นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ต่อสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าBTS อย่างรีบเร่ง ว่า กทม.ใช้วิธีการหลบเลี่ยงสัญญา และใช้เทคนิคต่อสัญญาให้ BTS โดยมีบริษัทกรุงเทพธนาคม ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกทม. เป็นนอมินี ซึ่งอาจผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (พ.ร.บ.ฮั้ว) พ.ศ. 2542 มาตรา 4 ที่อาจทำให้กทม.เสียผลประโยชน์ และคนกรุงเทพฯ จะต้องใช้รถไฟฟ้าในราคาแพง
ทั้งนี้ นายยุทธพงศ์ ตั้งข้อสังเกตว่า กทม.ได้ปิดกั้นไม่ให้บริษัทอื่นๆ มาร่วมประมูลรับช่วงการเดินรถไฟฟ้า เนื่องจากบริษัทอื่นๆ ไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ เพราะ BTSC ยังมีสัญญาถึงปี 2572 แต่กทม. ใช้บริษัทกรุงเทพธนาคม ในการหลบเลี่ยงกฎหมาย เพื่อให้ BTSC สามารถบริหารงานต่อไปอีก 13 ปี จนถึงปี 2585 และถ้า กทม.ให้มีการประมูลสัมปทานเดินรถใหม่ อำนาจการต่อรองของกทม. ก็จะมีมาก เพราะเมื่อถึงปี 2572 ระบบสัมปทานทั้งหมด จะตกเป็นของกทม. ซึ่งหลังจากนั้นเมื่อเปิดประมูล จะทำให้ กทม. มีต้นทุนที่ถูกลง เพราะสามารถกำหนดค่าโดยสารได้เอง
ส่วนการที่กทม.อ้างว่า รัฐบาลจะฮุบรถไฟฟ้าจากกทม.นั้น นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะกทม. ยังมีสัญญากับ BTSC อีก 17 ปี ซึ่งรัฐบาลอาจเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องได้ จึงยืนยันว่า รัฐบาลไม่สามารถฮุบกิจการได้อยู่แล้ว
นายยุทธพงศ์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงการให้ BTS รับช่วงการเดินรถจากกรุงเทพธนาคมไปอีก 30 ปี จะเห็นได้ว่า BTS มีส่วนแบ่งรายได้ 190,000 ล้านบาท ขณะที่กทม.ได้เพียง 110,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่กทม. ลงทุนส่วนต่อขยาย 3 ช่วง โดย BTS ไม่ได้ออกเงินแต่อย่างใด แต่กลับมีส่วนแบ่งมากกว่า กทม.ถึง 80,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่า กทม. มีการวางแผนอย่างแยบยล โดยออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ถึง 6 ฉบับ เพื่อให้สามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ ซึ่งจากการตรวจสอบบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ที่รับสัญญาเดินรถจาก กทม. แล้วมาจ้าง BTSC อีกหนึ่งต่อ พบว่ามีประธานกรรมการชื่อ รศ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นญาติของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อีกด้วย
ทั้งนี้ นายยุทธพงศ์ ยังกล่าวว่า หากกทม.ยังเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป ตนจะนำเรื่องความไม่ชอบมาพากล มาเปิดเผยต่อไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะฟ้องประชาชนว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ซึ่งเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ บริหารงานกันอย่างไร
** ร้อง DSI กทม.ทำผิดพ.ร.บ.ฮั้ว
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้ (10 พ.ค.) ตนจะนำข้อมูลสัญญาของกทม. และข้อมูลของคณะทำงานตรวจสอบรถไฟฟ้า BTS ของพรรคเพื่อไทย ไปยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI เนื่องจากอาจเข้าข่ายความผิด กฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ ( พ.ร.บ.ฮั้ว ) พ.ศ. 2542 มาตรา 4
นอกจากนี้นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวด้วยว่า พรรคเพื่อไทย จะมีการจัดสัมมนาวิชาการเรื่องการต่อสัญญาโดยมิชอบของกทม. เพื่อให้ประชาชนรู้ว่า มีความไม่ชอบมาพากลอย่างไร
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ได้ลงนามต่อสัญญาเช่าให้บริษัทเอกชนดำเนินการดูแลให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ต่ออีก 13 ปี จากที่เหลือ 17 ปี รวมเป็น 30 ปี ทั้งที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เหลืออายุการดำรงตำแหน่งเพียง 7 เดือน ว่า ตนก็ได้ข้อมูลมาแล้ว และได้สอบถาม เพื่อนำข้อชี้แจงของ กทม. มาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ว่าเป็นอย่างไร
