได้เริ่มปฏิบัติการพาทัวร์กู้หน้ารัฐบาลของ อาปูสุดเลิฟ ด้วยการโพสต์ข้อความลงใน @ Oak Panthongtae Shinawatra ในหัวข้อ"ของดีราคาถูกหน้าพรรค ปชป." ระบุว่า "วันนี้ผมได้มีโอกาสไปทานอีกร้านนึงที่มีผู้แนะนำมาพอดีกำลังจะไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่เชียงใหม่ เลยถือโอกาสแวะทานก่อนไปขึ้นเครื่อง เป็นร้านข้าวหมูแดง-หมูกรอบ โฆษณาให้เลยครับ ชื่อร้าน "ชูจันทร์" ผมลองทานแล้วอร่อยมากและราคาเพียง 30 บาท"

"ที่น่าสนใจและอาจเป็นประเด็นการเมืองเล็กน้อยคือ ร้านนี้อยู่หน้าพรรคประชาธิปัตย์ครับ ก็เหลือเชื่อนะครับ ของดีราคาถูกอยู่ใกล้ๆกลับไม่มีใครพูดถึง พูดกันแต่แพงๆๆ"

"ผมคิดว่าถ้าเราฉลาดที่จะเลือกร้านให้ดีๆและนำมาบอกกันแชร์กันอย่างนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนมากกว่านะครับผมขอไปขึ้นเครื่องก่อนเดี๋ยวถึงเชียงใหม่แล้วจะหาร้านดีๆ มาแนะนำกันอีกครับ"

ต่อมา นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ จึงโพสต์ข้อความถล่มกลับไปในทันทีทันควันผ่านเฟซบุ๊กว่า "เห็นคุณโอ๊คพานทองแท้โพสต์ในเฟซบุ๊กว่าแวะไปกินข้าวหมูแดงที่ร้านชูจันทร์ ข้างๆพรรคประชาธิปัตย์ โดยป้ายเขียนราคาใว้ที่ 30-40 บาท แต่คุณโอ๊คซื้อได้ในราคา 30 บาท ก็เลยเชิญชวนคนมากินร้านนี้ เสียดายทำไมคุณโอ๊คไม่รายงานของที่มันขึ้นราคา อย่างเช่นราดหน้าร้านชูจันทร์ ปรับราคาขึ้นเป็น 35 บาท เริ่ม 1 พ.ค. 55 บ้างล่ะครับ หรือมองไม่เห็น กรุณาให้ข้อมูลทุกด้านหน่อยครับ"

จากนั้นนายพานทองแท้ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า "แตะการเมืองนิดเดียวได้รับเกียรติทันทีเลยครับแต่ผมคงไม่ใช้สิทธิพาดพิงไปโต้อะไรกับใครแบบที่เราเห็นประจำในสภานะครับ แต่อยากจะสื่อสารกับแฟนเพจว่า สิ่งที่เราร่วมกันแชร์คือ"ของดีราคาถูก" ครับ ใครเจออะไรถูกและดีก็มาแชร์กัน ผมถึงได้ระบุชัดเจนในโพสที่แล้วไงครับว่า "ถ้าเราฉลาดที่จะเลือกร้านให้ดีๆ และนำมาบอกกันแชร์กันอย่างนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน" เมนูร้านมีเป็นสิบๆอย่างเขาติดป้ายขึ้นราคาราดหน้าอย่างเดียวเป็น35 บาท ก็จ้องแต่จะพูดถึงอย่างเดียวเนี่ยนะครับแบบนี้คงต้องบอกเพิ่มอีกละครับว่าฉลาดเลือกร้าน แล้วก็ช่วยฉลาดเลือกเมนูที่เขาไม่ขึ้นราคาด้วยนะครับ เฮ้อ"

ทำเอากลายเป็นวิวาทะผ่านเฟซบุ๊กระหว่างนายพานทองแท้ ชินวัตร กับ นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไปเรียบร้อย ประเด็นว่าด้วยราคาข้าวหมูแดง 30 บาทถูกสุดๆ ในสายตาลูกมหาเศรษฐี ที่นำมาเปิดประเด็นผ่านโลกออนไลน์ ทำนองเย้ยหยันว่า พรรคประชาธิปัตย์เอาแต่พูดเรื่องของแพง แต่ไม่ฉลาดที่จะเลือกกินของถูกที่อยู่ใกล้พรรคตัวเองแค่คืบ

