xs
xsm
sm
md
lg

โพลตบหน้าปู ของแพง!ไม่ได้คิดไปเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-"ยิ่งลักษณ์" อ้างอากาศร้อน ทำของแพง ยันสินค้ามีแนวโน้มราคาถูกลง"เด็จพี่"โทษ ปชป.ปล่อยข่าวของแพง ทำให้เกิดอุปทานหมู่ "ชวนนท์" กางตัวเลขราคาน้ำมันตลาดโลก ยันราคาน้ำมันดิบยุค "มาร์ค"สูงกว่า แต่ราคาน้ำมันในประเทศต่ำกว่าทุกชนิด แฉแพงทั้งแผ่นดิน เหตุรัฐลอยตัวแอลพีจี เอ็นจีวี เพราะ"กลไกตลาดโลภ" คำนวณชัด สิ้นปี 55 ปตท. ฟันรายได้เพิ่มกว่า 2 หมื่นล้าน แขวะ นายกฯ อากาศร้อนจนต้องโกหกประชาชน โพลตอกหน้าปูยันของแพงจริงไม่ใช่รู้สึกไปเอง

วานนี้ (6 พ.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาสินค้าราคาแพง ที่ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีลงพื้นที่สำรวจตลาดต่างๆว่า ยังไม่ได้รับรายงานทั้งหมด แต่เท่าที่ได้รับรายงานบางส่วน หลายพื้นที่เกิดปัญหาราคาสินค้าไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่มีแนวโน้มถูกลง แต่ย่านสมุทรปราการ ที่ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม ลงพื้นที่ที่มีปัญหาโดยเฉพาะราคาผักเนื่องจากอากาศร้อน ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงเรื่องของอุปสงค์ อุปทาน ราคาน้ำมัน ทำให้มีผลกระทบต่อราคาสินค้า ประกอบกับเป็นช่วงฤดูร้อน ทำให้ผักเสียได้ง่ายส่งผลให้ราคาไม่นิ่ง

ส่วนราคาสินค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กับต่างจังหวัดที่มีราคาแตกต่างกันนั้น อยู่ที่ต้นทุนราคาสินค้า บางพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาน้ำท่วม ก็ไม่มีปัญหาเรื่องราคา ขณะนี้กำลังสำรวจว่าพื้นที่ไหนที่มีปัญหาบ้าง จนถึงขณะนี้ ยืนยันว่าสินค้ามีแนวโน้มถูกลง แต่ยอมรับว่าราคาพลังงานสูงขึ้น ต้องไปตรวจสอบว่าราคาสินค้าไม่ได้ขึ้นตามราคาพลังงาน เป็นสาเหตุมาจากอะไร เช่น พลังงานปรับราคาเพียงเล็กน้อย แต่ราคาสินค้าปรับขึ้นมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนายกรัฐมนตรี ได้ติดตามสถานการณ์ ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดแล้ว นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะได้เดินทางไปยังตลาดมายอง จ. ระยอง เพื่อตรวจสอบราคาสินค้า ซึ่งที่ตลาดดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นสินค้าโอทอป และผัก ผลไม้ ที่มีตามฤดูกาล

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สินค้าส่วนใหญ่ไม่แพงอย่างที่คิด และเชิญชวนให้ประชาชนหันมาซื้อสินค้าภายในประเทศ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้ ซื้อทุเรียนทอด และทุเรียนสด กลับกทม.ด้วย ขณะเดียวกัน มีประชาชน เอาเงาะ และมังคุด มามอบให้นายกรัฐมนตรีด้วย

** โวยปชป.ปล่อยข่าวของแพง

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีการบริหารงานของรัฐบาล ส่งผลทำให้สินค้าราคาแพง ว่า เรื่องของแพงเป็นเรื่องอุปทานหมู่ ของประชาชน ที่มีขบวนการปล่อยข่าวว่าสินค้าแพงทำให้ชาวบ้านตกใจ เบื้องต้นตั้งคณะกรรมการตรวจสอบของแพง หากรับเรื่องร้องเรียน จะเข้าตรวจสอบทันที ส่วนตัวว่าเป็นเรื่องการเมือง