เมื่อถามย้ำว่าเรื่องนี้ยืนยันได้หรือไม่ว่า จะไม่มีการการเมืองเกี่ยวข้อง นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่มีการเมือง และส่วนตัวของตนก็ไม่เคยคิดมิติการเมือง แต่จะคิดในมิติบ้านเมืองตลอด ซึ่งขอดูรายงานก่อนว่าเป็นอย่างไร และจะต้องเรียก ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ มาชี้แจงหรือไม่ เพราะเรื่องแบบนี้จะมีข้อเท็จจริงและหลักฐานที่เห็นชัดเจนอยู่ว่าเป็นอะไร
**เคทีดอดพบบิ๊กปชป.ส่งเอกสารให้
มีรายงานข่าวว่า นายอมร กิจเชวงกุล กรรมการอำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ในฐานะวิสาหกิจกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังเข้าพบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่สภาผู้แทนราษฎรว่า ตนได้เข้าพบกับผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ คนหนึ่ง แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นใคร ซึ่งผู้ใหญ่คนนี้ สนใจเรื่องการเซ็นสัญญาว่าจ้างการเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กับ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ระยะเวลา 30 ปี วงเงิน 1.9 แสนล้าน ซึ่งขณะนี้เคที กำลังเตรียมเอกสารดังกล่าวให้อยู่ คาดว่าจะส่งเอกสารทั้งหมดได้เร็วๆนี้
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทย จะร้องศาลปกครอง เพื่อระงับสัญญานั้น ตนไม่ทราบจริงๆ ว่าพรรคเพื่อไทย (พท.) จะยื่นหนังสือเมื่อไร เพราะไม่ได้ติดตามข่าว ทั้งนี้ ขอยืนยันโครงการดังกล่าว มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้แน่นอน
รายงานข่าวจากศาลากทม.แจ้งว่า ขณะนี้ฝ่ายการเมือง ไม่ได้กังวลกรณีที่พรรคเพื่อไทย จะให้มีการยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง ให้ระงับสัญญาของ เคที กับบีทีเอส เนื่องจาก กทม. มีหลักฐานข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ โดยเรื่องนี้พรรคเพื่อไทย พยายามทำให้เป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะพรรคเพื่อไทย จะโจมตีกทม.ในการแถลงข่าวทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ ก่อนมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในต้นปีหน้า
ทั้งนี้ นายยุทธพงศ์ ตั้งข้อสังเกตว่า กทม.ได้ปิดกั้นไม่ให้บริษัทอื่นๆ มาร่วมประมูลรับช่วงการเดินรถไฟฟ้า เนื่องจากบริษัทอื่นๆ ไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ เพราะ BTSC ยังมีสัญญาถึงปี 2572 แต่กทม. ใช้บริษัทกรุงเทพธนาคม ในการหลบเลี่ยงกฎหมาย เพื่อให้ BTSC สามารถบริหารงานต่อไปอีก 13 ปี จนถึงปี 2585 และถ้า กทม.ให้มีการประมูลสัมปทานเดินรถใหม่ อำนาจการต่อรองของกทม. ก็จะมีมาก เพราะเมื่อถึงปี 2572 ระบบสัมปทานทั้งหมด จะตกเป็นของกทม. ซึ่งหลังจากนั้นเมื่อเปิดประมูล จะทำให้ กทม. มีต้นทุนที่ถูกลง เพราะสามารถกำหนดค่าโดยสารได้เอง
ส่วนการที่กทม.อ้างว่า รัฐบาลจะฮุบรถไฟฟ้าจากกทม.นั้น นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะกทม. ยังมีสัญญากับ BTSC อีก 17 ปี ซึ่งรัฐบาลอาจเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องได้ จึงยืนยันว่า รัฐบาลไม่สามารถฮุบกิจการได้อยู่แล้ว
นายยุทธพงศ์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงการให้ BTS รับช่วงการเดินรถจากกรุงเทพธนาคมไปอีก 30 ปี จะเห็นได้ว่า BTS มีส่วนแบ่งรายได้ 190,000 ล้านบาท ขณะที่กทม.ได้เพียง 110,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่กทม. ลงทุนส่วนต่อขยาย 3 ช่วง โดย BTS ไม่ได้ออกเงินแต่อย่างใด แต่กลับมีส่วนแบ่งมากกว่า กทม.ถึง 80,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่า กทม. มีการวางแผนอย่างแยบยล โดยออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ถึง 6 ฉบับ เพื่อให้สามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ ซึ่งจากการตรวจสอบบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ที่รับสัญญาเดินรถจาก กทม. แล้วมาจ้าง BTSC อีกหนึ่งต่อ พบว่ามีประธานกรรมการชื่อ รศ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นญาติของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อีกด้วย