**ชวนนั่งเครื่องบิน กินก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 บาท

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าปฏิบัติกู้หน้ารัฐบาลปูแดงของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตระกูลชินวัตรไม่ได้หมดลงแค่นั้น เพราะไม่นานนักเขาก็ได้ลงทุนลงแรงไปถึง จังหวัดเชียงใหม่ ประจวบเหมาะกับการไปช่วยหาเสียงให้นายเกษม นิมมลรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคเพื่อไทยได้แวะรับประทานอาหารที่ "ร้านก๋วยเตี๋ยว 3 บาท" ถนนรัตนโกสินทร์ ซอย 1 ต.วัดเกตุ อ.เมืองเชียงใหม่
 
สำหรับร้าน"ก๋วยเตี๋ยว 3 บาท" แห่งนี้เปิดมาเกือบ 23 ปี แล้ว ขายก๋วยเตี๋ยวหมูราคาชามละ 3 บาท ข้าวซอยราคา 15 บาท สำหรับกาแฟ โอเลี้ยง ชาเย็น แก้วละ 3 บาท ส่วนน้ำเปล่าและผักฟรีไม่อั้น

หลังจากนั้น นายพานทองแท้จึงได้โพสต์ข้อความอีกครั้งหนึ่งว่า ที่มารับประทานร้านก๋วยเตี๋ยว 3 บาทนั้น ความจริงไม่อยากช่วยใครแค่อยากบอกว่าถ้าบอกว่าของแพง ทำไมไม่หาของถูกรับประทานบ้าง ถ้าร้านไหนขายแพงลูกค้าก็หายไปเอง หากร้านไหนราคาสมเหตุสมผล ก็จะแนะนำให้ไปรับประทานกันดู ทำด้วยเจตนาดีล้วนๆ หากไปกระทบหรือทำร้ายใคร ก็ขอโทษแล้วกัน และสิ่งที่ทำไม่ได้เปรียบเทียบว่าอะไรแพงอะไรถูก เพียงแนะนำแฟนคลับว่า ของดีของถูกมีที่ไหนบ้าง เป็นการแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่อยากนำเรื่องดังกล่าวไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองเลย

"ส่วนตัวผมมักจะรับประทานอาหารในรถ มาหาเสียงช่วยให้นายเกษม ก็กินข้าวเหนียวในรถเป็นคนกินง่ายมาก อาหารพื้นเมืองที่ชอบ เช่นแอ๊บอ่องออ ขนมจีนน้ำเงี้ยว น้ำหนังน้ำผัก เพราะคุณพ่อเป็นคนเชียงใหม่ เลยกินของพื้นเมืองตั้งแต่เด็ก อยากแนะนำแฟนเพจ และนักท่องเที่ยวมาชิมอาหารพื้นเมือง รับรองว่าลำแต๊ๆ (อร่อยมาก)"นายพานทองแท้กล่าว

"หลังโพสต์ข้อความ มีแฟนคลับเสนอให้ทำรางวัลจานทองแท้ มอบให้กับร้านอาหารที่ราคาประหยัด มีคุณภาพและมาตรฐาน แต่ยังไม่คิดจะทำตรงนั้น และไม่อยากทำตัวให้เป็นข่าวมากมายความจริงอยากสื่อสารกับแฟนเพจ แต่มีแฟนคลับเข้ามาให้คำแนะนำและเสนอทำรางวัลดังกล่าว"นายพานทองแท้กล่าว

... พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ต้องบอกว่าทำเอาประชาชนทั้งประเทศตลกไม่ออกเป็นแน่แท้ ที่จะให้ นายพานทองแท้ ลงทุนไปแจกรางวัลจานทองแท้ ให้กับร้านอาหารที่ราคาประหยัด มีคุณภาพและมาตรฐานให้ทั่วทั้งประเทศ ซึ่งคงต้องบอกว่าเป็นการโชว์รอยหยักในสมองอีกครั้งหนึ่งของ นายพานทองแท้ หลังจากได้โชว์สติปัญญาในการช่วยประคับประคองรัฐนาวาของอาปูสุดเลิฟมาหลายครั้งแล้ว