** ปชป.ยกตัวเลขเปรียบเทียบจับโกหก

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวที่พรรค พร้อมนำตารางเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ในวันที่ 5 พ.ค.55 เปรียบเทียบกับราคาน้ำมัน วันที่ 10 พ.ค. 54 เพื่อจับโกหก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าไม่พูดความจริงกับประชาชน โดยจากตารางดังกล่าว พบว่า ราคาน้ำมันในปี 54 อยู่ที่ 103.88 ดอลล่าร์สหรัฐ ต่อ บาเรล ส่วนปี 55 อยู่ที่ 102.54 ดอลล่าร์สหรัฐ ต่อบาเรล แต่ราคาน้ำมันทุกชนิดในขณะนี้ กลับสูงกว่าปีที่แล้ว ทั้งที่ต้นทุนในตลาดโลกลดลง ทั้งนี้ เป็นผลจากนโยบายพลังงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันทั้งสิ้น เนื่องจากรัฐบาลมี มติครม.วันที่ 4 ต.ค. 54 ให้ปรับราคาแอลพีจี เดือนละ 75 สตางค์ เอ็นจีวี เดือนละ 50 สตางค์ ทุกวันที่ 16 ของเดือน จนถึงสิ้นปี 55 ซึ่งจะส่งผลทำให้ราคาเอ็นจีวี จะเพิ่มอีก 6 บาท จาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 14.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 70 และแอลพีจี จะเพิ่มอีก 4.92 บาทต่อลิตร จาก 11.14 บาทต่อลิตร เป็น 16.06 บาท คิดเป็นร้อยละ 44 โดยประชาชนจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในการเติม เอ็นจีวี 240 บาท จาก 340 บาท เป็น 580 บาท และ แอลพีจี 220 บาท จาก 500 บาทเป็น 720 บาท โดยมีการประมาณการรายได้ ปตท.ว่า จะเพิ่มขึ้นจากนโยบายลอยตัวของรัฐบาลครั้งนี้ ถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยในแต่ละเดือนปตท. จะมีรายได้เพิ่มจาก แอลพีจีจาก 1.4 พันล้าน เป็น 2.1 พันล้าน เอ็นจีวี จาก 1.7 พันล้านเป็น 2.9 พันล้านบาท

ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีอ้างว่า ราคาน้ำมันและแก๊ส สูงขึ้น เป็นไปตามกลไกตลาดโลก จึงไม่เป็นความจริง แต่แพงเพราะ "กลไกตลาดโลภ" มากกว่า

** จี้ปลด"ยรรยง"ป้อนข้อมูลเท็จ

นายชวนนท์ ยังเปรียบเทียบราคาสินค้าหลายชนิด ซึ่งพบว่าสูงกว่าราคาแนะนำ ของกระทรวงพาณิชย์ทั้งสิ้น เช่น ถั่วฝักยาว ราคาแนะนำของกระทรวงพาณิชย์ อยู่ที่ 30 บาท แต่ราคาตลาดบางซื่อ 70 บาท ดังนั้นหากรัฐบาลมั่นใจว่า ราคาแนะนำของตัวเองเป็นของจริง ก็ขอให้ประกาศให้ชัดเจนว่า ประชาชนที่ซื้อสินค้าแพงกว่าราคาแนะนำ ให้ไปขึ้นเงินส่วนต่างกับกระทรวงพาณิชย์ หรือที่ทำเนียบรัฐบาลได้ พร้อมกับเสนอให้ปลด นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ข้อมูลเท็จ หรือหาก นายยรรยงไม่ได้ให้ข้อมูลผิดพลาด ก็เท่ากับ นายกรัฐมนตรี โกหกประชาชน ก็ต้องรับผิดชอบต่อประชนด้วย หรือเป็นเพราะอากาศร้อน จึงทำให้นายกรัฐมนตรี มีอาการแบบนี้ และเห็นว่า 11 รัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่นายกรัฐมนตรี สั่งให้ลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าในตลาดนั้น ควรเดินออกจาก ครม. แทนที่จะเดินออกจากตลาด น่าจะแก้ปัญหาได้มากกว่า