ทั้งนี้ นายยุทธพงศ์ ยังกล่าวว่า หากกทม.ยังเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป ตนจะนำเรื่องความไม่ชอบมาพากล มาเปิดเผยต่อไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะฟ้องประชาชนว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ซึ่งเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ บริหารงานกันอย่างไร
** ร้อง DSI กทม.ทำผิดพ.ร.บ.ฮั้ว
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้ (10 พ.ค.) ตนจะนำข้อมูลสัญญาของกทม. และข้อมูลของคณะทำงานตรวจสอบรถไฟฟ้า BTS ของพรรคเพื่อไทย ไปยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI เนื่องจากอาจเข้าข่ายความผิด กฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ ( พ.ร.บ.ฮั้ว ) พ.ศ. 2542 มาตรา 4
นอกจากนี้นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวด้วยว่า พรรคเพื่อไทย จะมีการจัดสัมมนาวิชาการเรื่องการต่อสัญญาโดยมิชอบของกทม. เพื่อให้ประชาชนรู้ว่า มีความไม่ชอบมาพากลอย่างไร
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ได้ลงนามต่อสัญญาเช่าให้บริษัทเอกชนดำเนินการดูแลให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ต่ออีก 13 ปี จากที่เหลือ 17 ปี รวมเป็น 30 ปี ทั้งที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เหลืออายุการดำรงตำแหน่งเพียง 7 เดือน ว่า ตนก็ได้ข้อมูลมาแล้ว และได้สอบถาม เพื่อนำข้อชี้แจงของ กทม. มาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ว่าเป็นอย่างไร
เมื่อถามย้ำว่าเรื่องนี้ยืนยันได้หรือไม่ว่า จะไม่มีการการเมืองเกี่ยวข้อง นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่มีการเมือง และส่วนตัวของตนก็ไม่เคยคิดมิติการเมือง แต่จะคิดในมิติบ้านเมืองตลอด ซึ่งขอดูรายงานก่อนว่าเป็นอย่างไร และจะต้องเรียก ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ มาชี้แจงหรือไม่ เพราะเรื่องแบบนี้จะมีข้อเท็จจริงและหลักฐานที่เห็นชัดเจนอยู่ว่าเป็นอะไร
**เคทีดอดพบบิ๊กปชป.ส่งเอกสารให้
มีรายงานข่าวว่า นายอมร กิจเชวงกุล กรรมการอำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ในฐานะวิสาหกิจกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังเข้าพบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่สภาผู้แทนราษฎรว่า ตนได้เข้าพบกับผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ คนหนึ่ง แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นใคร ซึ่งผู้ใหญ่คนนี้ สนใจเรื่องการเซ็นสัญญาว่าจ้างการเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กับ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ระยะเวลา 30 ปี วงเงิน 1.9 แสนล้าน ซึ่งขณะนี้เคที กำลังเตรียมเอกสารดังกล่าวให้อยู่ คาดว่าจะส่งเอกสารทั้งหมดได้เร็วๆนี้
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทย จะร้องศาลปกครอง เพื่อระงับสัญญานั้น ตนไม่ทราบจริงๆ ว่าพรรคเพื่อไทย (พท.) จะยื่นหนังสือเมื่อไร เพราะไม่ได้ติดตามข่าว ทั้งนี้ ขอยืนยันโครงการดังกล่าว มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้แน่นอน
รายงานข่าวจากศาลากทม.แจ้งว่า ขณะนี้ฝ่ายการเมือง ไม่ได้กังวลกรณีที่พรรคเพื่อไทย จะให้มีการยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง ให้ระงับสัญญาของ เคที กับบีทีเอส เนื่องจาก กทม. มีหลักฐานข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ โดยเรื่องนี้พรรคเพื่อไทย พยายามทำให้เป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะพรรคเพื่อไทย จะโจมตีกทม.ในการแถลงข่าวทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ ก่อนมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในต้นปีหน้า