เพราะในความเป็นจริงแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยว 3บาท ก็เปิดมานมนานกว่า 23 ปี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างดีของคนเชียงใหม่ว่าเป็นร้านที่ได้ชื่อว่าถูกที่สุดมาตั้งนานแล้ว คงไม่ต้องรบกวนชื่อเสียงอันใหญ่คับฟ้าของตระกูลชินวัตร มาช่วยประดับบารมีร้านให้มากขึ้นไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ

แน่นอน สิ่งที่นายพานทองแท้ พยายามจะสื่อก็คือ พยายามสร้างภาพให้เห็นว่ายังมีร้านค้าขายของราคาถูกอยู่ ไม่ได้แพงไปทั้งแผ่นดินอย่างที่ประชาชนทั้งประเทศรู้สึก แต่นั้นก็ไม่ได้ต่างจากการโชว์กึ๋นของตัวเองให้มากขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะหากจะตั้งคำถามและตรรกะที่สุดแสนง่ายไม่ซับซ้อนก็คือ จะให้ประชาชนลงแรงถ่อไปรับประทานข้าวร้าน ชูจันทร์ หรือ ร้านก๋วยเตี๋ยว 3 บาท อย่างเดียวอย่างนั้นหรือ เพราะใครก็คงไม่บ้าจี้ ถ่อไปกินข้าวย่านอื่นที่ไกลบ้านหรือที่ทำงานตัวเอง ครั้นจะลงทุนไปหางานอาหารถูกอย่างที่ นายพานทองแท้แนะนำ ซึ่งก็ต้องแลกด้วยเวลาและค่าเดินทางที่จะต้องบวกเข้าไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้

และความจริงอันโหดร้ายอีกประการหนึ่งที่ นายพานทองแท้พยายามแนะนำให้ประชาชนไปหาร้านข้าวราคาถูกรับประทาน ก็ไม่ต่างจากการออกมาโชว์รอยหยักในสมอง แก้ปัญหาชนิดแก้ผ้าเอาหน้ารอดเลยแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ เพราะหากนายพานทองแท้ ยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้างก็น่าจะทราบ เป็นอย่างดีว่า ราคาข้าวแกง อาหารตามสั่ง ไม่ได้ถูกอย่างที่ นายพานทองแท้เข้าใจ ยกตัวอย่าง ราคาอาหารตามสั่งยืนพื้นก็ตกราคาปาเข้าไปจานละ 30-35 บาท ทั้งที่แต่ก่อน ราคาตกอยู่ที่จานละ 25 -30 บาทเท่านั้น และโปรดอย่าได้ถามถึงปริมาณหากเทียบกับสมัยก่อนรับรองได้เลยว่า ไม่มีร้านค้าส่วนใหญ่ของประเทศ กล้าให้ปริมาณที่ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์เหมือนแต่ก่อนอย่างแน่นอนเพราะวัสดุแต่ละชนิดที่ใช้ทำอาหารก็ได้พาเหรดขึ้นกันอย่างหนักหน่วงแทบจะทุกอย่าง

ดังนั้น นี่จึงเป็นวิธีคิดที่ต้องบอกว่าสะท้อนให้เห็นถึงระดับสติปัญญาของนายพานทองแท้อีกหนึ่งครั้งว่าคงจะคิดได้เพียงเท่านี้จริง และคงต้องถามกลับว่าจะมีประชาชนกี่คนที่จะมานั่งหาร้านอาหารราคาถูกที่อยู่สถานที่ไกลบ้านและที่ทำงานตัวเอง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยก็มิได้เกิดมาบนกองเงินกองทองเหมือนนายพานทองแท้ ที่จะว่างบินโฉบไปโฉบมาสรรหาของกินราคาถูก ดังเช่นลูกมหาเศรษฐีเหมือนกับเจ้าตัวทำโชว์อยู่ในขณะนี้