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังนำตารางเปรียบเทียบราคาสินค้าเกษตร 7 ประเภท ที่ตกต่ำลง โดยระบุว่า เป็นสินค้าที่ถูกทั้งแผ่นดิน มาเปรียบเทียบกับราคาปลายทาง ที่มีการขายให้ผู้บริโภคเพื่อยืนยันว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะแพงทั้งแผ่นดิน ซึ่งทั้งหมดเกิดจากนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังขอให้คนของพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาอ้างถึงราคาไข่ไก่ ที่ลดลง และถูกกว่ายุครัฐบาล อภิสิทธิ์ ว่า ให้ไปบอกน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า "ให้ไปไหว้พี่เขาซะสิ" หมายถึงให้ไปไหว้ นายอภิสิทธิ์ ที่เปิดเสรีนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ เป็นการแก้ปัญหาการผูกขาดโควต้า 9 ราย สร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมให้กลไกตลาด มีการแข่งขันจนราคาไข่ในตลาดถูกลง ส่วนเรื่องการชั่งไข่นั้น เป็นเพียงทางเลือกที่ช่วยลดต้นทุนในการคัดไข่ไก่เท่านั้น

ทั้งนี้ตนยืนยันว่า การท้วงติงของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเพราะต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาให้ถูกจุด เพราะหากพรรคประชาธิปัตย์คิดเลว ก็คงปล่อยให้รัฐบาล แก้ปัญหาผิดทางไม่ออกมาเตือน แต่พรรคต้องการให้ปัญหาของประชาชนได้รับการแก้ไข ก่อนที่ทุกอย่างจะลุกลามจนแก้ไขไม่ได้

** ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 20 %

นายสรรเสริญ สมะลาภา รมช.คลัง เงา พรรคประชาธิปัตย์ นำราคาสินค้าในตลาดสดยิ่งเจริญ สี่มุมเมือง มาเปรียบเทียบระหว่างปี 54 และ 55 ในช่วงเดียวกัน เพื่อตรวจสอบตัวเลขเงินเฟ้อ และราคาสินค้าของรัฐบาล ซึ่งพบว่าตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ ที่มีการประกาศต่อสาธารณะ รวมถึงในรายการ ยิ่งลักษณ์พบประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรี บอกว่า ราคาสินค้ามีแนวโน้มลดลง เช่นเดียวกับ นายบุญทรง เตยาภิรมย์ ขณะที่ นายโอฬาร ไชยประวัติ ระบุว่า รัฐบาลต้องหามาตรการควบคุมราคาสินค้า แสดงให้เห็นว่า ข้อมูลของรัฐบาล ยังไปคนละทิศละทาง

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของพรรค พบว่าดัชนีราคาสินค้าในภาพรวมของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ สูงกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โดยที่ตลาดยิ่งเจริญ เพิ่มขึ้น 20.5 % เป็นสองเท่าจากที่รัฐบาลแถลงว่า เพิ่มเพียงแค่ ร้อยละ10 เช่นเดียวกับที่ ตลาดไท ซึ่งเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10.2 ปัญหาของแพงจึงเป็นเรื่องจริงที่ตน และประชาชนไม่ได้คิดไปเอง ตามที่นายกฯ ระบุ

นายสรรเสริญ กล่าวด้วยว่า ที่น่าสนใจคือ ส่วนต่างระหว่างราคาขายส่ง และขายปลีกแตกต่าง ร้อยละ 10 แสดงว่า มีค่าขนส่งเพิ่มขึ้นมาเป็นต้นทุน ดังนั้นการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ท้วงเรื่องตัวเลขเงินเฟ้อ ของกระทรวงพาณิชย์ ก็เพราะพบว่าหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขเงินเฟ้อ ร้อยละ 2.47 แต่เมื่อมีการตรวจสอบราคา กลับพบว่า ราคาสูงกว่าที่กระทรวงพาณิชย์แจ้งเป็นเท่าตัว เช่น ถั่วฝักยาว พาณิชย์แจ้งว่า 30 บาท แต่ราคาในตลาด 60 บาท ซึ่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ แก้ตัวว่าเป็นการเฉลี่ยราคาทั้งเดือน ซึ่งตนอยากให้ยอมรับความจริง เพราะสุดท้ายก็ฝืนข้อเท็จจริงไม่ได้ นายอภิสิทธิ์ จึงท้วงว่า เงินเฟ้อต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริง ไม่เช่นนั้นกระทบความน่าเชื่อถือ และการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจด้วย

รมช.คลังเงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องยอมรับความจริง เพื่อสู้กับปัญหากำหนดมาตรการลดค่าครองชีพ เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลเอาแต่โทษคนอื่น โดยตลอด 4 เดือน ที่ราคาสินค้าแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากโทษน้ำท่วม ทั้งที่เลยมา 5 เดือนแล้ว จากนั้นก็โทษภัยแล้ง มีแต่การปลอบประโลมประชาชนว่า จะดีขึ้น ส่วนมาตรการโชว์ห่วยช่วยชาติ เปิดได้แค่ร้านเดียว ที่สำนักงานของกระทรวงพาณิชย์ และมีคำถามว่า ถ้าสินค้าไม่แพง รัฐบาลจะเปิดโชว์ห่วยช่วยชาติทำไม ทั้งนี้เห็นว่า รัฐบาลพยายามสร้างกระแสสวนความรู้สึกประชาชน โดยบอกว่า ของไม่แพง และเลือกเฉพาะสินค้าถูกลงมาพูด ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้

**ต้องทบทวนนโยบายพลังงาน

"พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายพลังงาน ที่เป็นต้นทุนสินค้าและค่าขนส่ง ราคาค้าส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ค้าปลีก เพิ่มร้อยละ 20.5 การชดเชยธุรกิจ ผู้ประกอบการ เรื่องจ้างค่าแรง 300 บาท ต้องทำให้ตรงจุด แต่รัฐบาลกลับชดเชยน้อยมาก เช่น ค่าใช้จ่ายเพิ่ม 100 บาท แต่ชดเชยแค่ 10 กว่าบาทเท่านั้น และชดเชยแค่ 7 จังหวัด ไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องหันหน้าสู้กับปัญหา อย่าสร้างกระแสกลบเกลื่อนความเดือดร้อนของประชาชน และอย่าแต่งตัวเลขเศรษฐกิจ เพราะจะเป็นอันตราย ทำให้มาตรการที่ออกมาบิดเบี้ยวไป แทนที่จะแก้ปัญหา ก็ไม่แก้ ตัวเลขเป็นเท็จ จะดำเนินนโยบายผิดพลาด กระทบความเชื่อมั่นผู้ลงทุน ทั้งในประเทศและต่างชาติ รวมถึงแบงก์ชาติ ที่ต้องใช้ตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ ในการกำหนดนโยบายดอกเบี้ย ถ้าตัวเลขบิดเบือน ก็เป็นหายนะของเศรษฐกิจเลย" นายสรรเสริญ กล่าว