ที่สำคัญคือถ้าข้าวของราคาไม่แพงจริง รัฐบาลอาปูของหลานโอ๊คคงไม่ไปอ้อนวอนร้องขอให้ภาคธุรกิจเอกชนตรึงราคาสินค้า รวมทั้งผุดสารพัดมาตรการออกมาแก้ปัญหา ทั้งนี้อนุมัติงบประมาณตั้ง 1,320 ล้านให้กระทรวงพาณิชย์ไปทำ "ร้านถูกใจ" ตั้งเป้าเปิด 10,000 ร้านทั่วประเทศก็แล้ว สั่งให้ตรึงราคาพลังงาน ตรึงค่าไฟฟ้า ก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น คนยังรู้สึกว่า ของแพงอยู่ดี

'ปู'โชว์งั่ง แพงทั้งแผ่นดิน แก้ไม่ได้

แน่นอน ถ้าไม่เป็นการปัดสวะเบี่ยงเบนประเด็นแบบโชว์โง่ของนายพานทองแท้เกินไปนัก หากมองด้วยความเป็นธรรมแล้ว ปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้ประชาชนตาดำๆ เผชิญกับยุคข้าวยากหมากแพงอย่างแสนสาหัส ก็หนีวิธีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นเอง

การจะแถไถตามสไตล์ของ 'พานทองแท้ ' ว่าข้าวของและอาหารการกินไม่ได้แพงอย่างที่เล่าลือกันนั้นเห็นจะไม่ได้ เพราะหากดูข้อมูลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนก็จะพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ล้วนประสานเสียงโดยพร้อมเพรียงกันว่าขณะนี้พวกเขาได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาของแพงจริง อาทิ ผลการสำรวจของสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในทุกสาขาอาชีพพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ถึง 58.64% รู้สึกว่าข้าวของแพง ค่าครองชีพสูง ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก ขณะที่ ประชาชน “ไม่พึงพอใจรัฐบาล” คือ การควบคุมราคาสินค้า การแก้ปัญหาของแพงถึง 59.08 %

ส่วนทางด้านนักวิชาการ อย่าง นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) ก็ออกมาเปิดเผยว่าจากการตรวจสอบพบว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงเดือน ม..ค. -มี.ค.ปีนี้ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน จะมีค่าอยู่ระหว่าง 7.8 -8.2 % จึงสรุปได้ว่า ปัญหาของแพงเป็นเรื่องจริง ไม่ได้คิดไปเอง อีกทั้งพบว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบจากปัญหาของแพงมากกว่าผู้มีฐานะดีถึงเท่าตัวเลยทีเดียวง

ขณะที่มาตรการในการแก้ไขปัญหาสินค้าที่รัฐบาลออกมานั้นล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆได้ ทั้งนี้ ผลวิเคราะห์จากศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พบว่ามาตรการเฉพาะหน้า ที่รัฐบาลออกมาเพื่อแก้ปัญหาในระยะสั้นนั้น มาตรการที่น่าเป็นห่วง คือ โครงการธงฟ้า และร้านถูกใจ ส่วนมาตรการที่เป็นประโยชน์ในระดับหนึ่งได้แก่การตรึงราคาพลังงาน ซึ่งสาเหตุที่โครงการธงฟ้าอยู่ในอาการน่าเป็นห่วงเนื่องจากปัญหาค่าครองชีพเกิดขึ้นทั้งประเทศ แต่โครงการธงฟ้าแก้ปัญหาในบางพื้นที่ เมื่อเทียบสัดส่วนกับผู้ที่เดือดร้อนทั้งหมด คนที่ได้ประโยชน์จากโครงการมีไม่มากนัก อาทิ การสำรวจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่ามีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวมีไม่เกิน 5-10 % ของผู้ที่ได้รับความเดือนร้อนทั้งหมดเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว แม้ราคาอาหารอาจจะถูกกว่าจริง แต่เมื่อรวมต้นทุนค่าเดินทางและค่าเสียโอกาสจากการรอคอยเข้าไปด้วย ค่าใช้จ่ายรวมในการซื้ออาหารแต่ละมื้ออาจแทบไม่ต่างกับการไปซื้ออาหารที่อื่น

ส่วนปัญหาของโครงการร้านถูกใจ คือการขาดทักษะในการบริหารจัดการของผู้ดูแลโครงการและเจ้าของร้าน หากเป็นข้าราชการดูแลกันเอง ก็น่าเป็นห่วง เพราะการจะเปิดร้านขายสินค้าแบบแฟรนไชส์ ผู้ดูแลต้องสามารถมองธุรกิจในภาพรวมได้ มีความรู้ในเรื่องระบบโลจิสติกส์เป็นอย่างดี เจ้าของร้านต้องได้รับการฝึกอบรมการทำงาน หากเร่งเปิดร้านโดยที่เรื่องเหล่านี้ยังไม่พร้อม ก็จะมีจุดจบเหมือนร้านสะดวกซื้อหลายๆ รายก่อนหน้านี้

"ต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าจะตั้งร้านที่ไหน ก็ต้องแข่งกับร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ ซึ่งให้บริการดีกว่า มีการวางระบบการทำงานที่ชัดเจน เป็นที่คุ้นเคยของคนในพื้นที่ และมีต้นทุนการขายสินค้าต่อชิ้นที่ต่ำ ร้านค้าปลีกที่สมัครเข้าโครงการนี้ ส่วนใหญ่มีความสามารถในการแข่งขันกับร้านสะดวกซื้อต่ำอยู่แล้ว จึงน่าเป็นห่วงว่า สุดท้ายอาจกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ระบุ

เมื่อมาตรการต่างๆที่ออกมา นั้นถูกมองว่าเป็นเพียง 'ขายผ้าเอาหน้ารอด' ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมราคาสินค้า โครงการธงฟ้าราคาประหยัด หรือโครงการร้านถูกใจขายถูกทั้งแผ่นดิน ล่าสุดกรมการค้าภายในจึงได้เชิญผู้ประกอบการสินค้าทั้งกลุ่ม 200 กว่าราย มารับทราบนโยบายในการขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าเป็นระยะเวลา 4 เดือน ซึ่งแม้ผู้ประกอบการรายใหญ่จะยืนยันว่าสามารถจะตรึงราคาได้ถึงไตรมาส 2-ไตรมาส 3 แต่ก็แย้งว่ารัฐบาลไม่ควรแก้ปัญหาโดยเรียกร้องให้ผู้ประกอบการตรึงราคาแต่เพียงอย่างเดียว ทั้งๆที่ต้นทุนด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิต ค่าแรง รวมทั้งพลังงานที่ใช้ในการผลิตล้วนปรับตัวสูงขึ้นทั้งสิ้น

โดยนายวิชัย อัศรัสกร กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า “ ทุกรัฐบาลใช้วิธีการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง โดยขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนตรึงราคามาโดยตลอด นับตั้งแต่ขอความร่วมมือตรึงราคาจนถึงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 41 แล้ว ซึ่งเอกชนที่สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ก็พร้อมที่จะช่วย แต่ที่ตรึงไม่ได้ รัฐต้องเปิดทางให้มีการหารือ โดยเฉพาะหลังจากพ้นระยะ 4 เดือนไปแล้วก็ต้องไม่มาขอให้ตรึงราคาอีก ควรจะปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน สินค้าตัวไหนต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งจากค่าแรง ค่าพลังงาน และค่าไฟ ก็ต้องให้ปรับขึ้น แต่การปรับขึ้นต้องไม่เกินไปกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น” (อ่าน...แก้ของแพงแบบขอไปที รัฐบาล"ปู"ทำได้แค่นี้จริงๆ หน้า 24)

ใช้ กม.จี้ร้านข้าวแกง เป็นสินค้าควบคุม

เมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้รัฐบาลปูก็ใช้วิธีเอากฎหมายมาข่มขู่ผู้กระกอบการรายย่อย โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าที่ขายอาหารปรุงสำเร็จ หรือร้านข้าวแกง โดยรัฐบาลพยายามจะออกเป็นมติ ครม.เพื่อกำหนดให้ข้าวแกงอยู่ในรายการสินค้าควบคุม โดยให้ขายในราคาจานละไม่เกิน 20-35 บาท แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านทานเสียงก่นด่าจากมวลมหาประชาชนได้ จึงต้องยกเลิกแนวคิดดังกล่าวไปในที่สุด