**ไล่"โกร่ง"ไปเรียนเศรษฐศาสตร์ใหม่

สวนกรณี นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธาน กยอ. บอกว่า ตัวเลขเงินเฟ้อลดลง หมายถึงราคาสินค้าลดลงด้วยนั้น นายสรรเสริญ กล่าวว่า ถ้าพูดจริง ต้องให้นายวีรพงษ์ ไปเรียนซ้ำชั้นเศรษฐศาสตร์ 101 ใหม่ เพราะตัวเลขเงินเฟ้อบวกน้อย หรือมาก ก็เป็นบวก คือ ราคาสินค้าเพิ่ม ดังนั้นนายวีรพงษ์ ควรไปเรียนวิชาเศรษศาสตร์ใหม่ ตนจะสอนให้เอง

ทั้งนี้ยังเห็นว่า การที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ราคาสินค้าจะลดลงในครึ่งปีหลังนั้น ตนยังไม่เห็นสัญญาณว่า ราคาสินค้าจะต่ำลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะราคาพลังงานมีแนวโน้มจะสูงอย่างต่อเนื่องจากนโยบายผิดพลาดของรัฐบาล สิ่งที่น่ากังวลคือ สถานการณ์เศรษฐกิจอาจเกิดภาวะเงินเฟ้อ และเงินฝืด พร้อมกัน เนื่องจากรายได้คนไทยไม่เพิ่มทุกคน แต่เงินเฟ้อได้รับผลกระทบทุกคน เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ จะทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ มีมากขึ้น

** อัดจัดฉากลงพื้นที่สร้างภาพของถูก

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวว่า รัฐบาลควรยอมรัฐความจริง ถึงความบกพร่อง และไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง ข้าวยากหมากแพง ซึ่งพบเห็นได้ในชีวิตประจำวันของประชาชน ที่สะท้อนผ่านโพลทุกสำนัก รวมทั้งความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ ก็ให้คะแนนรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ แค่ 3 กว่าๆ จากคะแนนเต็ม 10 แนวโน้มราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ดัชนีเงินเฟ้อ ที่ยังอยู่ในระดับน่ากังวล และสัญญาณจากเศรษฐกิจในยุโรป และสหรัฐฯ เองก็ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ล้วนเป็นความจริงที่รัฐบาลต้องยอมรับ เพราะส่วนหนึ่งก็กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง นอกเหนือจากความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาลด้วย

ดังนั้นรัฐบาลต้องพูดความจริงกับประชาชน อย่าใช้วิธีบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อม และปรับตัวกับสถานการณ์ได้อย่างเท่าทัน แต่พฤติกรรมของรัฐบาลกลับทำให้ประชาชนสับสน เพราะด้านหนึ่งนายกฯ เรียกประชุม ครม.เศรษฐกิจ ต่อเนื่อง เพื่อหามาตรการควบคุมราคาสินค้า แต่ด้านหนึ่งก็ปลุกกระแส ว่า รัฐบาลนี้ ของถูกกว่ารัฐบาลที่แล้ว ใช้หลักคิดแบบประชานิยม รักษาความนิยมไปวันๆ เหมือนในสมัยทักษิณ ออกนโยบายประชานิยม ลดแลกแจกแถม เพื่อสร้างเศรษฐกิจลวงตา เพราะอีกด้านก็เกิดหนี้ต่อครัวเรือนสูงมากเป็นประวัติการณ์

นายสุริยะใส กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าเวทนามาก ที่วิกฤติข้าวยากหมากแพง เริ่มขยายตัวอย่างชัดเจน แต่รัฐบาลกลับใช้เกมการเมืองเข้ามาแก้ปัญหา ด้วยการจัดฉากลงพื้นที่ตรวจสอบราคาสินค้า โดยเฉพาะพื้นที่ย่านคะแนนเสียงของรัฐบาล เพื่อยืนยันว่า ของไม่แพงจริง ซึ่งแน่นอน คงถูกแค่วันเดียวคือ ในวันที่รัฐมนตรีลงพื้นที่เท่านั้น