ทั้งนี้จากการสำรวจความเห็นของบรรดาผู้ค้าข้าวแกงพบว่าหลังจากที่รัฐบาลจะประกาศควบคุมราคาข้าวแกง 10 เมนูหลัก โดยจะให้ขายในราคาไม่เกินจานละ 20-35 บาทนั้น เป็นการสวนทางกับความเป็นจริงในสภาวะเศรษฐกิจสินค้าทุกชนิดที่แพงขึ้น โดยเฉพาะวัตถุดิบในการผลิตข้าวแกงขายปรับขึ้นราคามาก่อนหน้านี้แล้วเกือบเท่าตัวทำให้พ่อค้าแม่ค้าทั้งแกงถุง ข้าวแกง อาหารตามสั่ง จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาข้าวแกงเป็นจานละ 35-40 บาทเนื่องจากทนสภาพของวัตถุดิบที่ราคาแพงไม่ไหว

นายสุรพล นมรักษ์ พ่อค้าร้านขายข้าวแกง ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนบึงสีไฟ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะใช้มาตรการควบคุมราคาของร้านข้าวแกง หรือร้านอาหารตามสั่งให้ขายในราคาเพียงจานละ 25-30 บาทนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าหากมีวัตถุดิบต้นทุนต่ำก็จะสามารถขายถูกได้ แต่ถ้าตราบใดที่สินค้าอุปโภค-บริโภค ยังขึ้นราคาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายก็ไม่อาจขายตามราคาที่รัฐบาลกำหนดได้

ท้ายที่สุดรัฐบาลจึงต้องจำใจใช้มาตรการควบคุมราคาพลังงาน ซึ่งจริงๆแล้วควรเป็นมาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้ตั้งแต่แรก เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีว่าต้นทุนด้านพลังงานนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าทุกชนิดและทุกขั้นตอนการผลิตมีต้นทุนที่สูงขึ้นและจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาในที่สุด ที่สำคัญการควบคุมราคาพลังงานยังเป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ง่ายแค่พลิกฝ่ามือ เนื่องจากกระทรวงการคลังนั้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ที่สุดของไทย อีกทั้งตัว ปตท.เองก็มีกำไรปีละนับหมื่นล้านบาท จึงสามารถนำกำไรดังกล่าวมาเกลี่ยเพื่อให้ราคาพลังงานถูกลง

โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้มีการตรึงราคาพลังงานไว้ก่อน และชะลอในส่วนที่กำลังจะปรับขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน รวมถึงให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องลงไปแก้ไขปัญหาของแพงอย่างเร่งด่วน

ขณะที่ นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)ว่า ที่ประชุม กบง. เห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพิจารณาให้คงอัตราราคาขายปลีกก๊าซเอ็นจีวี ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) และให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ

สำหรับก๊าซแอลพีจีที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 2.80 บาทต่อ กก. ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นไป เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อรอผลการศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซเอ็นจีวีแล้วเสร็จ

"กบง.เห็นชอบแนวทางการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นโดยที่ประชุมเห็นชอบให้สนับสนุนเงินกองทุนน้ำมันฯในกรชดเชยราคาน้ำมันแก๊ซโซฮอล์ที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง ในวงเงิน 180 ล้านบาท และอนุมัติเงิน 13,584 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 เดือนให้กรมธุรกิจพลังงานใช้ในโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบส่งออกแอลพีจีด้วย"นายอารักษ์ ระบุ

ส่วนมาตรการดังกล่าวซึ่งถือเป็น 'ไม้ตาย' ขั้นสุดท้ายของรัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่องยาวนานและสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาสินค้าแพงได้จริงหรือไม่ เราๆท่านๆคงต้องจับตาดูกันต่อไป !

แต่ที่แน่ๆ วิธีการแก้ปัญหาคงไม่ใช่แค่ปฏิบัติการ 'โอ๊คชวนชิม' ที่ขับฟอร์รารี่ หรือนั่งเครื่องบินไป ตระเวนไปกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 เพื่ออวดอ้างกับชาวบ้านว่าราคาอาหารในบ้านเรานั้น “ถูกทั้งแผ่นดิน” !!



กำลังโหลดความคิดเห็น