" อยากเตือนรัฐบาล อย่าเอาปัญหาปากท้องชาวบ้านไปเล่นการเมืองจนเละเทะไปหมด เหมือนบทเรียนจากการรับมืออุทกภัยปีที่แล้ว ก็เล่นการเมืองกันจนทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน ที่สำคัญหลายฝ่ายเตือนน้ำจะท่วม กทม. และนิคมอุตสาหกรรม แต่นายกฯ ยังบอกว่าเอาอยู่ สุดท้ายหายนะกันทั้งประเทศ ก็เพราะการเมืองที่ไม่เอาไหน และไม่มีความสามารถเพียงพอในการแก้ปัญหา แค่เล่นเกมกันไปวันๆ" นายสุริยะใส กล่าว

***พาณิชย์ตะแบงจัดจานด่วนราคาถูก

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้จะหารือกับเจ้าหน้าที่กรมการค้าภายใน และผู้ประกอบการศูนย์อาหาร เพื่อจัดทำโครงการจำหน่ายอาหารจานด่วนราคาประหยัดทั่วประเทศ นำร้านค้าอาหารข้าวแกง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว และอาหารจานเดียวอื่น ๆ มาจำหน่ายลดค่าครองชีพช่วยชาวบ้าน หลังจากได้รับการร้องเรียนอาหารสำเร็จรูปมีราคาปรับสูงขึ้นทั้งๆที่อาหารสดไม่ได้ปรับเพิ่มมาก ซึ่งโครงการนี้จะแตกต่างจากร้านธงฟ้าเดิม เพราะร้านธงฟ้าเป็นเหมือนร้านย่อยๆ ที่กระจายไปตามชุมชน แต่โครงการนี้จะจัดเป็นมหกรรมใหญ่ ให้คนมีโอกาสได้เลือกซื้ออาหารถูกรับประทานกัน

“แนวคิดโครงการนี้จะจัดเป็นมหกรรมอาหารราคาประหยัด ตามสถานที่ชุมชน หรือศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นแหล่งทางเลือกขายอาหารจานด่วนราคาถูกแก่ประชาชนจาน 25-30 บาท เบื้องต้นจัดเป็นระยะเวลา 2 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน นอกจากนี้หารือกับทางศูนย์อาหารทั่วไปให้ลดราคาอาหารลง เช่น จากปัจจุบันจาน 35 บาท ลดเหลือ 30 บาท เพื่อให้ประชาชนลดค่าใช้จ่าย แต่ขณะเดียวกันรัฐจะเข้าไปช่วยร้านค้าด้วย ไม่ต้องให้ควักเนื้อออกไปเอง แต่รายละเอียดทั้งหมดของโครงการจะรอหารืออีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงพื้นที่ตรวจสอบราคาสินค้าในตลาดสดนนทบุรีของนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ พบราคาสินค้าในกลุ่มผักมีราคาสูงขึ้นจากเดือนที่แล้ว ประมาณ 4-5% โดยเฉพาะถั่วฝักยาวกิโลกรัมละ 80-90 บาท ผักคะน้า 70-80 บาท ซึ่งผู้ค้าระบุว่า สาเหตุที่ราคาสูงขึ้นเนื่องจากอากาศร้อนจัดผลผลิตออกสูงตลาดน้อย ขณะที่การตรวจตลาดของนายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ ที่มีกำหนดลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าตลาดศูนย์การค้ามีนบุรีนั้น ถูกยกเลิกโดยไม่แจ้งล่วงหน้า และมีการเปลี่ยนไปตรวจวันที่ 7 พ.ค.นี้แทน เนื่องจากเพิ่งเสร็จจากภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ

***โพลซัดปูแพงไม่ใช่รู้สึกไปเอง

นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ประเมินความพอใจของประชาชนต่อคณะรัฐมนตรีในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา และการปรับคณะรัฐมนตรีในสายตาประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ชลบุรี พะเยา เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ นครพนม สกลนคร สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น นครราชสีมา ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,259 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 29 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น ที่สุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชนที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน โดยมีช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7

ผลการประเมินความพอใจของสาธารณชนต่อคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีเพียง 4 ท่านที่ผลสำรวจพบว่าได้รับการสนับสนุนเกินกว่าร้อยละ 50 ที่เหลือได้ไม่ถึงร้อยละ 50 ของผู้ตอบแบบสอบถามครั้งนี้ สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้าที่ชาวบ้านส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 บอกว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือกระแสเท่านั้น ส่งผลทำให้รัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงพาณิชย์และที่เกี่ยวข้องได้รับเสียงความพอใจของสาธารณชนไม่ถึงครึ่งในการสำรวจครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างให้โอกาส สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และนายจตุพร เข้าเป็นรัฐมนตรีถ้ามีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่นี้

เมื่อสอบถามถึงความพึงพอใจของรัฐมนตรีรายบุคคล พบว่านายกรัฐมนตรีมีคะแนนมาเป็นอันดับแรก จำนวนร้อยละ 64.8 ที่น่าสังเกตคือ รัฐมนตรีที่ประชาชนพึงพอใจเป็นอันดับท้ายๆ พบว่า รมว. กระทรวงพาณิชย์ และ รมช. กระทรวงพาณิชย์นั้นติดอับดับหนึ่งในสิบของรัฐมนตรีที่ประชาชนมีความพึงพอใจน้อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงรายชื่อคณะรัฐมนตรีรายบุคคล พบว่ายังคงมีรัฐมนตรีอีกหลายท่านที่ไม่เป็นที่รู้จักในการรับรู้ของประชาชน ซึ่งห้าอันดับแรก ได้แก่ ร้อยละ 38.1 ระบุนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช. กระทรวงคมนาคม ร้อยละ 38.0 ระบุนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.กระทรวงการคลัง ร้อยละ 37.1 ระบุนายอารักษ์ ชลธารนนท์ รมว. กระทรวงพลังงาน ร้อยละ 36.3 ระบุนายภูมิ สาระผล รมช. กระทรวงพาณิชย์ และร้อยละ 35.7 นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมตรี เป็นต้น

สิ่งที่น่าพิจารณาคือ ค่าคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจของสาธารณชนต่อการทำหน้าที่ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะรัฐมนตรีนั้นมีเพียงแค่ 6.24 คะแนน เมื่อสอบถามต่อไปว่าราคาสินค้าที่แพงอยู่ในขณะนี้ ประชาชนคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือเพียงแค่ความรู้สึก พบว่าประชาชนจำนวนมากหรือร้อยละ 90.1 ระบุว่าเป็นเรื่องจริง มีเพียงแค่ร้อยละ 9.9 คิดว่าชาวบ้านรู้สึกไปเอง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างกว่าหนึ่งในสามหรือร้อยละ 38.2 ยังคงเห็นด้วยที่จะให้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ส่วนร้อยละ 36.9 ระบุไม่เห็นด้วย และร้อยละ 24.9 ไม่มีความคิดเห็น นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 49.7 ยังคงให้โอกาสนายจตุพร พรหมพันธุ์ เข้าเป็นรัฐมนตรี สิ่งที่น่าพิจารณาคือ ยังมีจำนวนตัวอย่างอีกไม่น้อยหรือร้อยละ 67.4 คิดว่าควรปรับคณะรัฐมนตรี และร้อยละ 32.6 คิดว่ายังไม่ควรปรับ

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 49.7 เป็นชาย ร้อยละ 50.3 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 5.2 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 23.7 อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 25.2 อายุระหว่าง 30-39 ปี ร้อยละ 25.3 อายุระหว่าง 40-49 ปี และ ร้อยละ 20.6 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 86.3 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 12.6 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 1.1 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 41.3 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 29.8 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 6.8 ระบุเป็นพนักงานเอกชน ร้อยละ 4.7 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 7.8 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 6.9 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ในขณะที่ร้อยละ 2.7 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ.
กำลังโหลดความคิดเห็น